บทที่ 3 (2)
ลัมโบร์กินีสีบรอนซ์เงินแล่นไปบนถนน ทุกครั้งที่ติดไฟแดงมักจะดึงดูดสายตาจากรถคันรอบข้างได้เป็นอย่างดี
แต่จี้หรานไม่ได้ใส่ใจสักนิด มือข้างหนึ่งของเขาวางบนประตูรถ เผยให้เห็นนาฬิกาเรือนหรูบนข้อมือ เขาจับพวงมาลัยหลวมๆ ด้วยมือข้างเดียว ทันทีที่ไฟแดงดับลงรถก็พุ่งทะยานออกไปพร้อมเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่ม
เมื่อถึงที่นัดหมายเขาก็เห็นฉินหม่านยืนรออยู่แล้ว
อีกฝ่ายสวมสเวตเตอร์สีขาวธรรมดาๆ กับกางเกงยีนส์สีดำ กำลังยืนหลังตรงบนขอบฟุตบาท ด้วยร่างกายที่สูงโปร่งจึงทำให้สะดุดตาเป็นอย่างมาก
จี้หรานอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองสเวตเตอร์สีดำและกางเกงยีนส์ที่ตัวเองใส่อยู่ ก่อนจะรู้สึกแปลกๆ
ตอนที่ตบไฟเลี้ยวเพื่อเตรียมจอดรถ เขาก็เห็นหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดูดีเดินเข้ามาคุยอะไรบางอย่างกับฉินหม่าน
สีหน้าฉินหม่านเรียบเฉยพร้อมกับส่ายศีรษะเบาๆ
นี่แหละคือบุคลิกปกติของฉินหม่าน ปฏิเสธและรักษาระยะห่างกับคนอื่นเสมอ
จี้หรานจอดรถ ตอนที่เงยหน้าขึ้นเพื่อจะดูเหตุการณ์ต่อ เขาก็สบตาเข้ากับฉินหม่านซะก่อน
ฉินหม่านเลิกคิ้วเมื่อเห็นเขา รับนามบัตรที่ผู้หญิงคนนั้นส่งให้แล้วเดินตรงมาที่รถ
ร่างสูงเข้ามาในรถแล้วคาดเข็มขัดด้วยท่าทางสบายๆ
“นายหายดีหรือยัง”
จี้หรานคิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะพูดถึงเรื่องนี้ทันทีที่เจอเขา ทำเอาแทบควบคุมแรงที่เหยียบคันเร่งไม่ได้
“เกี่ยวอะไรกับนาย”
“ต้องเกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว” ฉินหม่านเหลือบมองเขา “ถ้ายังไม่หายดี คงทำตอนนี้ไม่ได้”
จี้หรานสูดหายใจเข้าลึกๆ เตือนตัวเองว่าเขายังมีเรื่องต้องคุยกับฉินหม่าน ยังต่อยอีกฝ่ายตอนนี้ไม่ได้
“ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะนอนกับนาย”
ฉินหม่านพยักหน้า “งั้นตอนนี้เราจะไปไหน”
จี้หรานไม่มองอีกฝ่ายอีกต่อไป เขาเอ่ยเสียงแข็ง “กินข้าว”
จี้หรานจองโต๊ะในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งไว้แล้ว ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษทั้งนั้น ร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีห้องส่วนตัวแยกเป็นสัดส่วนแบบนี้เงียบสงบ สะดวกในการพูดคุยธุระ
หลังจากนั่งลงเขาก็เปิดเมนูแล้วสั่งอาหารแบบส่งเดชมาสองอย่าง
รอจนบริกรปิดประตูจี้หรานก็เอนหลังพิงเบาะแล้วพูดเข้าประเด็นทันที
“มาคุยเรื่องสัญญากันเถอะ นายต้องการค่าเลี้ยงดูปีละเท่าไหร่”
ฉินหม่านรู้ว่าจี้หรานเป็นคนที่คาดเดาได้ยาก แต่พอได้ยินประโยคนี้ก็ยังคงรู้สึกผิดคาดไม่น้อย
เขายิ้มแล้วถามช้าๆ “สบายขนาดนั้นเลย”
“…ฉินหม่าน” จี้หรานเชิดคางขึ้นเล็กน้อยพร้อมขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้านายไม่อยากใช้ชีวิตในหม่านเฉิงแล้ว งั้นก็เชิญอยู่อย่างยากจนต่อไปเถอะ”
จี้หรานแค่ขู่ฉินหม่านเท่านั้น แม้ว่าตระกูลฉินจะล้มละลาย แต่อีกฝ่ายคงไม่ยอมให้ลูกนอกสมรสอย่างเขาข่มเหงอยู่แล้ว รอยยิ้มฉินหม่านหายไป “ฉันจะคิดดู”
จี้หราน “ใช้เวลาคิดนานแค่ไหน ฉันรีบ”
“…” ฉินหม่านใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะเบาๆ จากนั้นประตูก็เปิดออกพร้อมกับบริกรที่นำซาซิมิเข้ามาเสิร์ฟ
หลังจากบริกรจากไปอีกฝ่ายถึงยิ้มออกมา “กินข้าวมื้อนี้เสร็จฉันจะบอกนาย”
จี้หรานไม่มีความอยากอาหารสักนิด เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา “นายกินให้เต็มที่เลย”
ฉินหม่านไม่ได้เอ่ยอะไรอีก หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มจัดการอาหารทันที ถึงคนตรงหน้าจะกำลังจนตรอก แต่มารยาทในการกินกลับยังคงสง่างาม ช่างขัดสายตาจี้หรานที่เคยชินกับการกินดื่มตามร้านข้างทางเสียจริง
ดังนั้นหลังจากฉินหม่านกินไปได้ไม่กี่คำ จี้หรานก็เปิดบทสนทนาอีกครั้ง
“ฉันขอทำความเข้าใจกับนายก่อน” เขาเอ่ย “ที่ฉันซื้อนายมา ไม่ใช่เพราะต้องการให้นายนอนกับฉัน…”
“งั้นนายให้เงินฉันทำไม” ฉินหม่านเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยขัดจังหวะด้วยเสียงกำกวม “นายไม่ชอบร่างกายฉัน แต่ชอบฉัน?”
“…ไม่ใช่แค่ให้นายนอนกับฉันเท่านั้น” จี้หรานกัดฟันแล้วจงใจเอ่ยแก้ด้วยคำพูดเจ็บแสบ “ฉันเรียกนายเมื่อไหร่นายต้องรีบมา ฉันบอกให้ไปทางซ้ายนายก็ห้ามไปทางขวา แล้วก็…ในระหว่างอยู่ในสัญญา นายไม่ได้รับอนุญาตให้เกลือกกลั้วกับคนอื่น ฉันไม่ชอบถูกคู่ขาสวมเขา… เอาเป็นว่ามาตรฐานฉันสูงมาก ดังนั้นนายก็ประเมินราคาให้ดีๆ อย่าขายตัวเองถูกนัก”
จี้หรานจะเสียหน้าไม่ได้ เขาบอกเยว่เหวินเหวินไปแล้วว่าจะเลี้ยงฉินหม่านเป็นเวลาหนึ่งปี ดังนั้นเขาต้องบำรุงหนังวัวผืนนี้ให้ดูดีที่สุด ไม่ให้วัวบินหนีขึ้นฟ้า
ฉินหม่านกลืนซาซิมิ วางตะเกียบลงแล้วใช้ทิชชู่เช็ดปาก “นายมีเงินเท่าไหร่”
จี้หรานชะงัก “ทำไม เอาเป็นว่ามากพอที่จะซื้อนายละกัน ถ้านายไม่มักมากเกินไป ล้านสองล้านก็ยังได้”
“หึ ล้านสองล้านซื้อฉันไม่ได้หรอก” ฉินหม่านยิ้ม “แต่ฉันกับพี่ชายนายรู้จักกัน ฉันจะยอมลดราคาให้ก็ได้… ฉันต้องการครึ่งหนึ่งของเงินทั้งหมดที่อยู่ในบัตรนาย”
จี้หรานที่ตอนแรกอารมณ์สงบลงแล้ว ขมวดคิ้วแน่นทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงจี้เหวย
“นายไม่กลัวบัตรฉันไม่มีเงินหรือไง”
“แล้วนายตกลงไหมล่ะ” ฉินหม่านถามกลับ
บัตรจี้หรานมีเงิน แถมยังมีเงินไม่น้อยเลย ถึงพ่อจะไม่สนใจเขา แต่ก็ยังโอนเงินเข้ามาในบัญชีเขาทุกเดือน ปกติเขาใช้ชีวิตคนเดียว ไม่แตะต้องยาเสพติดหรือการพนัน นอกจากซื้อรถก็ไม่มีค่าใช้จ่ายจำนวนมากอย่างอื่นอีก ดังนั้นถ้าเงินครึ่งหนึ่งในบัญชีหายไป จึงถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลเช่นกัน
แต่จี้หรานไม่เคยสนใจเรื่องเงินอยู่แล้ว
“ตกลง” จี้หรานพยักหน้า “จะให้ไปถอนตอนนี้เลยไหม”
“เย็นป่านนี้ธนาคารคงปิดไปหมดแล้ว”
จี้หรานไม่ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง “งั้นฉันจะนัดกับผู้จัดการไว้ก่อน”
“ไม่ต้องรีบ” ฉินหม่านพูด “ฉันไม่หนีไปไหนหรอก”
พูดจบฉินหม่านก็หยิบนามบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ซึ่งก็คือนามบัตรที่ผู้หญิงคนนั้นเพิ่งให้มานั่นเอง
ฉินหม่านโยนมันลงในที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะโดยไม่ได้มองสักนิด
จี้หรานเหลือบมองก็เห็นคำว่า ‘บริษัทเอเจนซี่’
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นแมวมอง?” หลังจากตกลงสัญญาเสร็จจี้หรานก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด “ฉันได้ยินมาว่าดาราสมัยนี้หาเงินได้เยอะมาก… ทำไม นายดูถูกงานนี้หรือไง”
“ฉันไม่มีประสบการณ์ คงทำได้ไม่ดี” ฉินหม่านเอ่ยเสียงเบา “อีกอย่างแค่นอนกับนายฉันก็ได้เงินเยอะแล้ว จะลำบากไปทำงานนั้นทำไม”
จี้หรานเผลอกัดมวนบุหรี่โดยไม่รู้ตัว “นายแม่งเลิกพูดคำว่านอนกับฉันสักทีได้ไหมฮะ”
“นายไม่ให้พูด ฉันไม่พูดแล้วก็ได้” ฉินหม่านเข้าสู่บทบาทหน้าที่ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ก่อนลุกขึ้น “ฉันกินอิ่มแล้ว ตอนนี้เราจะไปไหนกันต่อ”
จี้หรานนั่งมองอีกฝ่าย แสงไฟที่สาดส่องลงมาทำให้เกิดเงาพาดทับบนใบหน้าฉินหม่าน เขาจึงไม่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงสีหน้ายังไง
ตอนนี้ภาพจำของผู้ชายตรงหน้าที่เคยอยู่ในความคิดเขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว
การล้มละลายสามารถทำให้นิสัยใจคอคนเราเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
เมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดเรื่องไร้สาระ จี้หรานก็รีบถอนสายตาแล้วบี้ปลายบุหรี่ลงบนนามบัตรใบนั้น “ไนต์คลับ”