ตอนที่ 340 พบกัน
ถังเฉียนถูกเขาพูดหยอกล้อจนยิ้มออก นางไม่ได้พบเถิงอวิ๋น กลับได้เจอเถิงเฟิง แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่านางตาลายกัน
นางคิดพลางขยี้ตาตัวเอง จากนั้นจึงมองดูใหม่ แต่เถิงเฟิงยังยืนอยู่ตรงนั้น ยิ้มอย่างจริงใจ
“ข้าเอง เป็นข้าจริงๆ เจ้าจำคู่หมั้นของตัวเองไม่ได้แล้วหรือ”
ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็โผเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจ นางคิดไม่ถึงว่าจะพบเขาในสภาพเช่นนี้ ในเวลาที่นางตกที่นั่งลำบากอย่างนี้
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือเจ้าแอบขโมยอินทรีเงินออกมาอีก?”
เถิงเฟิงคิดไม่ถึงว่านางจะโผเข้าหาอ้อมกอดของตน เขาเคยคิดว่าถังเฉียนต้องยังโกรธเขาแน่ บางทีอาจจะไม่สนใจเขา บางทีอาจจะเปลี่ยนเป็นห่างเหิน แต่สภาพในตอนนี้ เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขา เดิมเขาอยากพูดปลอบนาง แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
“คนที่นัดข้าคือพี่เถิงอวิ๋น หรือวันนี้คนที่จะมาจับเสี่ยวจินของข้าก็คือเจ้า”
ถังเฉียนใช้กำปั้นทุบอกเถิงเฟิง สีหน้าแสดงอาการแง่งอนแบบเด็กสาว แต่ดูน่ารักมาก หลายวันมานี้นางยุ่งมากจนซูบผอมลงไม่น้อย แก้มแทบไม่มีเนื้อให้เถิงเฟิงหยิกได้ เถิงเฟิงแตะไหล่นาง ลูบคลำหน้าผาก แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“ข้าก็ให้พี่ใหญ่เอาคืนให้เจ้าแล้วไม่ใช่หรือ เดิมคิดจะล่อให้เจ้าออกมา จะได้คุยกับเจ้าตามลำพัง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพาคนออกมามากมายอย่างนั้น รวมทั้งคนของท่านอ๋องด้วย ข้าจึงให้พี่ใหญ่ช่วยเอาเสี่ยวจินคืนให้เจ้า แล้วนัดเจ้าออกมาคุยกัน”
ถังเฉียนยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก แม้จะไม่ได้พบกันนานแล้ว แต่ถูกเขากุมมือไว้ก็ไม่รู้สึกแปลก แต่ขณะนี้ด้านหลังของพวกเขามีอีกสองคนปรากฏตัวขึ้น คนหนึ่งคือฉู่จิ่งเหยาที่ตามมาหลังจากหวังหลงไปแจ้ง อีกคนคือเถิงอวิ๋นซึ่งมาเป็นเพื่อนน้องชาย
“ท่านอ๋องดีต่ออาหรูน่ามาก กลัวนางจะถูกรังแก ยังตามมาเพียงผู้เดียว ดูแล้วฐานะของอาหรูน่าในใจท่านอ๋องไม่ธรรมดาเลย”
เถิงอวิ๋นมีท่าทีแปลกๆ แต่ฉู่จิ่งเหยาคุ้นเคยแล้ว สายตาเขาจ้องที่มือเถิงเฟิงซึ่งกอดถังเฉียนอยู่ ครู่หนึ่งจึงหันมามองเถิงอวิ๋นแล้วถามว่า
“พวกเจ้าสองพี่น้องมากันแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้หรอก เข้ามาพบนางอย่างเปิดเผยก็ได้ ระยะนี้ที่นี่ไม่ปลอดภัย ไม่กี่วันก่อนนางถูกคนจับไปจนเกือบหนาวตาย ข้าย่อมไม่ยอมให้นางตาย แต่พวกเจ้ามาปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้ย่อมน่าแปลก เหมือนมีเจตนาร้าย”
เถิงอวิ๋นได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วว่า
“น้องชายข้าคนนี้ ขี้ขลาดเกินไป วิตกว่าอาหรูน่าจะยังโกรธอยู่ อย่างไรเสียเผ่าอินทรีเงินก็ทำผิด น้องชายข้ากังวลถึงความสัมพันธ์ของเขากับนาง เขาทะเลาะกับท่านพ่อท่านแม่ รวมทั้งท่านลุงแล้วหนีออกมา”
ฉู่จิ่งเหยาฟังเช่นนี้ก็พยายามข่มรอยยิ้มของตนไว้ เถิงอวิ๋นจงใจมองเขาแล้วพูดอีก
“อย่างไรก็ยังอายุน้อย สองคนนี้ชอบพอกัน ต่อให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวห้ามก็ห้ามไม่อยู่ ทั้งยังสนับสนุนเช่นนี้ แต่ที่อาเฟิงมาคราวนี้มีผลดีต่อท่านอ๋อง เวลานี้ท่านกำลังทุกข์ร้อนเรื่องด่านซานไห่ไม่ใช่หรือ? ถ้ามีเขาจะแก้สถานการณ์นี้ได้…”
ฉู่จิ่งเหยารู้ตลอดมาว่าคนเผ่าพีส่าล้วนสนับสนุนให้เถิงเฟิงเป็นหัวหน้าผู้บวงสรวงในอนาคต แต่ไม่รู้ว่าเพราอะไร ขณะนี้ได้ยินเถิงอวิ๋นพูดเช่นนี้จึงถามด้วยความแปลกใจ
“หรือว่าเขามีความเก่งกาจพิเศษอะไร สามารถต้านทัพนับหมื่นได้ ช่วยให้ข้าฝ่าด่านซานไหไปได้หรือ เดิมข้าคิดว่ามีแต่ท่านเถิงอวิ๋นที่จะแก้ปัญหานี้ได้”
เถิงอวิ๋นฟังแล้วก็ยิ้ม เขาชี้ไปที่เถิงเฟิงแล้วพูดว่า
“ข้าเทียบกับเขาไม่ได้หรอก เขามีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิด ร่างทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเผ่าพีส่าเรา เป็นสิ่งที่ฟ้าประทานให้ ถ้าเขายินดีช่วยพวกท่าน ทั่วหล้าไม่มีเมืองไหนที่บุกยึดไม่ได้”
ฉู่จิ่งเหยาฟังที่เถิงอวิ๋นพูด กลับรู้สึกระวังตัว ถ้าโลกนี้มีคนอย่างนี้จริงๆ คงน่ากลัวมาก แต่ขณะเดียวกันเขากลับไม่เชื่อว่าเถิงเฟิงจะมีความสามารถเช่นนั้น
ตอนที่ 341 ความคิดเห็น
ถังเฉียนถามเถิงเฟิงว่าเหตุใดเข้าจึงไม่ไปหานางที่ค่ายพัก คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลัวว่านางจะไม่อยากพบเขาอีก ถึงตอนนั้นคงจะเสียหน้ามาก นางรู้สึกว่าน่าหัวเราะนัก แต่เมื่อคิดถึงเรื่องคราวก่อนที่รุนแรงมาก ที่เขาเครียดก็สามารถเข้าใจได้
“เจ้าไม่รู้หรือว่าใจผู้หญิงพอจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลย”
ถังเฉียนพูดคุยกับเขาครู่ใหญ่ ทั้งสองไม่เจอกันนานแล้ว นางไม่ได้คิดแม้แต่น้อยว่าเรื่องของเผ่าอินทรีเงินคราวนั้นจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเถิงเฟิง กระทั่งไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว เถิงเฟิงปลื้มใจมากที่ได้รับความไว้วางใจเช่นนี้ แต่เขาก็ยังไม่ยอมไปพบกับคนเผ่ากุ้ยลี่
ถังเฉียนกลับมาที่ค่ายพักตามลำพัง แล้วเห็นฉู่จิ่งเหยายืนอยู่ที่หน้าประตู
“ไปพบใคร”
“ท่านอ๋อง เถิงเฟิงมาแล้ว เมื่อมีเขา เราจะบุกฝ่าด่านซานไห่ได้ใช่หรือไม่ เราสามารถออกนอกด่านได้แล้ว”
ฉู่จิ่งเหยาคิดไม่ถึงว่าถังเฉียนจะพูดเช่นนี้ เขาอดแย้งไม่ได้
“ให้เขาไปเสี่ยงอันตราย เขาจะยอมหรือ”
ถังเฉียนไม่รู้ว่าจะเสี่ยงตรงไหน แค่บอกว่าพวกเขาใช้เวทย์มนตร์ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสลบ ไม่สามารถสู้รบได้ไม่ใช่หรือทำอย่างนี้จะยากตรงไหน เสี่ยงอันตรายตรงไหน
“ท่านอ๋อง ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ฉู่จิ่งเหยาโบกมือ เขาไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ
“ครั้งนั้นโจมตีเมืองมีทหารหนึ่งแสน เวลานี้ในมือข้ามีทหารไม่ถึงพัน ต่อให้ทำให้อีกฝ่ายจิตใจสับสน หรือบอกว่าทหารสองหมื่นตายไปครึ่งหนึ่ง เราก็อย่าหวังว่าจะบุกยึดได้”
ถังเฉียนเหมือนหมดเรี่ยวแรงลงทันที จึงนั่งลงไม่พูดอะไร
“แต่ว่าถ้ามีเขาอยู่ด้วยสามารถต้านทานทหารนับพันนับหมื่นได้จริง เพียงแต่…เจ้าอย่าเอ่ยถึงเขาต่อหน้าตัวเสิ้งกับพวกเด็ดขาด รวมทั้งเถิงอวิ๋นด้วย”
ถังเฉียนอยากถามว่าเพราะอะไร พวกเขามาช่วยตัวเสิ้งกับพวกไม่ใช่หรือ แต่เมื่อคิดว่าในอดีตตระกูลของเถิงอวิ๋นอาจสังหารคนเผ่ากุ้ยลี่ไปไม่น้อย พวกเขาอาจจะสร้างความแค้นไว้ก็เป็นไปได้ ในเมื่อฉู่จิ่งเหยากำชับว่าไม่ให้เอ่ยถึง แล้วนางจะพูดไปเพื่อสิ่งใด อาจจะก่อความเดือดร้อนเสียเปล่าๆ
กลางวันถังเฉียนอาจจะนอนนานเกินไป ตอนนี้เลยทำให้นอนไม่หลับ จึงห่อตัวด้วยผ้าห่มนั่งคุยกับหวังหลงในสนาม
“บ้านเจ้าอยู่แถวนี้ เหตุใดไม่กลับไปเยี่ยมบ้านเล่า”
“ที่บ้านไม่มีใครแล้ว ตอนนั้นข้ากับน้องชายมาเป็นทหารเพราะเกือบอดตายอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋อง คงไม่มีชีวิตรอดจนถึงเดี๋ยวนี้”
ถังเฉียนได้ฟังก็ถอนหายใจ หวังหลงเล่าให้นางฟังว่าตอนนั้นทางเหนือประสบภัยแล้ง เก็บเกี่ยวไม่ได้เลย พ่อแม่เขาอดตาย น้องชายกับน้องสาวหนีตายไปคนละทิศละทาง เขาจำได้ว่าน้องสาวถูกขายไปเป็นคนรับใช้ให้กับบ้านคนมั่งมี เจ้านายบ้านนั้นท่าทางดุร้าย เวลานี้คิดแล้วอาจเป็นการทำร้ายน้องสาวไปชั่วชีวิต แต่ในตอนนั้นพวกเขาไม่มีวิธีอื่น
“ขอเพียงให้มีข้าวกิน ก็คือหนึ่งชีวิต ยังจะมีทางเลือกอื่นหรือ วันหน้าถ้ามีเงิน ค่อยไปช่วยน้องสาวออกมา”
ถังเฉียนถามว่า
“เจ้ายังขาดเงินอีกเท่าไร เด็กสาวดีๆ คนหนึ่ง ไปพานางกลับบ้านเถอะ อยู่ข้างนอกคนเดียวตามลำพังน่าสงสารมาก กลัวว่าคนรับใช้อื่นๆ ในบ้านจะข่มเหงนาง ถ้ามีพี่ชายก็ควรจะไปตามหานาง ให้นางมีที่พึ่ง ถ้าเงินไม่พอ เจ้าบอกข้าได้ ฮ่องเต้พระราชทานเงินให้ไม่น้อย ข้าไม่รู้จะเอาไปใช้อะไร”
ที่ถังเฉียนพูดนั้นเป็นความจริง แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงมีพระบัญชาให้นางไปหาความตาย แต่ก็ทรงพระทัยกว้างมาก มอบแก้วแหวนเงินทองให้นางไม่น้อย แต่นางสวมชุดดำ ไม่สะดวกจะพกติดตัว