ตอนที่ 4
ในที่สุดวิชาสุขศึกษาคาบที่สองที่รอคอยก็มาถึง นักเรียนชั้นปีที่สิบของวิทยาลัยปี้คงเดินทางโดยยานบินมาถึงประตูหลักของฐาน และต่างตกตะลึงทันใดกับประติมากรรมของตัวอักษร “หลิง” (เลขศูนย์) ที่สูงสง่างดงามหน้าประตู ตัวอักษร “หลิง” แสนเรียบง่ายนี้เป็นชื่อที่แท้จริงของฐาน ส่วนคำว่าฐานเป็นเพียงชื่อที่เรียกกันทั่วไปของที่นี่เท่านั้น
“หลิง…” หลิงเซียวอ่านชื่อนี้ออกมาเหมือนกำลังท่องจำ เมื่อหลันเฉิงและคนอื่น ๆ คิดว่าเขากำลังจะแสดงอารมณ์ลึกซึ้งบางอย่างก็ได้ยินเขาพูดออกมาว่า “เซียวได้มาเที่ยวที่นี่แล้ว”
“เจ้าทึ่ม!” หลันเฉิงเตะก้นของเขา
“ทำอะไรน่ะ” หลิงเซียวลูบก้นด้วยความเจ็บปวด “นายไม่คิดว่าคำนี้สมพงศ์กับฉันมากเหรอ”
“ฉันคิดว่านายทึ่มมากต่างหาก” หลันเฉิงเหมือนทนดูไม่ได้ “อย่าทำให้นามสกุลนี้แปดเปื้อนเลย”
กลุ่มคนยังคงเดินชมและถ่ายรูปรอบ ๆ เลขศูนย์ เหยาไถผู้นำทีมรอจนเด็ก ๆ สนุกพอแล้วจึงเอ่ยปากถาม
“มีใครรู้บ้างว่าทำไมที่นี่ถึงมีชื่อว่าหลิง”
บรรดานักเรียนต่างมองหน้ากัน เธอมองฉัน ฉันมองเธอ แล้วพากันส่ายหน้าอย่างไม่รู้อะไรเลย
เหยาไถแนะนำด้วยความเคร่งขรึม “เลขศูนย์เป็นจุดเริ่มต้นของจำนวนบวกและยังเป็นจุดสิ้นสุดของจำนวนลบ บนแกนตัวเลขที่ขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด มันจะอยู่ในตำแหน่งที่อยู่ตรงกลางที่สุดเสมอ สำหรับชาวเทียนซู่แล้ว ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่พวกเราตื่นขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นจุดสิ้นสุดของความเงียบ และยังเป็นจุดกึ่งกลางของจิตวิญญาณของเราด้วย
“เมื่อเราเดินมาถึงจุดสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าร่างกายจะอยู่ที่ไหน วิญญาณก็จะกลับสู่ที่เดิม เข้าสู่การพักผ่อนและทำให้บริสุทธิ์ช่วงหนึ่งจนกว่าร่างกายใหม่จะถือกำเนิดขึ้น แล้วเดินเข้าสู่ชีวิตใหม่จากการหลับใหลอีกครั้ง พวกเราดูทางนั้นสิ” เหยาไถชี้ไปที่อาคารที่สูงที่สุดทางทิศเหนือ “ที่นั่นคือประภาคารแห่งจิตวิญญาณของพวกเรา เป็นแสงสว่างนำทางให้กับชาวเทียนซู่ผู้ล่วงลับ หากมันพังทลาย วิญญาณ
ของพวกเราก็จะหลงทาง เพราะอย่างนี้ชาวเทียนซู่หลายชั่วอายุคนถึงต้องแบกรับความรับผิดชอบในการปกป้องประภาคาร และพวกเธอในอนาคตก็เหมือนกัน”
บรรดานักเรียนมองไปยังประภาคารสูงตระหง่านในระยะไกล ความรู้สึกอันหนักหน่วงแห่งการเป็นเจ้าของได้ก่อตัวขึ้นในใจ
“ฉันเหมือนได้ยินเสียงหนึ่งกำลังเรียกฉันเลย” หลิงเซียวพึมพำกับตัวเอง
“ฉันก็ด้วย” แววตาของหลันเฉิงไร้จุดโฟกัส “เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังดึงดูดให้ฉันเข้าไป”
หลิงเซียวเหม่อมองเงียบ ๆ อยู่สักพัก ก็หันหน้าไปหาอิ๋งเฟิงที่อยู่ห่างไกลจากฝูงชนและจ้องมองไปในระยะไกล การแสดงออกบนใบหน้าของเขายังคงเย็นชา แต่แววตากลับมีความอ่อนโยนที่ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก
อิ๋งเฟิงรู้สึกตัวว่ามีคนกำลังแอบมองเขา เมื่อหันไปมอง ความอ่อนโยนในแววตาก็หายวับไปทันที เขามองสบตากับหลิงเซียวด้วยสายตาคมกริบเหมือนเดิม
หลิงเซียวเหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ รีบเบือนหน้าหนีอย่างว่องไว หัวใจเต้นตึ้กตั้ก
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงสงบสติอารมณ์ลงได้ ทำไมฉันต้องอายแล้วหลบหน้าด้วยล่ะเนี่ย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็รวบรวมความกล้าจ้องกลับไป แต่กลับพบว่าความสนใจของอิ๋งเฟิงไม่ได้อยู่ที่ตนแล้ว แน่นอนว่าความรู้สึกขุ่นเคืองใจที่หาทางออกไม่ได้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“นายมัวแต่เหม่ออะไรน่ะ ไปสิ” หลันเฉิงลากหลิงเซียวไป เขาจึงรู้สึกว่ากลุ่มคนส่วนใหญ่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าแล้ว จึงเร่งฝีเท้าเพื่อให้ตามทัน
เหยาไถแนะนำสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ระหว่างที่พาทุกคนเดิน “ที่นี่คือสระชำระจิต หลังจากที่วิญญาณแต่ละดวงกลับมาแล้วจะต้องหยุดพักในสระก่อน พวกคนในศาสนาบอกว่าที่นี่คือสถานที่ล้างบาปจากชาติที่แล้ว แต่ว่าในสายตาของนักวิทยาศาสตร์ ที่นี่เป็นเหมือนสถานที่ล้างความทรงจำมากกว่า”
ชั้นนอกของสระชำระจิตเป็นฝาปิดโปร่งใส ทุกคนจึงสามารถมองเห็นน้ำสีฟ้าใสด้านในสระผ่านฝาปิดด้านหน้าได้
“ฉันชอบที่นี่เป็นการส่วนตัว นอกเหนือจากความทรงจำแล้ว มันยังสามารถขจัดสิ่งไม่บริสุทธิ์ออกจากจิตวิญญาณได้ด้วย จิตวิญญาณดำรงอยู่ในร่างกายเป็นเวลาหลายปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยสะสมอารมณ์เชิงลบ หลังจากถูกล้างในสระชำระจิตแล้ว สิ่งสกปรกเหล่านี้ก็จะถูกกำจัดจนหมดสิ้น และทำให้มันกลับคืนสู่ร่างวิญญาณที่บริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง”
“แล้วถ้าไม่ลงสระชำระจิต ความทรงจำในชาติที่แล้วก็จะยังคงอยู่เหรอคะ” นักเรียนหญิงคนหนึ่งถามขึ้น
“ไม่มีข้อสันนิษฐานที่เธอว่า เพราะนี่คือสถานที่ที่วิญญาณต้องผ่าน วิญญาณที่ไม่ได้ผ่านการชำระให้บริสุทธิ์ก็จะไม่สามารถเข้าสู่วิหารเพื่อกลับชาติมาเกิดได้”
เหล่านักเรียนพยักหน้า เป็นแบบนี้นี่เอง
“และที่นี่ก็เป็นต้นไม้แห่งจิตวิญญาณที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ การถือกำเนิดครั้งแรกของทุกชีวิตมาจากที่นี่ทั้งนั้น” เหยาไถชี้ไปยังต้นไม้ที่สูงเสียดฟ้าในระยะไกล “การเติบโตของผลวิญญาณแต่ละลูกต้องดูดซับแก่นแท้ของฟ้าดิน และสลัดแก่นแท้ของสรรพสิ่ง เมื่ออายุครรภ์ครบร้อยปีก็จะสุกงอม มันแสดงให้เห็นว่าจิตวิญญาณมีค่าเพียงใดสำหรับเรา”
ทุกคนมองไปยังเรือนยอดไม้ขนาดใหญ่อย่างตั้งใจ เห็นเพียงลำแสงของผลไม้ขนาดประมาณกำปั้นลูกหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่ตั้งใจมองก็จะไม่สังเกตถึงการมีอยู่ของมันเลย
“ทำไมถึงมีวิญญาณแค่ดวงเดียวที่กำลังโตล่ะครับ”
“สมัยก่อนมันไม่ได้เป็นแบบนี้ บางทีต้นไม้แห่งจิตวิญญาณอาจคิดว่าวิญญาณบนโลกถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็ได้” เหยาไถอธิบายอย่างคลุมเครือ “เกือบพันปีที่ผ่านมา จิตวิญญาณที่เพิ่งเกิดใหม่ก็โตช้าแบบนี้ ไม่ว่านักวิจัยจะทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่สามารถกระตุ้นการเติบโตได้ โชคดีที่วิญญาณที่มีอยู่จะไม่ตายง่าย ๆ พวกเราเลยไม่ต้องเผชิญกับวิกฤตประชากร”
พวกเขาเดินผ่านอาคารหลังหนึ่ง อาคารหลังนี้ดูไม่เตะตาเอาเสียเลย ผนังภายนอกสีเข้มแทบไม่มีการตกแต่งใด ๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เชื้อเชิญให้คนเข้าไป รูปแบบสถาปัตยกรรมที่น่าหดหู่แบบนี้มีแต่จะทำให้ผู้คนอยากหลีกหนีให้ไกลเท่านั้น
แต่หลิงเซียวกลับรู้สึกว่าอาคารนั้นดึงดูดเขาอย่างน่าประหลาด จึงชำเลืองมองหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว
“คุณหมอเหยาครับ ที่ตรงนั้นคืออะไรเหรอ” เมื่อเห็นว่าเหยาไถไม่มีท่าทีจะแนะนำ เขาก็ถามขึ้นมาก่อน
เหยาไถถอนใจ รู้ดีว่าในที่สุดก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงคำถามนี้ได้ จึงได้แต่ตอบไปตามความจริง
“ที่นั่นคือห้องโถงแห่งฝันร้าย แต่เดิมเป็นลานประหารชีวิต ถ้าหากมีคนก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่หนักหนาถึงขนาดก่อให้เกิดผลกระทบที่แก้ไม่ได้และเป็นอันตรายต่อทั้งเผ่าพันธุ์แล้วละก็ ทีมตุลาการทหารก็มีสิทธิ์ที่จะลงโทษประหาร นี่คือบทลงโทษสูงสุดในกฎหมายของประเทศเรา แต่เนื่องจากเงื่อนไขในการลงโทษก็เข้มงวดมากเหมือนกัน เลยไม่มีใครต้องโทษประหารชีวิตมาหลายปีแล้ว กรม
ทหารก็คาดหวังว่าโทษประหารชีวิตจะถูกยกเลิกอย่างสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้นี้”
“ถ้าอย่างนั้นอาคารนี้ก็จะถูกทำลายรึเปล่าครับ”
“ก็คงไม่…” นาน ๆ ทีที่เหยาไถจะลังเล “ที่จริงที่นี่ยังใช้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง ก็คือการุณยฆาต แต่อาจจะเป็นเพราะว่าชาวเทียนซู่ไม่ได้ตายจริง ๆ ละมั้ง ผู้คนถึงไม่หวงแหนชีวิตของตัวเองเหมือนสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ทุกปีจะมีคนที่เดินเข้ามาในที่แห่งนี้ด้วยตัวเองเพื่อขอให้จบชีวิตตนก่อนกำหนด และทางประเทศก็อนุญาตให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์นี้”
เหล่านักเรียนมองหน้ากัน “ทำไมล่ะครับ”
“เพราะการจากไปของคู่ครองน่ะ ชาวเทียนซู่ที่เป็นม่ายหลายคนไม่ต้องการที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว” เหยาไถมองไปยังห้องประหารชีวิตด้วยแววตาซับซ้อน “พวกเขางมงายว่าหากตายในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็จะสามารถกลับมาเกิดใหม่ด้วยกันได้ ตื่นพร้อมกันได้ ได้พบกัน และได้รักกันอีกครั้ง…”
หลิงเซียวฟังจนเข้าสู่ภวังค์ “แล้วความจริงล่ะครับ”
“ความจริงก็คือ เมื่อวิญญาณผ่านสระชำระจิต ความทรงจำในชาติก่อนก็จะถูกลบทิ้งโดยสิ้นเชิง ทั้งรูปลักษณ์และนิสัยหลังการเกิดใหม่จะถูกสร้างขึ้นแบบสุ่ม จะมีชีวิตใหม่ตั้งแต่หัวจดเท้า ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชาติที่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเวลาในการหลับของแต่ละวิญญาณก็ไม่เท่ากัน แม้จะตายในเวลาเดียวกัน ก็อาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน ท่ามกลางกระแสผู้คนมากมาย การตามหาคนที่
ลืมเลือนไปแล้วเพื่อมารักกันใหม่ อาจฟังดูเหมือนเป็นความปรารถนาที่งดงาม แต่ที่จริงแล้วมันไม่ต่างอะไรจากความฝันที่งี่เง่า”
“ถึงได้บอกไงว่านักวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ความโรแมนติกที่สุดในโลก” หลันเฉิงถอนใจ “ไม่เหลือแม้แต่ความหวังสุดท้ายอันสวยงามให้กับคนอื่นเลย”
“ฉันสงสัยมากเลยว่าอีกครึ่งหนึ่งของคุณหมอเหยาคือใคร ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์หัวแข็งอย่างเธอ สองคนนี้จะน่าเบื่อแค่ไหนที่ต้องอยู่ด้วยกันทั้งวัน” หลิงเซียวก็แอบนินทา
“พวกนาย” ผิงจงทั้งโมโหทั้งขำ “หรือพวกนายเชื่อว่าถ้าชาตินี้ตายพร้อมกัน แล้วชาติหน้าจะได้เจอกันอีก”
“ฉันไม่เชื่อ” หลันเฉิงพูดอย่างจริงจัง “ชาตินี้ก็คือชาตินี้ ฉันรู้จักลักษณะของนาย นิสัยของนาย และความเป็นตัวนายในชาตินี้ดี และมันคือทุกอย่างที่ฉันชอบในชาตินี้ แต่ว่าชาติหน้านายจะมีหน้าตาเป็นยังไง เป็นคนแบบไหน หรือว่าจะอยู่กับใคร มันคืออนาคตที่ฉันไม่สามารถจินตนาการได้ ดังนั้นฉันจะไม่ฝากความหวังของฉันไว้ในชีวิตหลังความตายที่ลวงตา ถ้าชาตินี้เกิดโชคไม่ดีนายจากฉันไปก่อน ฉันก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปคนเดียวด้วยความคิดถึงที่มีให้นาย”
ทั้งสองจ้องมองกันด้วยความรักลึกซึ้ง ทุกคนรอบข้างเป็นเพียงแค่ฉากหลัง
“พวกนายสองคน ถ้าไม่เลี่ยนสักวันจะตายให้ได้ใช่ไหม” หลิงเซียวลูบแขนของตัวเองทำท่าขนลุกเกินจริง “ถ้าพวกนายไม่ตายด้วยความรัก ฉันอาจจะอ้วกแตกตายเพราะพวกนายก่อน”
“ไปให้พ้นเลย!” หลันเฉิงเย้าเล่น พวกเขาเดินผ่านห้องประหารชีวิต หลังจากนั้นก็ผ่านอาคารต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ศูนย์ตรวจสุขภาพและศูนย์ตรวจสอบความปลอดภัย ในที่สุดก็มาถึงหัวใจหลักของกิจกรรมทัศนศึกษาครั้งนี้… วิหารสังสารวัฏ
เดิมทีหลิงเซียวคิดว่าสถานที่ที่ตั้งชื่อแบบนี้น่าจะเป็นวิหารที่มีบรรยากาศทางศาสนาเข้มข้น แต่พอได้เห็นกับตาถึงพบว่าแท้จริงแล้วมันเป็นสนามกีฬาที่ทันสมัย ภายในสนามเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือไฮเทคชนิดต่าง ๆ สไตล์การตกแต่งสีขาวล้วนเหมือนโรงพยาบาลหรือสถาบันวิจัย ความใหญ่โตของสนามกีฬาแห่งนี้ถึงขั้นมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ผู้บริหารของสถาบันรอนักเรียนอยู่ที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่แล้ว เขาดูเป็นคนอ่อนโยนและสง่างาม มีแว่นตาขอบทองบนดั้งจมูก ภายใต้เลนส์คือดวงตาสีอ่อนคู่หนึ่งที่เปื้อนรอยยิ้มอยู่เสมอ
เหยาไถเดินนำเข้าไป เธอแลกจูบเบา ๆ กับอีกฝ่ายภายใต้การจับจ้องของทุกคน เหล่านักเรียนต่างตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง นี่มันมารยาทประหลาดแบบไหนกันนะ
“ฉันจะแนะนำให้ทุกคนรู้จัก ท่านนี้คือคู่สมรสของฉันและยังเป็นหัวหน้านักวิจัยที่นี่ด้วย พวกเธอจะเรียกเขาว่าศาสตราจารย์จื๋อซั่งก็ได้”
เหล่านักเรียนยิ้มจนปากฉีกถึงใบหูโดยเฉพาะหลิงเซียวกับหลันเฉิง พวกเขาเพิ่งจะซุบซิบเรื่องของฝ่ายนั้นมา เพียงพริบตาเดียวคนที่ถูกกล่าวถึงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอย่างเรียบง่ายสง่างาม ต่างจากภาพของ “นักวิทยาศาสตร์หัวแข็ง” ที่จินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง
จื๋อซั่งสูงเกือบจะเท่ากับเหยาไถที่สวมรองเท้าส้นสูง สีตาของทั้งสองคน คนหนึ่งเข้มคนหนึ่งสว่าง เพียงแวบเดียวก็สามารถแยกแยะสถานะของพวกเขาออกแล้ว
“สวัสดีนักเรียนทุกคน” จื๋อซั่งพยักหน้ากับทุกคนอย่างมีมารยาท
“ขอต้อนรับทุกคนสู่การเยี่ยมชมฐาน เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นไกด์ในวันนี้ จากนี้ไปฉันจะทำหน้าที่อธิบายกับทุกคนระหว่างทางไปที่ห้องโถงใหญ่”
ในขณะนี้ความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียนต่อเรื่องซุบซิบนินทาสูงกว่าวิหารสังสารวัฏอย่างเห็นได้ชัด ศาสตราจารย์จื๋อซั่งที่ดูเป็นมิตรถูกรุมล้อมหน้าล้อมหลังอย่างรวดเร็ว
“ศาสตราจารย์ ที่แท้คุณก็เป็นทาสพันธะของคุณหมอเหยานี่เอง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าทาสพันธะของคุณหมอเหยาเป็นศาสตราจารย์อยู่ในศูนย์วิจัย สุดยอดไปเลย!”
“พวกคุณดูเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากเลย หนูสงสัยมาตลอดว่าคู่ครองของผู้หญิงสวยอย่างคุณหมอเหยาจะมีหน้าตาเป็นยังไง ตัวจริงไม่ทำให้หนูผิดหวังจริง ๆ!”
จื๋อซั่งมีใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาและตอบทุกคำถามของเหล่านักเรียนด้วยความใจเย็น ถ้าไม่สามารถตอบได้ก็จะเผชิญหน้าด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ไม่แสดงความรำคาญแต่อย่างใด
เมื่อเทียบกันแล้ว เหยาไถไม่ได้ใจเย็นขนาดนั้น “นี่ ๆ ตอนนี้เป็นการทัศนศึกษาของวิชาสุขศึกษา พวกเธอช่วยถามอะไรที่มันเกี่ยวกับวิชาเรียนหน่อยได้ไหม”
“พวกเราก็กำลังถามอยู่นี่ไง กำลังทำความเข้าใจว่าชีวิตและการงานของทาสพันธะ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องความสมบูรณ์ของร่างกายหรอกเหรอ”
“ใช่ ๆ” มีคนเห็นด้วยทันที “หนูนึกมาตลอดว่าหน้าที่การงานของทาสพันธะจะอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่า พอได้ยินว่าศาสตราจารย์เป็นหัวหน้านักวิจัยของที่นี่แล้วก็รู้สึกตกใจจริง ๆ นะคะ!”
ทุกคนได้ยินคำพูดของเธอแล้วก็พากันเห็นด้วย
จื๋อซั่งยิ้ม “อาเหยา คุณทำให้พวกเขาตกใจด้วยเรื่องระบบลำดับชั้นระหว่างคู่สมรสอีกแล้วเหรอ แม้ว่าอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างนายพันธะและทาสพันธะก็ตาม แต่ในสังคมทั้งหมด ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน เทียบกับนายพันธะคนอื่น ฉันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย ฉันก็มีลูกน้องนักวิจัยหลายคนที่เป็นนายพันธะ เวลาทำงานพวกเขาก็เชื่อฟังฉันเหมือนเดิม”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” นักเรียนยกมือตบหน้าอกด้วยความซาบซึ้ง “หนูตกใจแทบแย่ นึกว่าการเป็นทาสพันธะจะได้รับผลกระทบแม้กระทั่งการงานในอนาคตซะอีก”
“ที่จริงความคิดของเธอก็ใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วนายพันธะมักจะดีกว่าทาสพันธะในแง่ของประสิทธิภาพในการต่อสู้ ดังนั้นในเขตสงครามบางแห่ง ก็จะมีจำนวนนายพันธะเป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าในด้านอื่น ทุกคนต่างแข่งขันกันอย่างเท่าเทียม ครูใหญ่ของพวกเธอก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ”
เมื่อเขาพูดอย่างนี้ ทุกคนจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าอันที่จริงครูใหญ่ก็มีสถานะเป็นทาสพันธะคนหนึ่งเหมือนกัน พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่ครูใหญ่ทำลายอาคารเรียนไปครึ่งหนึ่งด้วยหมัดเดียวเพื่อที่จะจับกุมนักเรียนรุ่นพี่สองสามคนที่ละเมิดกฎของโรงเรียน ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเห็นฉากอันน่าทึ่งนั้นกับตาตัวเอง คนที่มีพลังเหนือธรรมชาติแบบนี้ เหล่านักเรียนไม่สามารถเชื่อมโยงเขากับคำว่าทาสพันธะได้เลย มันเต็มไปด้วยความหลอกลวงเหมือนหน้าใส ๆ ของเขา
“สวรรค์ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าใครกันที่ชนะครูใหญ่ในพิธีบรรลุนิติภาวะ”
เมื่อพูดออกมาแบบนี้ ทุกคนต่างพยักหน้าด้วยความสยดสยอง
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เด็กน้อยอย่างพวกเธอต้องกังวล” เหยาไถขัดความคิดของพวกเขาอย่างหัวเสีย
“คุณหมอเหยาดุแบบนี้ คงรังแกคุณบ่อย ๆ ใช่ไหมคะศาสตราจารย์” มีนักเรียนแอบถาม
“นั่นสิ คุณหมอเหยาเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างในบ้านสินะ แต่ก็ดูเหมือนว่าคำพูดของนายพันธะเป็นใหญ่อยู่แล้ว”
“ศาสตราจารย์ ยังไงคุณก็เป็นผู้ชาย เธอเป็นผู้หญิง แล้วทำไมคุณถึงแพ้เธอล่ะครับ”
จื๋อซั่งหัวเราะก่อนที่จะตอบว่า “ฉันไม่ได้สู้เธอไม่ได้ แต่ฉันเต็มใจที่จะมอบเลือดในหัวใจให้เอง ยอมเป็นทาสพันธะของเธอด้วยความสมัครใจ”
นักเรียนหลายคนมีสีหน้าสับสน “หา? ทำไมล่ะครับ”
“เพราะว่าฉันรักเธอ แค่ต้องการที่จะอยู่กับเธอโดยไม่สนว่าฉันจะอยู่ในสถานะอะไร” เขาตอบเบา ๆ
“แต่ไหนบอกว่าสถานะของนายพันธะกับทาสพันธะต่างกันมาก ต่อให้เป็นการรักคนคนหนึ่ง คุณจะเต็มใจอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณหมอเหยาไปตลอดชีวิตได้ยังไง”
จื๋อซั่งหลุบตาลงครุ่นคิด “หลังจากเป็นคู่สมรสกันแล้ว ฉันไม่รู้สึกว่าสถานะของเราแตกต่างกันมาก พวกเราเป็นคู่รักกันตั้งแต่วัยเด็ก รักกันตั้งแต่อยู่ในระยะเยาว์วัยปีที่สาม คบกันมาสิบเอ็ดปี ความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้เป็นแบบไหน ในอนาคตก็จะยังคงเป็นอย่างนั้น ฉันนับถือเธอมาโดยตลอด และแน่นอนว่าเธอก็นับถือฉันมากเหมือนกัน ความแตกต่างของระดับชั้นที่พวกเธอจินตนาการ… ก็อาจจะมีละมั้ง แต่อย่างน้อยมันไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างพวกเรา”
“โรแมนติกจังเลย” นักเรียนหญิงคนหนึ่งฟังจนจิตใจล่องลอย “ที่แท้มันก็เป็นแบบนี้ได้เหมือนกัน”
“ที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างนายพันธะกับทาสพันธะก็เป็นแบบนี้ มันอาจสร้างผลกระทบที่โหดร้าย แต่ก็อาจเป็นแค่สิ่งลวงตาได้เหมือนกัน ตราบใดที่หัวใจของคนสองคนเท่ากัน สถานะของพวกเขาก็เท่ากัน ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะเป็นยังไง”
“ว้าว” ทุกคนอุทานเป็นเสียงเดียวกัน “สมกับเป็นคู่สร้างคู่สมกันจริง ๆ คุณหมอเหยาก็พูดแบบนี้เป๊ะเลย”
จื๋อซั่งมองเหยาไถพร้อมกับยิ้ม เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าผลจะเป็นแบบนี้
“ศาสตราจารย์ครับ” ทันใดนั้นจู๋เย่ว์ที่ตามอิ๋งเฟิงอยู่นอกวงตลอดเวลาก็พูดขึ้น “คุณเคยเสียใจไหมครับที่มอบเลือดในหัวใจให้ก่อน”
จื๋อซั่งส่ายหน้าด้วยความหนักแน่น “ไม่เคยเสียใจแม้สักวินาที”
“แม้ต้องแลกมาด้วยการเสียสละการพัฒนาทางเพศของตัวเองเหรอครับ” เขาถามต่อ
จื๋อซั่งก้มหน้ามองสำรวจตัวเองด้วยความงุนงง “ฉันพอใจกับการพัฒนาทางเพศของตัวเองมากอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น…” เขาหันหน้าไปมองเหยาไถด้วยรอยยิ้ม “ใครบางคนสามารถมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่มีเสน่ห์มากขึ้นเพราะเรื่องนี้ มันก็เป็นสิ่งที่เจริญหูเจริญตาสำหรับฉันไม่ใช่เหรอ”
จู๋เย่ว์ได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็กำหมัดแน่นราวกับว่าได้ตัดสินใจอะไรบางอย่าง เด็กกลุ่มหนึ่งเริ่มโห่ร้องด้วยเสียงแปลก ๆ เหยาไถเหลือบมองจื๋อซั่ง ทั้ง ๆ ที่เป็นแววตาหมั่นไส้ แต่ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันกลับเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ลึกในดวงตา
“เอาละ” จื๋อซั่งกระแอมไอเสียงดังสองครั้ง “เรากลับมาที่เรื่องจริงจังกันเถอะ ขืนถามคำถามต่อไป คุณหมอเหยาของพวกเธอต้องไม่พอใจแน่ บางครั้งฉันก็ต้องทำเป็นกลัวนายพันธะของฉันบ้างไม่ใช่เหรอ”
เหล่านักเรียนรู้สึกประทับใจกับเสน่ห์ของจื๋อซั่งอย่างมากในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้นไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตั้งใจฟัง
“ตอนอยู่ข้างนอกเมื่อกี้อาเหยาคงแนะนำกับทุกคนแล้ว หลังจากที่ชาวเทียนซู่ตาย วิญญาณก็จะกลับมายังสถานที่แห่งนี้ตามการนำทางของประภาคารและผ่านพิธีชำระล้างในสระชำระจิตจนมาถึงที่นี่”
จื๋อซั่งพาทุกคนเดินมาถึงแท่นปฏิบัติการ เมื่อกดปุ่มควบคุม หนึ่งในเครื่องมือที่ถูกปิดผนึกก็เปิดขึ้น เผยให้เห็นฝาแก้วที่อยู่ข้างใน ในนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังหลับใหล สิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นคือร่างกายของเขาอยู่ในสภาพกึ่งโปร่งแสง
“เครื่องมือที่ทุกคนเห็นอยู่ตอนนี้ เป็นอุปกรณ์ที่เราเรียกว่าคลังเก็บพลังงาน เราวางวิญญาณที่กลับมาลงไปในคลังเก็บพลังงานนี้ หลังจากผ่านการบ่มเพาะระยะหนึ่ง วิญญาณก็จะเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ ในตอนแรกจะมีความโปร่งแสงสูงมากแล้วก็จะค่อย ๆ ลงตัว จนกระทั่งกลายเป็นร่างกายที่เหมือนกับของเธอกับฉัน นั่นก็คือวันที่วิญญาณตื่นขึ้นมา ขั้นตอนนี้แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยปกติจะใช้เวลาสิบถึงยี่สิบปี”
“ต้องนานขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ถ้าเทียบกับอายุของชาวเทียนซู่ก็ถือว่าสั้นมากแล้ว ระยะเยาว์วัยโดยทั่วไปของชาวเทียนซู่คือสิบปี มีความแตกต่างกับอายุขัยผู้ใหญ่ค่อนข้างมากบางคนมีชีวิตอยู่ถึงร้อยสองร้อยปี บางคนมีชีวิตอยู่ถึงสามสี่ร้อยปี จากผลการวิจัยในปัจจุบัน ยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสมีความกลมกลืนกันมากเท่าไร อายุขัยของคู่สมรสทั้งสองก็จะยิ่งยาวนานขึ้นเท่านั้น
“ความสัมพันธ์ฉันคู่สมรสมีความสำคัญต่อชาวเทียนซู่ทุกคนมาก เฉพาะคู่รักที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเท่านั้นที่จะได้รับการพัฒนาทางเพศอย่างเต็มที่ หากเธอเป็นคนแยกหรือถูกบังคับให้แยกจากคู่สมรสก่อนที่จะได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นนายพันธะหรือทาสพันธะ แม้เขาจะบรรลุนิติภาวะในแง่ของสถานะแล้ว แต่เขาก็ยังคงมีรูปร่างหน้าตาของระยะเยาว์วัย
“การพัฒนาของวัยผู้ใหญ่ใช่ว่าจะไม่มีขีดจำกัด ทุกคนล้วนมีค่าสูงสุดของตัวเอง ทันทีที่ถึงค่าสูงสุดแล้วร่างกายก็จะหยุดพัฒนาและรักษาสถานะแบบนี้ไว้… หรือที่เราเรียกว่าสภาพที่ดีที่สุด… ไม่เสื่อมถอย ไม่แก่ชรา จนกระทั่งถึงความตายแต่เพียงในนาม
“แต่ไม่ว่าอายุขัยของชาวเทียนซู่คนหนึ่งจะนานแค่ไหน ตราบใดที่มันเป็นการสิ้นอายุขัยตามปกติ เขาก็จะสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า เพราะว่าพวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ ‘ไม่มีวันตาย’ พวกเราไม่กลัวความตาย และยังถือว่ามันเป็นพิธีกรรมที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองด้วยซ้ำ ก่อนที่เวลาของทุกคนจะสิ้นสุดลงก็จะเรียกเพื่อน ๆ มารวมตัวกันครั้งสุดท้าย บางครั้งคนที่กำลังจะตายจะถูกพามาที่นี่เป็นกลุ่มเพื่อรอวาระสุดท้ายที่จะมาถึง”
“ไม่ว่าใคร หลังจากตายไปแล้วก็จะกลับมาที่นี่เหรอครับ”
จื๋อซั่งส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว มีคนประเภทหนึ่งที่การตายของพวกเขาถูกมองว่าไม่เหมาะสมต่อการอยู่รอดในสังคม และสมควรถูกกำจัดด้วยกลไกที่ว่าผู้ที่เข้มแข็งคือผู้อยู่รอด ผู้ที่ด้อยกว่าถูกคัดออก ทันทีที่คนประเภทนี้ตาย วิญญาณของพวกเขาจะแตกสลาย ไม่มีตัวตนหลงเหลืออยู่บนโลกนี้อีก”
ทุกคนถามอย่างร้อนรน “คนประเภทไหนเหรอ”
จื๋อซั่งมองดูแววตาของพวกนักเรียนที่เจือด้วยความกังวล “ก็คือพวกเธอ พวกระยะเยาว์วัยทั้งหมดที่ยังไม่เข้าพิธีบรรลุนิติภาวะ”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนต่างตื่นตระหนก คำว่าตายนั้นห่างไกลจากพวกเด็ก ๆ เหลือเกิน การสูญเสียจิตวิญญาณยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“ไม่ว่าช่วงเวลาเยาว์วัยของเผ่าพันธุ์ใด ๆ ล้วนเป็นช่วงที่เปราะบางที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะกับดาวเทียนซู่ของพวกเรา
“เพราะวิญญาณของพวกเรามีการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าวิญญาณใด ๆ ดับสลายไปก็เป็นความสูญเสียที่ไม่สามารถย้อนกลับได้สำหรับทั้งเผ่าพันธุ์ วัยผู้ใหญ่แห่งดาวเทียนซู่ทุกคนจะปกป้องชีวิตของระยะเยาว์วัยโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ๆ เพื่อรักษาจำนวนกลุ่มทั้งหมดของพวกเรา ในฐานะระยะเยาว์วัย พวกเธอก็ต้องจำไว้ให้ดี ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่มีค่าไปกว่าชีวิตของพวกเธอเอง จะต้องปกป้องตัวเองก่อนเสมอ เมื่อเจออันตรายก็ต้องเลือกที่จะหนีเอาตัวรอด อย่าวู่วามและอย่าพยายามทำตัวเด่นเด็ดขาด เข้าใจไหม” จื๋อซั่งกำชับด้วยความขึงขัง
ทันใดนั้นนักเรียนทุกคนในที่นั้นก็รู้สึกตระหนักในภารกิจ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้ว่าการปกป้องตัวเองให้ดีเป็นสิ่งที่สำคัญเหลือเกิน