ตอนที่ 272 นักพรตหัน
“เจ้าเข้าใจพวกหมอผีดีมากเชียว”
ถังเฉียนถามหยั่งเชิงดู ชายคนนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้ แล้วเปิดประตูห้องขังของถังเฉียน จากนั้นพูดคุยกับนางด้วยภาษาเผ่าม้ง ถังเฉียนจึงรู้ว่าเขาเป็นฝ่ายที่เชิดชูและเคารพหมอผีในเซวียนกั๋ว และเป็นเขาที่ทูลเตือนฮ่องเต้ให้ปฏิบัติต่อหมอผีอย่างระมัดระวัง ถ้าสามารถใช้ประโยชน์ได้ จะกลายเป็นอาวุธทำลายล้างที่สำคัญของฮ่องเต้
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แต่ข้าไม่คิดที่จะรับใช้ฮ่องเต้ ข้าช่วยท่านอ๋อง เพราะเขาควรได้รับการช่วยเหลือ ที่ข้ามายังวังหลวงที่เจาหยาง เพราะได้รับการไหว้วานจากเขา แม้เราจะไม่เชื่อเรื่องบ่าวไม่ควรมีสองนาย แต่ข้ากับท่านอ๋องเป็นสหายกัน แต่กับฮ่องเต้ข้าเป็นเพียงนักโทษ”
คำพูดของถังเฉียนทำให้นักพรตแปลกใจ แต่จากนั้นเขาก็พูดกับอันกุ้ยเฟยว่า
“ฝ่าพระบาททรงมีพระบัญชาให้กระหม่อมมาเฝ้าดูสองคนนี้ ป้องกันพวกนางก่อเรื่องทำร้ายคน แต่กลับได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน จริงหรือไม่องค์กุ้ยเฟย”
เมื่อครู่อันกุ้ยเฟยแทบจะพูดออกมาแล้วว่านางคิดทำร้ายฉู่จิ่งเหยา แต่ขณะนี้นอกจากคำพูดนางแล้วไม่มีหลักฐานอื่น เมื่อไปถึงเบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ย่อมไม่มีน้ำหนักพอ แต่อันกุ้ยเฟยเหมือนวัวสันหลังหวะ อดพูดไม่ได้ว่า
“นักพรตหัน ท่านขู่ข้าหรือ”
นักพรตหันได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า
“บังเอิญผู้น้อยได้ยินคำพูดเมื่อครู่หมดแล้ว การทูลต่อฝ่าพระบาทเป็นหน้าที่ของผู้น้อย ถ้าไม่กราบทูลย่อมเป็นผลเสียต่อผู้น้อย พระสนม ที่นี่คนมากแต่ไม่มีหลักฐาน พระสนมจะทำเหมือนที่แล้วมาคือทูลกับฝ่าพระบาทว่าถูกปรักปรำ”
หงอวี้ได้ยินคำพูดเสียดสีเช่นนี้ ย่อมต้องเรียกหาความเป็นธรรมแทนเจ้านายตน จึงพูดอย่างไม่พอใจว่า
“เจ้าแค่ขุนนางเล็กๆ ขั้นห้าเท่านั้น ถึงฝ่าพระบาทจะวางพระทัยในตัวเจ้า เจ้าก็ยังคงเป็นบ่าวไพร่ ถึงกับบังอาจข่มขู่องค์กุ้ยเฟย ไม่กลัวตายหรือ”
นักพรตหันได้ยินก็หัวเราะแล้วเดินออกไป หงอวี้ตั้งท่าจะไล่ตามไป แต่เสี่ยวจินบินมาขวางนางไว้ ขณะที่แมลงรอบตัวนางพ่นใยสีขาวที่เหนียวเป็นพิเศษออกมารัดตัวนางไว้
“อาหรูน่า เจ้าจะทำอะไร ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก”
นักพรตหันหัวเราะแล้วพูดว่า
“ท่านหมอช่วยกักนางไว้ชั่วคราว ข้าจะไปทูลรายงานฝ่าพระบาท ให้ฝ่าพระบาททรงลงโทษพวกนาง”
หงอวี้ยังคงดิ้นรน แต่ขณะนี้อันกุ้ยเฟยคิดตกแล้ว นางไม่ควรใช้ไม้แข็งกับนักพรตหัน ไม่เช่นนั้นหมากที่ดีในมือตัวเองจะถูกนางกำนัลคนนี้ทำให้แพ้
“นักพรตหัน ท่านแค่ต้องการเด็กสาวคนนี้ ข้ามอบให้เจ้าก็แล้วกัน ระหว่างเราวันหน้าขอให้อยู่กันดีๆ ไม่เช่นนั้นขืนสู้กันจะเสียหายทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าใครก็ไม่คู่ควร”
เมื่ออันกุ้ยเฟยเอ่ยปากออกมา นักพรตหันก็ไม่ไปแล้ว เขายืนอยู่ที่ประตูแล้วค้อมคารวะ อันกุ้ยเฟยหันมามองหงอวี้แล้วพูดว่า
“ไปกัน!”
สีหน้านางบึ้งตึงมาก แต่นางไม่อยู่ต่อ ถังเฉียนประหลาดใจในตัวนักพรตหันมาก ยิ่งแปลกใจนางก็ยิ่งต้องระวังตัวเพิ่มขึ้น
“ไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าข้าหรอก ข้ารู้ว่าเจ้าฟังภาษาเซวียนกั๋วออก ที่จริงเจ้าเป็นชาวเซวียนกั๋ว”
รอจนอันกุ้ยเฟยไปแล้ว ทันใดนั้นนักพรตหันก็เปลี่ยนเป็นคนละคน แล้วพูดคำพูดเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะทำสิ่งใดกับถังเฉียนแน่
“นักพรต ท่านน่าขันจริง หรือลืมไปแล้วว่าข้าเป็นคนสกุลซู เป็นคนในครอบครัวอันกุ้ยเฟย พูดพล่ามอะไรที่นี่”
ซูซินเหลียนพูดขึ้นก่อนถังเฉียน นักพรตหันเปิดประตูห้องขังของนาง แล้วพูดว่า
“ฝ่าพระบาทมีพระบัญชาให้ข้ามาสังเกตว่าพวกเจ้าพูดสิ่งใด ทำสิ่งใด ใครมาพบพวกเจ้า เวลานี้รู้แล้ว ย่อมกลับไปทูลรายงานได้แล้ว”
ตอนที่ 273 ทำซ้ำ
ถังเฉียนกับซูซินเหลียนเพิ่งออกมาจากวังจื่อเฉิน ไม่ถึงหนึ่งวันก็ออกจากคุกฟ้ากลับมาที่วังจื่อเฉินอีก เพียงแต่ครั้งนี้นักพรตหันฟ้องร้องกล่าวโทษ อันกุ้ยเฟยคุกเข่าอยู่ด้านข้าง ท่าทางหวาดหวั่น
“ฝ่าพระบาท ที่ทูลมาคือคำพูดที่บ่าวได้ยินด้วยหูตนเอง ไม่มีการปิดบังแม้แต่ประโยคเดียว ไม่เช่นนั้นขอให้ฟ้าผ่าตายทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
นับว่าเป็นคำสาบานที่ร้ายกาจ แต่ระหว่างทางอันกุ้ยเฟยคิดหาวิธีรับมือไว้แล้ว พระนางรีบหมอบลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วแว้งกัดด้วยการทูลว่าเป็นฝีมือของทัพกบฏเผ่าม้ง
ที่อันกุ้ยเฟยพูดเช่นนี้มีเหตุผล เพราะครั้งนั้นฮ่องเต้ทรงส่งฉู่จิ่งเหยาไปปราบกบฏ แต่เพราะฉู่จิ่งเหยาเพิ่งไปถึงเผ่าม้งก็ถูกลอบทำร้าย ทำให้กบฏเผ่าม้งยังคงอยู่
“ฝ่าพระบาท องค์กุ้ยเฟยกล่าวถูกต้อง ที่ท่านอ๋องถูกลอบทำร้ายสาเหตุใหญ่เป็นเพราะทัพกบฏที่นั่นมีกำลังใหญ่โตมาก ทั้งยังคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศ ยิ่งกว่านั้นกลางวันเป็นชาวบ้านกลางคืนเป็นโจร คอยให้ที่หลบซ่อนช่วยเหลือกัน ถ้าท่านอ๋องจะปราบทัพกบฏให้ราบคาบเป็นเรื่องที่ยากมากพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงฟังที่กราบทูลก็แย้มพระสรวลอย่างเย็นชา แล้วตรัสว่า
“ถ้าไม่ยากแล้วข้าจะส่งจินซิวอ๋องไปหรือ แต่คิดไม่ถึงว่าเวลานี้พวกนั้นจะเหิมเกริมเช่นนี้ ถึงกับบังอาจปลอมเป็นขุนนางถ่ายทอดคำสั่งของข้า เรื่องนี้จะปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้เด็ดขาด ต้องปราบนิกายเทพมังกรและทัพกบฏให้สิ้นซาก”
พอฮ่องเต้ตรัสจบ ซูซินเหลียนก็คุกเข่าทันที ล้วงหนังสือลายมือของฉู่จิ่งเหยาออกจากอกเสื้อ แล้วทูลว่า
“ฝ่าพระบาทโปรดทอดพระเนตร นี่เป็นจดหมายลายมือท่านอ๋อง ท่านยังคงห่วงใยประเทศชาติ ขอเพียงฝ่าพระบาททรงจัดทัพใหญ่ห้าหมื่นก็จะสามารถปราบทัพกบฏได้เพคะ”
ฮ่องเต้ทรงรับจดหมายจากซูซินเหลียน ตรวจอ่านอย่างละเอียด แล้วจึงตรัส่วา
“ดี ทำตามที่เจ้าใหญ่บอก ทหารชั้นเยี่ยมห้าหมื่น วันนี้ให้ระดมทหารจากเมืองต่างๆ เพื่อเสริมทัพ”
อันกุ้ยเฟยได้ยินว่าฮ่องเต้จะเสริมทัพให้ฉู่จิ่งเหยาย่อมไม่ยินยอมเด็ดขาด พระนางครุ่นคิดแล้วคิดหาวิธีได้ จึงทูลว่า
“ฝ่าพระบาทเพคะ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ พระโอรสองค์ใหญ่เพราะ…”
ถังเฉียนฟังถึงตรงนี้ก็แอบยื่นมือออกไป จากนั้นก็เห็นแมลงสีทองตัวหนึ่งซึ่งเกาะอยู่บนตัวอันกุ้ยเฟยก่อนแล้วมุดเข้าไปในเสื้อผ้านาง ขณะที่นางจะพูดขัดขวางนั้น ก็ถูกกัดที่อกอย่างแรง
“โอ๊ย เจ็บจัง!”
อันกุ้ยเฟยถูกแมลงกัดก็ยกมือขึ้นกุมอก แล้วล้มฟุบลงไป ท่าทางเหมือนป่วยดูน่าสงสาร
“กุ้ยเฟย เป็นอะไรไปหรือ”
อันกุ้ยเฟยยังจะพูดอีก แต่เจ็บปวดราวกับรู้สึกเนื้อที่อกจะหลุดออกจากตัว เจ็บปวดจนนางจะอ้าปากพูดแต่พูดไม่ออก ฮ่องเต้ทรงประทับยืนขึ้น รีบพยุงอันกุ้ยเฟย แล้วมีพระบัญชาให้คนไปตามหมอหลวงมาตรวจรักษา
อันกุ้ยเฟยเจ็บปวดจนหมดสติไป ถังเฉียนย่อมเรียกเสี่ยวจินกลับมา จากนั้นฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้ทุกคนออกไป ยังพระราชทานป้ายคำสั่งให้ซูซินเหลียน ให้นางนำกลับไปมอบให้ฉู่จิ่งเหยา
ซูซินเหลียนคาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะทรงเห็นด้วยทันที ทรงมอบป้ายพยัคฆ์ให้นางเก็บรักษา เมื่อมีป้ายพยัคฆ์ในมือ ความคิดนางก็เปลี่ยนไป เลิกสนใจแล้วว่าอันกุ้ยเฟยจะเป็นอย่างไร หวังหลงคิดว่าเมื่อได้ป้ายพยัคฆ์แล้วก็ควรออกจากเมืองหลวงไปหาท่านอ๋องทันที เพื่อนำป้ายโยกย้ายกำลังทหารนี้ไปมอบให้ แต่ถังเฉียนกับซูซินเหลียนไม่ได้คิดเช่นนี้
“ขณะนี้ยังออกนอกเมืองไม่ได้!”
ที่จริงขณะนี้ซูซินเหลียนอยากนำทัพใหญ่กลับไปหาฉู่จิ่งเหยา แต่นางรู้ดีว่าป้ายพยัคฆ์ในมือเวลานี้ที่จริงเป็นป้ายเร่งความตายด้วย ถ้านางไม่ใช้ให้ดี อาจจะจบชีวิตเพราะสิ่งนี้
“ออกนอกเมืองตอนนี้ เกรงว่าพ่อข้าคงให้ข้าตายอยู่ใต้กำแพงเมืองแน่นอน”