บทที่ 7
น้ำเสียงจี้เหวยเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วยถึงพยายามอดทนเอาไว้ แต่ถึงอย่างไรคำพูดก็ยังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“งานหมั้นพี่ชายทั้งที น้องชายก็ต้องมาแสดงความยินดีสิ” จี้หรานยิ้มหวาน “พี่สะใภ้ล่ะ ลูกสาวตระกูลไหนกันที่โชคร้ายขนาดนี้”
สีหน้าจี้เหวยแข็งกร้าว ในสายตาของเขา น้องชายคนนี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าพ่อทรยศต่อครอบครัว
ในสายตาทุกคนเขาเป็นผู้สืบทอดที่มั่นคงและเหมาะสมของตระกูลจี้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจี้หราน เขากลับไม่เคยระงับเปลวไฟในใจได้เลย “ไม่มีใครส่งการ์ดเชิญให้นาย ออกไปซะ”
“โอ๊ะ” จี้หรานคิดอะไรขึ้นได้จึงหยิบการ์ดเชิญเรียบหรูออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านใน เขาจับมุมการ์ดเชิญพลางสะบัดมันต่อหน้าจี้เหวย “ฉันดันมีจริงๆ ซะด้วยสิ”
จี้เหวยเม้มปาก เดินไปข้างหน้าแล้วกดเสียงต่ำ “จี้หราน ฉันขอเตือน ถ้านายไม่ไสหัวออกไปตอนนี้ก็ทำตัวเป็นใบ้และอยู่เงียบๆ ซะ ถ้าวันนี้เกิดเรื่องอะไรบ้าๆ ขึ้น… ฉันไม่เอานายไว้แน่”
“จี้เหวย ตระกูลจี้อยู่ในความดูแลของนายแล้วหรือไง” จี้หรานยกยิ้ม “หรือถ้าวันหนึ่งตระกูลจี้ตกเป็นของนายจริงๆ ฉันจี้หรานก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายสักนิด นายมีสิทธิ์อะไรมาชี้นิ้วสั่งฉันไม่ทราบ”
บรรยากาศของทั้งสองคนมาคุจนบรรดานักข่าวที่อยู่ไม่ไกลนักหันมามองด้วยความสนใจ พอเห็นผมสีเขียวเข้มของจี้หรานแล้วยิ่งละสายตาไม่ได้ ต่างคาดเดาต่างๆ นานาว่าชายหนุ่มคนนี้คือใครกัน
ถึงแฟชั่นสมัยนี้จะไปไกลแค่ไหน แต่การย้อมผมสีเขียวทั้งหัวแบบนี้ก็เห็นได้ยากมาก นับประสาอะไรกับการ… ย้อมผมสีเขียวมาร่วมงานหมั้นคนอื่น
หลังจากมองอยู่นานก็เริ่มมีคนสังเกตว่าใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นคล้ายคลึงกับจี้เหวย
แม้หลายปีที่ผ่านมาจะไม่มีคนพูดถึงประเด็นนี้ แต่บรรดานักข่าวก็ไม่ลืมการมีอยู่ของลูกนอกสมรสแห่งตระกูลจี้ ถึงเรื่องนี้จะหมดความนิยมไปนานแล้ว แต่การซุบซิบเรื่องคนรวยก็ยังคงเป็นที่นิยมในสังคมอยู่ดี แค่เสนอข่าวเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้
ทันใดนั้นนักข่าวก็ตั้งสติได้ รีบหยิบกล้องแล้วพุ่งเข้าไปหาจี้หราน แต่เดินไปได้สองก้าวก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขวางเอาไว้
จี้หรานมองตามเสียงการเคลื่อนไหวแล้วถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว เขายัดการ์ดเชิญใส่กระเป๋าสูทด้านในของจี้เหวยแล้วหมุนตัวเดินเข้างานทันที
“… ทำเรื่องน่าอายต่อหน้านายซะแล้ว” จี้เหวยปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว หยิบการ์ดเชิญออกมาเพื่อเตรียมทิ้งลงถังขยะ
“ไม่เป็นไร” ฉินหม่านมองตามแผ่นหลังของคนที่เพิ่งเดินจากไป “งั้นฉันเข้าไปข้างในนะ”
เมื่อเดินเข้ามาภายในงาน จี้หรานก็เห็นเจ้าของงานอีกคนอย่างรวดเร็ว
เธอเป็นผู้หญิงที่ดูจิตใจดีและอ่อนโยนมากๆ สวมชุดผ้าโปร่งสีขาว รายล้อมไปด้วยเพื่อนสนิทที่แต่งตัวสวยงาม ดูจากกิริยาท่าทางก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ผู้หญิงที่มาจากครอบครัวธรรมดาๆ
จริงสินะ ระดับตระกูลจี้ ไม่มีหรอกการแต่งงานที่เกิดจากความรัก
จี้หรานคิดในใจ ผู้หญิงดีๆ แบบนี้มาแต่งงานกับจี้เหวย เสียของชะมัด
“นั่งตรงไหน”
จี้หรานสะดุ้งตกใจแล้วหันหลังขวับ จึงเห็นว่าเป็นฉินหม่านที่ไม่รู้ว่ามายืนข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
“นายเขย่งเท้าเดินหรือไง ถึงไม่ได้ยินเสียงสักนิด” จี้หรานลอบถอนหายใจ “นายมาทำอะไรที่นี่ มีเงินซื้อของขวัญแสดงความยินดีหรือไง”
เขาหรี่ตาเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “อย่าบอกนะว่านายเอาเงินที่ฉันให้นายไปซื้อของขวัญให้จี้เหวย”
จี้หรานรู้ว่าคำถามนี้มันไร้เหตุผล เงินอยู่ในมือฉินหม่าน ฉินหม่านจะใช้ยังไงก็ใช้ไป แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่พอใจอยู่ดี
“เปล่า” ฉินหม่านส่ายหน้า “ฉันใช้เงินเก็บของฉันซื้อ แค่นาฬิกาคู่ ไม่กี่หยวนหรอก”
“…” จี้หรานขมวดคิ้ว “ให้ของขวัญถูกๆ จะโดนดูถูก เรื่องนี้นายไม่รู้หรือไง ไม่ต้องมายังดีซะกว่า”
ฉินหม่านเอ่ยอย่างสบายๆ “พี่ชายนายเขาเข้าใจ”
จี้หรานยิ้มเยาะ “งั้นความสัมพันธ์ของนายกับเขาก็คงแน่นแฟ้นจริงๆ”
คุณหญิงจี้มองเห็นเส้นผมสีเขียวสว่างของหลานชายแต่ไกล แม้ได้รับการอบรบมาดีแค่ไหน เธอก็อดที่จะขมวดคิ้วจนเป็นปมไม่ได้
เธอน่าจะสังเกตได้ตั้งแต่แรกแล้ว จี้หรานกับจี้เหวยเป็นเหมือนน้ำกับไฟมาโดยตลอด แล้วจี้หรานจะยอมมางานหมั้นอย่างบริสุทธิ์ใจได้อย่างไร
เพราะกังวลว่าจี้หรานจะมาร่วมงานในชุดกางเกงยีนส์ เธอจึงให้คนเลือกสูทไปให้โดยเฉพาะ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจี้หรานจะย้อมผมตัวเองจนเป็นแบบนี้ ตอนนี้เธอเห็นแค่ความเหลวไหลและเฉยชาของหลานชายเท่านั้น
ทำตระกูลจี้ขายหน้าจริงๆ
แต่หลานชายเธอมาที่นี่แล้ว ตอนนี้จะคิดอะไรไปก็คงไร้ประโยชน์
เพราะไม่อยากให้เอิกเกริกเกินไป งานเลี้ยงวันนี้จึงไม่ได้จัดโต๊ะไว้เยอะนัก แขกที่มาล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่มีหน้ามีตา ซึ่งจี้หรานไม่รู้จักเลยสักคน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลจี้ ที่ผ่านมามีแค่การกินเลี้ยงในบ้านที่ไม่ได้เชิญคนนอก
“คุณฉิน เชิญทางนี้ครับ” พ่อบ้านผู้ติดตามคุณหญิงจี้เดินมาหาพวกเขาแล้วผายมือเชื้อเชิญฉินหม่าน เอ่ยจบถึงมองมายังจี้หราน “คุณชายเล็กจี้ คุณหญิงจี้ให้คุณไปนั่งโต๊ะสาม ท่านจองที่ไว้ให้คุณแล้วครับ”
“รู้แล้ว” จี้หรานตอบแล้วเดินตรงไปยังที่นั่ง
พ่อบ้านเห็นจี้หรานนั่งลงที่โต๊ะสามแล้วก็โล่งใจ “คุณฉิน ผมจะพาคุณไป…”
“ไม่ต้อง” ฉินหม่านยิ้ม “รบกวนเพิ่มที่นั่งโต๊ะสามให้ผมด้วย”
พ่อบ้านผงะ “คุณฉิน แต่ที่นั่งคุณอยู่ที่โต๊ะหลัก…”
จี้หรานเพิ่งนั่งลงก็ได้รับข้อความจากเยว่เหวินเหวิน
[เสี่ยวหรานหรานนายเจ๋งมาก! คืนนี้ไทม์ไลน์วีแชทฉันเดือดเพราะนายเลยนะ!!]
จี้หรานงุนงง [??]
อีกฝ่ายแคปรูปไทม์ไลน์วีแชทส่งมาให้ พอเปิดดูจี้หรานก็เห็นว่าเป็นรูปผมสีเขียวของตัวเอง
ดูเหมือนเขาจะถูกแอบถ่ายตอนเพิ่งจากรถ แถมยังเป็นรูปถ่ายที่มีความคมชัดสูงอีกด้วย
[ตามหารุกทั่วปฐพี: แต่ละคืนของฉันจะผ่านไปได้ด้วยรูปรูปนี้]
ตามมาด้วยคอมเมนต์ด้านล่างที่เกือบเต็มหน้าจอ
[เพื่อนสาว หล่อนนี่กล้าจริงๆ เห็นใครก็มีอารมณ์ไปหมด รู้หรือเปล่าว่านี่ใคร]
[เซฟเรียบร้อย ขอบคุณนะเพื่อนสาว!]
[บ้าผู้ชายกันจริงๆ]
[หน้าแบบนี้ ขาแบบนี้ ไหล่แบบนี้ ฉันยอมคุกเข่าจนเข่าด้าน ยอมอ้าปากจนปากแตก ยอมหามรุ่งหามค่ำ… ไม่สิ ฉันยอม Top ให้เลย!!]
จี้หราน [……]
คุกเข่าจนเข่าด้าน? อ้าปากจนปากแตก?? อะไรกัน???
… คนคนนี้คงไม่ได้กำลังอนาจารเขาหรอกนะ
จี้หรานอึ้งไปพักใหญ่ถึงตอบกลับ
[คอมเมนต์ล่าสุดเป็นของไอ้เวรคนไหน ฉันจะตัดหัวมันซะ]
เยว่เหวินเหวิน [ไม่เอาน่า พวกเพื่อนสาวก็แค่ล้อเล่นกันเฉยๆ]
จี้หราน [ใครเป็นคนถ่าย ให้เจ้านั่นลบโพสต์ทิ้งซะ]
เยว่เหวินเหวิน [เหมือนว่าช่างภาพสักคนจะโพสต์ลงกลุ่มแชทกลุ่มใหญ่ ลบน่ะลบแล้ว แต่เจ้านี่มีเพื่อนในวีแชทเยอะมาก เมื่อกี้ฉันเพิ่งเข้าไปดู…]
เยว่เหวินเหวิน [รูปนี้ถูกโพสต์ลงบนเวยป๋อแล้ว แถมยังถูกแชร์มาหน้าไทม์ไลน์ฉันแล้วด้วย]
เชี่ยเอ๊ย
จี้หรานกำลังจะพิมพ์ตอบ ทันใดนั้นก็รู้สึกร้อนๆ ที่ใบหู
ปลายนิ้วของคนคนนั้นแห้งกร้านเล็กน้อย สัมผัสจากการนวดคลึงทำให้จี้หรานเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลังจนต้องรีบเงยหน้าขึ้น
ฉินหม่านปล่อยมือออกอย่างรวดเร็วแล้วนั่งลงข้างๆ เขาด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ
“ทำไมหูนายแดงขนาดนั้น”
“ใครอนุญาตให้นายแตะต้องตัวฉัน” จี้หรานปิดกล่องแชทลงอย่างรวดเร็ว “…นายเป็นหนอนตามตูดหรือไง”
ฉินหม่านยิ้มพลางเอ่ยเสียงเบา “งานฉันคืออยู่เป็นเพื่อนนายไม่ใช่หรือไง”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องให้นายอยู่เป็นเพื่อน” จี้หรานกดเสียงต่ำ “ถ้าต้องการ ฉันจะเรียกนายเอง ถ้าไม่ได้เรียกก็ไม่ต้องเสนอหน้ามา”
คำพูดหนุ่มรุ่นน้องช่างทำร้ายจิตใจกันจริงๆ
ฉินหม่านพยักหน้า แสร้งทำเป็นเสียใจ “แต่นายไม่เคยเรียกฉันเลย เบื่อฉันแล้ว?”
การรวมตัวกันของสองคนนี้แปลกมาก คนหนึ่งเป็นลูกนอกสมรส คนหนึ่งเป็นบุคคลล้มละลาย คนทั้งโต๊ะจึงลอบสังเกตอย่างอดไม่ได้
“ใช่” จี้หรานรำคาญที่ถูกมองจึงอยากจบบทสนทนาให้เร็วที่สุด “ฉันเป็นพวกได้แล้วทิ้ง มีปัญหาไหม”
“ไม่มี” ฉินหม่านยิ้มจนลักยิ้มข้างหนึ่งบุ๋มลงไป “ฉันชอบผู้ชายเลวๆ พอดี”
จี้หราน “…”
หลังจากรู้สึกไร้คำจะพูดแล้ว ก็ทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึกๆ
“…นายไม่ต้องพยายามขนาดนี้ก็ได้ ฉันไม่หักเงินเดือนนายหรอกน่า”