ตอนที่ 1-5 หม่าม้า
MOKA
หลังจากตัดสินใจได้แล้วมินจุนก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
“ผมต้องทำอะไรบ้างครับ”
“เป็นหม่าม้าของโทมะ”
“หา? นี่กำลังขอผมแต่งงานเหรอครับ”
แสงยามพลบค่ำผ่านพาดร่างกายของอีกฝ่ายช่างงดงาม นำพาบรรยายกาศแปลกๆ เข้าโอบล้อมร่างกายของมินจุนอย่างอบอุ่นเช่นกัน ฉากแบบนี้ในภาพยนตร์คือช่วงเวลาที่คนสองคนรู้สึกถึงพรหมลิขิตและยืนยันความรักของทั้งคู่ มอบรอยยิ้มมีความสุข เป็นช่วงเวลาอันน่าจดจำ ทว่าความเป็นจริงนั้น…
“ปะ… แป๊บนึงนะครับ จริงๆ เลย ทำไมแกเป็นแบบนี้เล่า”
แสงยามพลบค่ำอะไร บรรยากาศอะไรกันเล่า มินจุนยกมือขึ้นเหนือหัวสวดอ้อนวอนจนไฟแทบลุก
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ คือที่ประเทศของผมเวลาพูดแบบมามีลูกกันนะ มาเป็นแม่ของลูกฉันเถอะ อะไรเทือกๆ นั้นมันเป็นคำขอแต่งงานนี่นา ผมก็เลยสับสนนิดหน่อยถึงพูดไร้สาระออกไป ให้อภัยผมสักครั้งเถอะนะครับ! ไม่เข้าใจเรื่องความแตกต่างของวัฒนธรรมเลย…”
“เก็บ”
ปืนหลายกระบอกหายไปทันทีที่เมื่อเสียงหนักแน่นดังขึ้น
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมโทมะถึงเรียกนายว่าหม่าม้า แต่เราจะทำสัญญากัน จนกว่าโทมะจะรับรู้ได้เองว่านายไม่ใช่แม่ของเขา”
“ถะ… ถ้าไม่รู้เลยละครับ”
“นายคงไม่คิดว่าลูกฉันจะเรียกผู้ชายอย่างนายว่าแม่ตลอดไปมั้ง ก่อนอื่นก็สัญญาหนึ่งปี”
ชายหนุ่มช่วยให้คนที่ไม่สามารถตัดสินใจได้เพราะโดนปืนจ่อหัวอีกรอบจนหวาดกลัวขึ้นมาอย่างมินจุนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
“ยามาโมโตะเป็นพวกอำมหิต เคยประทับตราด้วยลายนิ้วมือหรือเปล่า”
“ไม่ครับ ไม่เคย… เดี๋ยวนะ…”
จะว่าไปก็มีสัญญาแผ่นนึง ก่อนมินจุนจะได้อ่านมัน ไทเซก็บอกว่าตัวเองรีบ หลังจากนั้นเขาก็เชื่อที่ไทเซบอกว่าจะรับผิดชอบเองมาตลอด และจำได้ว่าเคยประประทับลายมือลงไป
“ปกติเวลาทำธุรกรรมการเงินต้องมีสิ่งของใช้ค้ำประกัน ไม่มีสถาบันการเงินไหนให้ยืมโดยไม่มีของพวกนั้นหรอกนะ แล้วคิดว่าของนายที่ใช้ค้ำประกันคืออะไร”
ให้ตายเถอะ อย่ามาย้อนถามกลับได้ไหม บอกออกมาเลยไม่ได้หรือไง ตอนนี้ฉันกังวลมากเลยนะ… มินจุนได้แต่อธิฐานขอให้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่ตอนนี้ ก่อนจะตอบเสียงสั่น
“สะ… สัญญาสละร่างกาย”
“บิงโก! แล้วนายจะทำไงล่ะ เร็วๆ ฉันอยากจะถอดเสื้อผ้าสกปรกๆ พวกนี้ออกเต็มแก่แล้ว”
ความอับอายขวยเขินกับคำว่าเสื้อผ้าสกปรกทำให้ช่องด้านล่างกระตุก เข้ากันดีจริง มินจุนบุ้ยปากก่อนจะพึมพำ
“เรียกทนายให้ผมด้วยนะครับ… บอส”
“เรียกแน่ แล้วนายห้ามเรียกฉันว่าบอส ฉันชื่อ ไดกิ โจ โทมะเรียกนายว่าหม่าม้า นายก็ต้องเรียกฉันว่าไดกิสิ ใช่ไหม มินจุน”
ยังไม่ทันได้เตรียมใจเลยแท้ๆ แต่พอชื่อตัวเองหลุดออกจากปากอีกฝ่าย เรียวขาที่พยุงร่างกายก็โค้งงอไปด้านหน้าอ่อนแรงจนแทบจะละลาย น้ำเสียงที่ไพเราะจนอยากจะอ้อนวอนขอให้ช่วยเรียกอีกสักครั้งตอนไม่มีคนอื่น
“งั้นเป็นอันตก…”
“เดี๋ยวก่อนครับ!”
มินจุนอยากจะได้รับการยืนยันว่าชีวิตอยู่รอดปลอดภัยอย่างแน่นอนจึงเอ่ยขัดคำพูดอีกฝ่ายไว้
ทว่าอยู่ๆ รอบข้างก็วุ่นวายขึ้นมา เหล่ายากูซ่าที่มาถึงขีดจำกัดมองมินจุนราวกับแมลง ตามด้วยเสียงเดาะสิ้นน่าสมเพชจากคนพวกนั้น มินจุนรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งใจในชั่วพริบตาเลยร้องไห้สะอื้นระบายความคับแค้นออกมาทันที
“รู้แล้ว บอกว่ารู้แล้วว่าตัวเองทำตัวโง่เง่าเแค่ไหน รู้อยู่ว่ามันไม่น่าพอใจ ต่อให้ตายก็ยัง…”
“นี่”
“ถึงยังไงก็เถอะ ทำไมทุกคนถึงไม่มี… ความเห็นใจให้กันบ้างเลย…”
“เฮ้ย”
ทันทีที่ไดกิเอ่ยด้วยเสียงต่ำและสั้นกระชับ มินจุนก็รีบใช้สองมือปิดปากตัวเอง ร่างกายสั่นสะท้านพร้อมกับสะอึก
ไดกิกระดิกนิ้วเรียกยากูซ่าหน้าเหมือนคางคกมาหา จากนั้นก็ส่งสายตาไปทางขวดน้ำบนโต๊ะ อีกฝ่ายจึงรินน้ำใส่แก้วคริสตัสระยิบระยับด้วยมือตะปุ่มตะป่ำ ซึ่งดูไม่เข้ากันเลยแม้แต่นิดเดียวแล้วนำมาให้มินจุน
ร่างบางรับแก้วใบนั้นด้วยสองมืออย่างสุภาพแล้วดื่มน้ำอย่างรีบเร่งไม่ต่างอะไรกับคนตะกละ คิดๆ ดูแล้วเขาก็อยู่มาทั้งวันโดยที่ยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักอึก
“เอาละ จบแค่นี้ เซ็นสัญญาซะ ส่วนการรับรองเอกสารพรุ่งนี้ก็รอให้ทนายมาจัดการ”
อึกกก มินจุนพยักหน้ารับพร้อมเสียงสะอึกยาวยินยอมเป็นหม่าม้าให้โทมะอย่างไร้ทางหลีกเลี่ยง
มินจุนคว้าสัตว์ตัวน้อยที่ทำให้เขาจั๊กจี้ตรงหน้าอกเข้ามากอดแน่น ก่อนจะขดตัวเป็นก้อนกลมๆ ไม่รู้ตัว รู้สึกดีมากๆ กับอุณหภูมิอุ่นๆ นี้แม้จะเป็นในฝัน แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าตัวเองหัวเราะแหะๆ ออกมา
‘ตัวอะไรนะ มีกลิ่นหอมๆ ด้วย บ้านเรามีสัตว์ตัวเล็กๆ หอมๆ แบบนี้ด้วยเหรอ’
ร่างบางอยากสัมผัสถึงความอบอุ่นให้มากขึ้นจึงดึงสิ่งมีชีวิตนั้นมาทางตัวเอง ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงเรียก…หม่าม้า… จากที่ไหนสักที
“หม่าม้า…เหรอ แต่สัตว์มันพูด… ไม่ได้นี่นา”
มินจุนเบิกตาโพล่งทันที โทมะขึ้นมาอยู่บนหน้าอกของเขา ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเมื่อวานหลังจากอาบน้ำแล้วไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน นี่เป็นไซซ์เล็กสุดแล้วครับ… ยากูซ่าหัวล้านที่ชื่อเรนเอ่ยกับเขาพร้อมยื่นเสื้อผ้าตัวนี้มาให้ ต่อให้สวมพร้อมกันสองคนก็ยังเหลือพื้นที่อยู่ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้โทมะกำลังยิ้มละมุนพลางร้องเรียกหม่าม้าไม่ขาดปาก
“หม่าม้า หม่าม้า!”
ไม่รู้ว่าดีใจมากแค่ไหน โทมะถูแก้มจ้ำม่ำเข้ากับผิวเปลือยเปล่าของมินจุน
‘อ่า ใช่แล้ว เราเซ็นสัญญาเป็นหม่าม้าของโทมะไปแล้วนี่นา เอ๊ะ! พอเช้าแล้วกลับรู้สึกเหมือนพลาดยังไงไม่รู้แฮะ แต่… งื้อ น่ารักจังเลย โอ๊ย ไม่รู้ด้วยแล้ว หม่าม้าแล้วไง เป็นแม่แล้วไงล่ะ สำหรับฉันแล้วยังมีคุณพ่อสุดเซ็กซี่ของหนูอยู่อีกไง’
มินจุนกอดเด็กน้อยบนตัวแน่นจนแทบบี้ไปทั้งตัวแล้วพรมจูบไปตามใบหน้า
“โทมะ อรุณสวัสดิ์ ฝันดีไหมเรา”
“อื้อ โทมะไม่ร้องไห้ โทมะนอน หม่าม้าก็เลยมาหา หม่าม้า”
“งั้นเหรอ เก่งจังเลย แล้วทำไมตื่นไวจังเลยล่ะ”
“มะไว เข็มยาวถึงนี่ต้องกิงข้าว ถ้าไม่กิงพ้อมป๊ะป๋า จาโดนดุ”
“เหรอ เข็มยาวอยู่ไหน”
“ตงนี้”
ไม่ว่าจะดูยังไงเวลาที่โทมะกำลังชี้ก็คือหกโมงสามสิบนาที ไม่จริงน่า นี่โทมะเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า มินจุนหัวเราะเสียงดังพร้อมมองเด็กน้อย
“แล้วเข็มสั้นต้องอยู่นี่เหรอ”
เขาลองย้ายเข็มไปที่เลขแปด ซึ่งเป็นเวลาปกติที่ตัวเองสามารถตื่นได้
“มะช่าย ตงนี้ๆ”
โทมะยังคงชี้ไปที่ตัวเลขบนนาฬิกา เท่านั้นไม่พอ ยังกางมือขวาออกทั้งห้าและชูนิ้วโป้งซ้ายขึ้นมาด้วย มันคือเลขหกนั่นเอง แต่ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาตีห้า ห้าสิบนาทีอยู่
ปกติเวลานี้ไม่ใช่เวลานอนของเด็กเหรอ แน่นอนว่าสำหรับเขามันก็เป็นเวลานอนเหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่เพียงแค่ตื่นเช้า ยังต้องกินข้าวอีก มินจุนแทบจะเป็นบ้า ตั้งแต่เด็กยันกระทั่งจับช้อนเองได้ เขาไม่เคยยัดอะไรใส่กระเพาะในเวลานั้นเลย ใช่แล้วโทมะ เดี๋ยวหม่าม้าจะปรับความเคยชินให้เอง มินจุนเงียบแล้วกอดโทมะซุกเข้าไปในผ้าห่ม
“โทมะ เรานอนกันต่ออีกนิดดีไหม”
“อื้อออ มะได้ จะไปโฮกใส่ป๊ะป๋า ไปกังๆ เปงหม่าม้าต้องไปด้วยกัง”
“ป๊ะป๋าโฮกเหรอ …มันคืออะไร”
“ปะ ไปกัง ลุกเยว”
จู่ๆ โทมะก็ลุกออกจากตัวแล้วกระโดดหย่องๆ ลงจากเตียง เด็กน้อยในชุดนอนลายวัวช่างน่ารักน่าชังสมกับเป็นแก้วตาดวงใจเสียจริง
ใช่ ท่าทางดีใจมากขนาดนั้น ตื่นเช้าสักหน่อยจะเป็นไรไปเล่า มินจุนจัดการยูกาตะหลุดลุ่ย ก่อนจะโดนโทมะลากไปยังประตูใหญ่ในห้องเจ้าตัวที่เหมือนย้ายออฟฟิศโฮเทลมาตั้งไว้ มันคือส่วนที่เชื่อมระหว่างห้องของไดกิและห้องของโทมะเอาไว้ด้วยกัน ไม่มีทั้งที่จับและกุญแจ
โทมะลากยูกาตะไปยืนอยู่หน้าประตูพร้อมร้องเรียก “ป๊ะป๋า” จากนั้นผลักประตูเข้าไปข้างใน อันที่จริงมินจุนไม่รับรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะสติยังไม่ตื่นเต็มที่ แต่ภาพชวนตกใจที่ได้เห็นในห้องทำเอาเขาต้องยกมือจับหัวใจตัวเองทันที
ไดกิกำลังเช็ดผมด้วยร่างกายเปลือยเปล่าไม่มีแม้แต่ผ้าขนหนูสักผืน คงจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จเมื่อครู่นี้ ถ้าเป็นคนฉลาดคงต้องหันหน้าหนีแน่ พอได้เห็นป๊ะป๋าโฮกๆ ที่โทมะร้องก็ทำให้เขารู้สึกตัวเลยได้แต่ถอนหายใจยาวอยู่ตรงนั้น
“อื้อ… ป๊ะป๋าโฮก”
โทมะกระโดดกระหยองกระแหยงเข้าไปเกาะขาของไดกิเหมือนโคอาล่าพร้อมร้องโฮกๆ อย่างร่าเริง
แม้จะเคยจินตนาการว่ายากูซ่ากับรอยสัก คือสองสิ่งที่ต้องมาคู่กันตลอดอยู่บ้าง แต่เขากลับไม่เคยเห็นรอยสักแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง ปกติบนแผ่นหลังต้องมีภาพพวกเสือสักด้วยสีน้ำเงินจางบ้างเข้มบ้าง ไม่สิ ที่นี่มันญี่ปุ่นนี่นา สักรูปมังกรน่าจะเหมาะกับยากูซ่ามากกว่า…
สัญลักษณ์แสดงความเป็นชายของอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งนั้น แต่กลับเป็นก้นสินะ อย่างที่คิดเลย ตั้งแต่ก้นแน่นๆ ข้างหนึ่งผ่านต้นขาแกร่งที่ดูเหมือนต่อให้โดนมีดแทงก็คงจะไม่รู้สึกอะไร ไล่ลงมาจนถึงน่องมีรอยสักขาเสือดาวเสมือนจริงราวกับถูกจับวาง ทุกๆ ครั้งที่เคลื่อนไหวขาเสือดาวก็จะเคลื่อนที่ตามไปด้วย
ไดกิลูบหัวของลูกชายที่เกาะอยู่ตรงต้นขาของตนก่อนจะเอ่ยทักทาย
“ฝันดีไหม”
“อื้อ นอนกับหม่าม้า โฮก! ป๊ะป๋าไม่กัวเฉือ”
“โทมะ ให้ป๊ะป๋าใส่เสื้อผ้าก่อนได้ไหม”
เสียงละมุนของไดกิที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ชวนให้มินจุนจับจ้องราวกับโดนสะกด แม้แต่ศีรษะก็ขยับได้ยาก
“มะอาว โทมะเปงเฉือ โฮก!”
โทมะส่ายหัวเกาะต้นขาแน่น ไดกิที่ทำอะไรไม่ได้จึงหมุนตัวเดินมาทางมินจุน ทั้งๆ ที่ยังมีเด็กน้อยเกาะขาอยู่
ร่างบางเบิกตากว้างจ้องคนที่เดินเข้ามาใกล้จนตาแทบจะถลนออกมาข้างนอก ตอนนี้ชุดยูกาตะตัวโคร่งไม่เหมาะกับร่างกายคลุมตัวเขาอย่างกับผ้าห่ม เส้นผมยาวบางเหมือนขนแมวละอยู่บนใบหน้าช่างน่าดู แต่มินจุนไม่มีความเขินอายเลยแม้แต่น้อย เพราะดูเหมือนว่าเขาจะหยุดหายใจมามากกว่าหนึ่งนาทีแล้ว
ไดกิมองคนที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ข้างหลังมินจุนคือห้องน้ำ ชายหนุ่มหยิบเสื้อคลุมยาวที่พาดอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าขึ้นมา
เมื่ออีกฝ่ายหยิบเสื้อคลุมไปใส่แล้วค่อยๆ เดินห่างออกไป มินจุนรู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดลอยไปไกลด้วยความช็อก ทว่าขณะที่เขาหันหลังเตรียมจะก้าวออกจากห้อง… อยู่ๆ โทมะก็ยื่นมือเล็กๆ มาคว้ามือเขา
“หม่าม้าจับเฉือสิ ไม่น่ากัวเยย”
มินจุนกลอกตาให้ความคาดหวังด้วยใบหน้าไร้เดียงสาราวกับเทวดาตัวน้อย ระหว่างครุ่นคิดเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร โทมะจับมือของมินจุนไว้แต่มันกลับสัมผัสเข้ากับส่วนนั้นของไดกิที่ยืนอยู่ตรงหน้าพอดี
หนึ่งวินาที…
แต่ในหนึ่งวินาทีนั้นมินจุนตรึงความร้อนรุ่มดั่งไฟลุกของเจ้าสิ่งๆ นั้นไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว
“อ๊ะ!”
จนกระทั่งเขาเกือบจะหงายตึงไปด้านหลังเพราะความตื่นตระหนก ไดกิก็เอื้อมแขนมาโอบเอวบางแล้วดึงเข้ามาทางแผงอกของตนเสียก่อน และตรงกลางระหว่างผู้ใหญ่สองคนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของโทมะ
ไดกิขยับเข้าใกล้มินจุน
โอย… ไม่ได้นะ ถ้า… ทั้งๆ ที่หน้าตายังดูไม่ได้แบบนี้… ทำไงดี ฮือออ ไม่รู้ด้วยแล้ว มินจุนหลับตาลงทั้งอย่างนั้น
“เลิกจับได้แล้ว”
โธ่เอ๊ย มินจุน… ทันทีที่อีกฝ่ายดึงตัวเขาที่กำลังจะหงายหลังเข้าไปกอด มือที่เคยสัมผัสตรงนั้นก็ละกลับมาที่เดิมตามสัญชาติญาณ
“อ่า… ขอโทษครับ ผม… ผมตกใจไปหน่อย…”
“อีกยี่สิบนาที เจอกันที่โต๊ะอาหาร หกโมงครึ่ง อย่าให้สาย โทมะเราก็ไปล้างหน้าล้างตาได้แล้ว”
“คร้าบบ~”
โทมะไม่ได้รู้ตัวเลยว่าได้สร้างเรื่องให้เขาขนาดไหน เด็กน้อยจับมือมินจุนวิ่งออกจากห้องไดกิพลางเอ่ยว่า ‘จาไปแปงฟัง’