ตอนที่ 1-7 หม่าม้า
MOKA
นานมากแล้วที่บนโต๊ะอาหารไร้เสียงหัวเราะ โทมะท่าทางอารมณ์ดีเอาแต่ดีดเท้าไปมา พร้อมกับตักข้าวที่มินจุนนำขึ้นโต๊ะอาหารเข้าปาก และเอาแต่ร้องว่าสีเทียนๆ อย่างร่าเริง มินจุนเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเด็กน้อยที่ก่อนหน้านี้โดนล้อมรอบด้วยสีขาวตลอดเวลา เขาเอาสีเทียนมาเทียบกับเสื้อสีเหลืองแล้วเริ่มร้อง ‘สีเทียน สีเทียน’ ไปพร้อมๆ กัน แถมยังมีจังหวะในการร้อง
ทว่าอยู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว เมื่อเห็นเจ้าคางคกฮาคุโตะ ที่วันนี้ประจำอยู่บ้านไม่ได้ตามไดกิออกไปเดินเข้ามากระซิบข้างหูเคนตะที่กำลังนั่งทานอาหารเย็นด้วยกัน จากนั้นสีหน้าเคนตะก็แข็งทื่อพลางเหลือบมองมาทางมินจุน
ร่างบ่งหั่นสเต็กเป็นขนาดพอดีกินบนจานโทมะ ก่อนจะหันไปถามอีกฝ่าย
“มีอะไรเหรอครับ เกิดอะไรขึ้น”
“คือ ตอนนี้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนน่าจะดีกว่าครับ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ตอนนี้บอส… อยู่ชั้นหนึ่งแล้วครับ”
เพียงชั่วพริบตา มินจุนก็ตกใจราวกับแฮมเบอร์เกอร์ที่เพิ่งกินเข้าไปเมื่อครู่กลายเป็นวัวพุ่งออกมาจากท้อง แต่พอหันกลับมองโทมะยังคงทานอาหารเย็นอย่างเอร็ดอร่อยและเพลิดเพลิน ก็คิดขึ้นมาว่าจะฆ่ากันทิ้งเพราะเสื้อสีเหลืองนี่จริงๆ น่ะเหรอ จากนั้นก็หันไปพูดกับเคนตะอย่างดื้อรั้นเหมือนไม่ต้องการชีวิต
“กินทั้งอย่างนี้แหละครับ อีกเดี๋ยวก็ทานเสร็จแล้ว คงไม่ฆ่ากันทิ้งหรอกมั้งครับ”
“ใครจะฆ่าใครทิ้ง”
แม้จะเรียกความบ้าบิ่นที่ไม่ค่อยจะมีมาใช้บ้างแล้ว แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้า ดีไม่ใส่อารมณ์มากไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ น้ำเสียงโหดเหี้ยมที่ดังมาจากทางด้านหลังอาจจะทำให้เกิดเรื่องรุนแรงกว่านี้ก็ได้
ไดกิเดินอ้อมมาด้านหน้ามินจุนและโทมะพร้อมกับจ้องมองทั้งคู่อย่างสนใจ เมื่อมองลงมาถึงกางเกงยีนส์ที่ขาดเป็นสองท่อนใต้โต๊ะอาหาร คิ้วเรียวสวยก็กระตุก ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ จ้องร่างบางที่ตอนนี้สติสตางค์เริ่มหดหายเพราะความหวาดกลัว
“ทำอะไรกับลูกฉัน”
“ก็เปล่า… คือวัยนี้เป็นวัยอะไรล่ะครับ ควรพะ… พัฒนาเรื่องสีสัน จะให้มีแต่สีขะ… ขาวมันก็มะ…มากไป…”
“ลิ้นไก่สั้นหรือไง ถึงพูดดีๆ ไม่ได้น่ะ!”
ร่างสูงหงุดหงิดกับเสียงสั่นๆ จนต้องตะโกนออกมา
“โทมะก็ชอบนี่นา โทมะ ชอบชุดนี้ใช่ไหม”
“อื้อ จ้อบมากๆ ป๊ะป๋า โทมะเปงสีเทียง สีเทียงสีเหยือง”
“ตอนนี้ลูกฉันกำลังบอกว่าตัวเองเป็นสีเทียนนี่ ฉันได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า”
“ไม่ๆ เวลาแบบนี้เป็นช่วงที่เด็กจะมีความสามารถในการแสดงออกที่ดีนะครับ ตั้งแต่หกขวบผมก็รู้แล้วว่าดินสอคืออะไร แค่ผมสีดำก็…”
“ไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้”
ไดกิไม่อยากรอฟังจนจบจึงแผดเสียงออกไป ทำให้โทมะตกใจจนร้องไห้
“อึงแงง เกียดป๊ะป๋า อย่าขึ้นเฉียงกับหม่าม้านะ!”
มินจุนเช็ดน้ำตาพลางดึงเด็กน้อยเข้ามากอด
“ไม่เป็นไรนะ หม่าม้าตัดสินใจแล้วว่าจะเอาชนะทุกอย่างเพื่อหนู ป๊ะป๋าต้องรู้สึกเสียใจทีหลังแน่”
“เคนตะ พาโทมะเข้าห้อง”
“ครับ”
“ทะ ทำไมครับ อย่าทำแบบนี้สิ ผมขอต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว พอโทมะเข้าไปแล้วก็จะใช้กำลังกับผมใช่ไหมครับ ผมไม่ยอมหรอก”
มินจุนกอดโทมะแน่นเลียนแบบทหารผู้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากและล้อมด้วยศัตรูรอบทิศ เขากลอกตามองเคนตะหนึ่งครั้ง ฮาคุโตะอีกหนึ่งครั้ง และสุดท้ายเพราะความกลัวจึงข้ามไดกิไปมองรอบๆ แทนขณะตัวสั่นหงึกหงัก
ตอนนี้พวกเขาย้ายมาอยู่ในห้องหนังสือ โดยที่โทมะซึ่งผล็อยหลับไปตั้งแต่หยุดร้องไห้ก็กลับไปอยู่ที่ห้องของตัวเอง มินจุนสบตากับไดกิขณะยืนอยู่หน้าประตูเพื่อรักษาระยะห่างให้มากที่สุด ลอบสังเกตท่าทางอีกฝ่ายพลางลูบๆ คลำๆ เสื้อแมนทูแมนสีเหลือง ผู้ก่อการร้ายประจำวันนี้
‘ได้เห็นสีหน้าที่ไม่เคยเห็นเวลาอยู่บ้านด้วยแฮะ อย่าหน้าตาดีแบบนี้สิ นิสัยกับใบหน้าแบบนั้นโคตรโกงเลย’
ไดกิหมุนเคสสีทองในมืออยู่หลายครั้ง ก่อนจะนั่งบนโต๊ะหนังสือพลางมองคนที่จับกลอนประตูดูพร้อมหนีตลอดเวลา
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”
“มะ ไม่มีครับ”
มินจุนที่ยังคงมีอาการตะกุกตะกักตีปากตัวเอง เจ้าปากบ้านี่ ไม่มงไม่มีอะไรกันเล่า มันไม่ทันแล้ว…
“แล้วท่าทางเมื่อกี้?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วถามเมื่อเห็นอีกคนตีปากตัวเองราวกับคนไร้สติ
“เอ่อ… คือ… มะ…มันกระตุกบ่อยๆ เลยต้องปิดสวิชต์ครับ”
“หา?”
เหลือเชื่อจริงๆ เลยกับการได้เห็นใบหน้าสมกับเป็นมนุษย์ของไดกิครั้งแรก พอร่างสูงจ้องมา หัวใจของมินจุนที่เคยเต้นระรัวกลับเต้นตึกตักด้วยเหตุผลอื่น ไดกิเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบเจ้าเคสสีทองขึ้นมาคล้ายกำลังครุ่นคิดว่าจะสูบบุหรี่หรือไม่สูบดี ลังเลอยู่อยู่ครู่หนึ่งก็เก็บเข้ากระเป๋ากางเกงไป
“โทมะเป็นแบบนี้ดีอยู่แล้ว นายอย่าถลำลึกมากไปกว่านี้เลย”
แล้วหัวใจก็ตกมาอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อได้ยินประโยคคาดไม่ถึงจากอีกฝ่าย คิดว่าความรู้สึกของคนอื่นเป็นอะไรกัน คิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ หุ่นยนต์ก็ไม่ใช่ งั้นก็เหมือนแค่ให้เขาคอยเล่นกับโทมะเท่านั้น มินจุนไม่สามารถควบคุมหัวใจคุกรุ่นกด้วยอารมณ์ของตนได้ ทั้งๆ ที่ในหัวก็คิดแล้วว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่จะสู้แล้วเอาชนะได้ แต่ตัวเองดันขึ้นเสียงใส่ไปซะแล้ว
“งั้นถ้าโทมะเรียกว่าหม่าม้า ผมก็แค่จ้าๆ ขานรับไปแค่นั้นใช่ไหมครับ”
“หื้อ?”
“ก็นั่นไง เพราะเขาเป็นเด็กน่ารัก เห็นผมจะเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเพื่อโทมะแล้วต่อให้เป็นสะ… ไส้เดือน ผมก็จะยอมจับมันมาให้เขา ปกติผมจับพวกสัตว์ไม่มีขนแบบนั้นไม่ได้หรอกนะครับ เคยหมดสติไปสามวันเต็มๆ เพราะจับไส้เดือนด้วยซ้ำ แต่ผมก็ตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่า ถ้าเพื่อโทมะแล้วล่ะก็ แม้แต่ไส้เดือนผมก็จะจับมัน”
มินจุนตบอกตัวเองแล้วพูดต่อ
“แต่คุณขอให้ผมเล่นกับเขาเฉยๆ เหรอ เห็นผมเป็นของเล่นหรือไง! ใช้เวลาอยู่กับเด็กมันก็ต้องมีความเข้าใจกันและกันสิ หรือคะ… คุณไดกิคิดว่าโทมะเป็นแค่สมบัติของคุณล่ะ”
ตอนอยู่เกาหลีแม่ก็เคยด่าเขาอยู่เหมือนกันว่าจะตายเพราะปาก… ทันทีที่ปากพ่นคำพูดออกมาอย่างอาจหาญไม่หยุดทั้งๆ ที่ไม่ได้มาจากความตั้งใจของตัวเองเลยสักนิดออกไป การมองเห็นของมินจุนก็กลายเป็นสีเหลืองและเริ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมา
ไดกิลุกจากโต๊ะหนังสือแล้วก้าวขายาวๆ มาทางคนที่ยกมือปิดปากตัวเองอยู่ มินจุนเองก็ค่อยๆ ถอยไปด้านหลัง แต่มันก็ไม่มีที่ให้ขยับต่อแล้ว ถ้าเกิดอีกฝ่ายเหวี่ยงหมัดมาก็คิดว่าจะเปิดประตูแล้ววิ่งหนี แต่ทันทีที่คิดได้ว่านอกจากโทมะแล้วก็ไม่มีใครหยุดยั้งไดกิได้ ขาก็สั่นพั่บๆ บอสยากูซ่าจ้องมองเหมือนโอบล้อมร่างกายเขาไว้ทั้งหมดอย่างไม่รู้ตัว ทว่าแม้แต่ในช่วงเวลาน่าหวาดกลัวเช่นนี้ มินจุนก็ยังได้กลิ่นน้ำหอมฟุ้งจากตัวชายหนุ่ม จนทำให้ร่างกายของเขาคล้ายเป็นอัมพาต อยากโดนโอบกอดและแกล้งเป็นบ้าไปเลย
ระหว่างที่ร่างบางตกอยู่ในห้วงแห่งความเพ้อฝัน จู่ๆ ไดกิก็ค้ำมือกับประตูกังขังตัวเขาเอาไว้ มินจุนร้องอ๊ากกก พร้อมไถลตัวลงกับพื้นสวดอ้อนวอนอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ผิดไปแล้วครับ ผมผิดไปแล้ว ปากผมมันแย่เอง ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นนะครับ ยกโทษให้ผมสักครั้งเถอะ ถึงผมจะบ้า… ไม่สิ บ้าแต่ก็…”
ไดกิก็ย่อตัวลงตรงหน้าคนที่คุกเข่าพึมพำฟังไม่รู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนจะใช้นิ้วเชยคางเรียวขึ้นมา ใบหน้าแดงสะอึกสะอื้นเปียกชื้นไปด้วยน้ำมูกและน้ำตาขณะจ้องมองกลับมา
“กลัวฉันหรือไง”
คนตัวเล็กพูดไม่ออกจึงได้แต่พยักหน้ารับกับนิ้ว ไดกิมองท่าทางนั้นอยู่ครู่หนึ่งพลางถอนหายใจสั้นๆ แล้วอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“สีฟ้าได้”
“ครับ?”
“ก็บอกว่าใส่เสื้อสีฟ้าได้ไง!”
แม้แต่ตอนพูดก็ดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์อยู่มากทีเดียว ร่างสูงสะบัดมือออกแล้วลุกขึ้นยืน
“สีเดียวเหรอครับ เหลืองล่ะ…”
“สีฟ้าเท่านั้น ออกไปได้แล้ว”
แค่สีฟ้าเนี่ยนะ ไม่ใช่สเมิร์ฟสักหน่อย เดี๋ยวจะใส่สีฟ้าทั้งตัวเลย มินจุนพึมพำและแน่นอนว่าเป็นภาษาเกาหลี
ขณะเปิดประตูเพื่อเดินออกไปจากห้อง มินจุนเห็นว่าอีกฝ่ายหยิบลูกดอกจากบนโต๊ะขึ้นมาหมุนเล่นในมือ และในจังหวะเดียวกับที่เสียงประตูปิดดังปัง ก็ได้ยินเสียงลูกดอกปักกับกระดานตามมาทันที
มินจุนลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปรอบห้องมืดๆ อย่างยากลำบากเพราะรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเขย่าตัวเขาที่อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น และเมื่อเห็นโทมะคู้ตัวร้องไห้อยู่บนเตียง ร่างบางก็ตกใจจนลุกพรวดขึ้นมาจากที่นอนทันที
“เป็นอะไรไปโทมะ ฝันร้ายเหรอ”
“ฮือออ ตงนี้กุกกักๆ”
โทมะชี้บริเวณท้องตัวเองอย่างทรมาน มินจุนลองจับที่ปลายนิ้วเล็กๆ มันเย็นเฉียบ พอลองจับหน้าผากก็พบว่ามีเหงื่อซึมออกมามากผิดปกติ มินจุนรีบจับเด็กชายเอนตัวลงมาบนหน้าตักตนแล้วกดลิ้นปี่เบาๆ ตรงนั้นมีก้อนใหญ่ๆ อยู่ก้อนหนึ่ง น่าจะเป็นอาการท้องอืด ถ้าใหญ่ขนาดนี้แม้แต่ผู้ใหญ่ยังทรมานเลย…
คนตัวเล็กกัดริมฝีปากกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมา ในเวลาแบบนี้ถ้าเขาตื่นตระหนก โทมะก็จะยิ่งกลัวไปด้วย จึงพยายามทำใจให้สงบเท่าที่ตัวเองจะทำได้
“โทมะ รู้สึกอยากแหวะไหม ถ้ารู้สึกลุกไปห้องน้ำกับหม่าม้ากัน ไม่เป็นไรนะ แหวะแล้วจะดีขึ้น”
“…แหวะเหรอ”
“อื้ม”
มินจุนลูบศีรษะเล็กๆ ชุ่มเหงื่อพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน
“แหงะ อยากแหวะ”
มินจุนได้ยินเสียงแหวะตอบรับขึ้นมาทันที โทมะรู้สึกอยากอาเจียนมากยิ่งขึ้นจึงยกมือปิดปาก ตัวสั่นระริกไปหมด ร่างบางอุ้มอีกฝ่ายไปทางห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ถึงห้องน้ำ โทมะก็อาเจียนเอาแฮมเบอร์เกอร์ ที่เป็นอาหารมื้อเย็นในสภาพเดิมออกมาจนหมด พอเห็นอย่างนี้แล้ว มินจุนก็รู้สึกไม่พอใจไดกิขึ้นมาอีกครั้ง ก็เพราะอีกฝ่ายตะโกนเสียงดังต่อหน้าลูกไง โทมะถึงได้เป็นแบบนี้ มินจุนลูบแผ่นหลังเล็กเบาๆ พลางก่นด่าผู้เป็นพ่อไม่หยุด
“ไม่เป็นไรนะ แหวะเสร็จก็จะไม่ปวดท้องแล้ว โทมะคนเก่ง อยากถ้าแหวะอีก ก็แหวะออกมาเลยนะ”
โทมะคงจะอาเจียนออกมาจนหมดแล้วจึงส่ายหัวแล้วมุดตัวกอดมินจุนแน่น เขาพาโทมะไปล้างหน้าบ้วนปากตรงอ่างล่างหน้าก่อนจะอุ้มกลับไปที่ห้องนอน จากนั้นก็คอยลูบท้องของโทมะที่ยังคงนอนคู้ตัวบนเตียง เนื่องจากเป็นกลางดึงก็เลยยิ่งทำให้มินจุนเป็นกังวล แม้ว่าจะไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรง แต่อย่างน้อยก็อยากให้เจ้าตัวน้อยได้ทานยาลดกรดสักหน่อย คนตัวเล็กลังเลพลางมองไปที่ห้องของไดกิ แน่นอน มินจุนไม่ได้คิดหรอกว่าในห้องอีกฝ่ายจะมียาให้โทมะ แต่เขาก็เหมือนกันไม่รู้ว่าเรนอยู่ตรงไหน จะออกไปเดินหาเองก็ทำไม่ได้