ตอนที่ 1-8 หม่าม้า
MOKA
“โทมะ เราไปห้องป๊ะป๋ากันไหม”
“ป๊ะป๋า… ปัย”
มินจุนอุ้มเด็กน้อยที่อ่อนเพลียหมดแรงหลังการอาเจียนขึ้นมาแล้วเดินไปหน้าประตูห้องของไดกิ เขาหลับตาแน่นก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน ไดกิเปิดโคมไฟเอาไว้ขณะนอนหลับ ภายใต้แสงไฟสลัวๆ สิ่งแรกที่เข้าสู่สายตาเขาก็คือแผ่นอกเปลือยเปล่าของอีกคน
‘โอ้โห แก้ผ้านอนด้วย ทำไงดีล่ะเรา’
‘ทำอะไรเล่า นี่แกยังเป็นคนอยู่ไหมเนี่ย เด็กป่วยอยู่นะ ตั้งสติหน่อย’
มินจุนพยายามอย่างถึงที่สุดในการคิดว่าไดกิเป็นแค่ท่อนไม้ท่อนหนึ่ง จากนั้นก็อุ้มโทมะไปวางไว้ข้างๆ ก่อนจะเรียกชื่อปลุกเสียงเบา
“ไดกิ ไดกิ…”
“อืม… อะไร โทมะเป็นอะไร”
เมื่อดวงตาปรือเพราะความง่วงเห็นโทมะนอนคู้ตัวอยู่ข้างๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ว่าแล้ว แก้ผ้านอนอย่างที่คิดเลย ผ้าห่มร่นลงมากองอยู่ตรงส่วนข้อต่อสะโพกแกร่งคุลมส่วนสำคัญอย่างหวุดหวิด
“เกิดอะไรขึ้น”
“อาเจียนครับ”
“อาเจียน?”
“น่าจะท้องอืดน่ะครับ อาเจียนออกหมดแล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้น แต่กลางดึกแบบนี้ ผมอยากจะให้เขาทานยาลดกรดสักหน่อย พอจะมียาลดกรดสำหรับเด็กที่เป็นไซรัปไหมครับ”
ระหว่างฟังมินจุนอธิบาย ไดกิก็ลองลูบๆ ตัวลูกชายดู แต่คงจะง่วงมากถึงลืมตาไม่ขึ้น
“โทมะ โอเคหรือเปล่า”
“…ป๊ะป๋า แหวะแล้ว”
“เหรอ แล้วตอนนี้เจ็บท้องไหม”
“อื้อ หม่าม้าบอกว่าแหวะแล้วมะเจ่บ”
“งั้นกินยานอนนะ”
ทันทีที่ได้ยินคำว่ายา โทมะก็ลืมตาพรึ่บ สะบัดไดกิออกแล้วหันมากอดมินจุน ก่อนจะระเบิดเสียงร้องไห้แงๆ ออกมา
“มะอาว มะกิงยา”
มินจุนกอดเจ้าเด็กน้อยที่ร้องไห้งอแงอีกครั้งเพราะคุณผู้ชายแสนตรงไปตรงมา ไม่รู้จักวิธีอ้อมค้อม ทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์ทำให้โทมะสงบลงได้แล้วแท้ๆ ร่างบางเขม่นตาทั้งสองข้างปรายตามองไดกิ ก่อนจะขยับปากแบบไร้เสียง
[บ้าหรือไงคุณ! พูดคำว่ายาตรงๆ แบบนั้นได้ไง]
[หนวกหู]
[นี่ก็เพราะคุณทั้งนั้นเลยนะครับ]
[ว่าไงนะ!]
[ไม่ใช่เพราะตอนเย็นคุณตะคอกเสียงดังหรอกเหรอครับ โทมะถึงได้ท้องอืดแบบนี้ แฮมเบอร์เกอร์ออกมาเกือบสภาพเดิมเลยเถอะ]
พูดไม่ออก… เป็นครั้งแรกที่ไดกิไม่สามารถโต้ตอบได้ เมื่อมองหน้า มินจุนก็ส่งเสียงหึขึ้นจมูกใส่
“โทมะ ไม่ใช่ยานะ ป๊ะป๋าพูดผิด เราจะทานน้ำผลไม้เวทย์มนต์ที่ทำให้หายปวดท้องต่างหาก”
คนตัวเล็กขยิบตาขอให้ผู้เป็นพ่อช่วยตอบรับด้วย แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหัวอย่างเอาจริงเอาจัง มินจุนเลยถลึงตาใส่แล้วขยิบตาส่งสัญญาณอีกรอบพลางกระแอมในลำคอโดยไม่เปิดปาก
“ป๊าป๋าพูดผิด ไม่ใช่ยา แต่เป็นน้ำผลไม้เวทย์มนต์”
สุดท้ายก็ต้องยอมพูดไปในทิศทางเดียวกับมินจุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ว้าว ถ้าอัดเสียงไว้ น่าจะเอาไปใช้หากินได้เป็นสิบๆ ปีเลยนะนั่น… ไม่รู้ทำไมพอได้ยินคำว่าน้ำผลไม้เวทย์มนต์จากปากไดกิ มินจุนถึงรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ยังไงก็เป็นมนุษย์สินะ… ดีใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
โทมะคว่ำตัวอยู่กับแผ่นอกบางพร้อมกับพึมพำ
“มะช่ายน้ำเวดมน เปงยา โทมะรู้”
“เห็นไหม ลูกฉันไม่เชื่อเรื่องแบบนั้นหรอก”
“อ่า ครับๆ”
“พูดไปเรื่อยๆ แล้วกอดไว้ ฉันจะไปเอายา”
ขาของเสือดาวเปี่ยมพลังผ่านสายตาของเขาไปภายใต้แสงจากโคมไฟ มินจุนเหล่มองตามแผ่นหลังของคนที่หยิบเสื้อคลุมยาวซึ่งผาดอยู่บนโต๊ะมาสวม หัวใจเขาเริ่มเต้นผิดจังหวะทั้งๆ ที่ยังกอดโทมะอยู่จนเกือบจะเป็นอาการชีพจรเต้นผิดปกติเพราะรอยสักลายเสือดาวบนก้นข้างหนึ่งของอีกฝ่าย
โทมะเงยหน้าขึ้นถาม เมื่อสัมผัสได้ว่าหน้าอกของมินจุนขยับขึ้นลง
“หม่าม้าเจ็บเหยอ”
“อ๋อ อื้อ… นิดหน่อยน่ะ…”
“กินยาด้วยกัง”
“…ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก… หรือควรกินนะ”
สักพักไดกิกลับมาพร้อมยาลดกรดผสมน้ำเชื่อมสำหรับเด็ก พอตักขึ้นมาจากแก้ว ร่างสูงก็ต้องโอบแขนคล้ายกอดมินจุนเพื่อป้อนยาให้ลูกชายที่หันหน้าหนีเพราะไม่อยากกินยาอย่างช่วยไม่ได้ มินจุนรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของอีกคนจากด้านหลัง และแม้ว่าเพิ่งจะตื่นนอน ทว่าใบหน้าด้านข้างแสนเซ็กซี่ยิ่งกว่านายแบบก็เข้ามาใกล้จนแทบจะแตะหน้าเขา จนกำเดาเกือบจะพุ่งใส่หัวโทมะแล้ว
‘ขอร้องละ รีบๆ ป้อนแล้วออกไปไกลๆ ที ไปไกลๆ นู่นเลยจะเป็นพระคุณมาก……สาธุ สาธุ๊’
หลังจากป้อนยาแล้วผละตัวออกไป โทมะก็เลียปากเมื่อรู้สึกว่ารสชาติมันอร่อยกว่าที่คิดจึงร้องเรียกผู้เป็นพ่อ
“ป๊ะป๋า ให้หม่าม้าด้วยฮับ หม่าม้าเจ่บ ตงนี้เต้นตึกๆ”
โทมะชี้สะดือตัวเองแล้วพูด
‘อ๊าก! อะไรอีกเนี่ยโทมะ ไม่ใช่นะ วันนี้หม่าม้าคนนี้ทนอะไรต่อไปอีกไม่ได้แล้วน้า ให้เขาออกไปไกลๆ แบบนั้นแหละ ดีแล้ว’
มินจุนเบิกตากลมโตพลางส่ายหัวไปมา
“ไม่ต้องครับ ผมไม่ได้ปวดอะไรเลย”
“หม่าม้า ยามะขม อย่อยๆ ป๊ะป๋าขอยาหน่อย”
เด็กน้อยเริ่มออดอ้อนให้ป้อนยามินจุนด้วย ชายหนุ่มส่งสายตาเป็นคำถามว่าวางแผนลับหลังอะไรอีกตามด้วยการยื่นแก้วยาให้
“ป๊ะป๋า ป้อนหน่อยฮับ”
“ไม่เป็นไร หม่าม้ากินเองได้”
มินจุนยื่นมืออกไปรับทั้งๆ ที่ยังกอดโทมะ แต่ไดกิกลับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและแข็งกร้าวจนถึงขั้นทำให้เกิดอาการชาวาบ
“อ้าปาก”
ร่างบางอ้าปากทันทีราวกับโดนอะไรบางอย่างล่อลวงเพื่อรับเอาน้ำเชื่อมรสสตอเบอร์รี่เข้าปาก ริมฝีปากล่างที่สัมผัสเข้ากับนิ้วโป้งของอีกฝ่ายทำเอามินจุนเหม่อลอย
แม้ว่าไซรัปรสสตอเบอร์รี่ปริมาณไม่ถึงสิบซีซีจะหายไปเข้าไปในปากของมินจุนแล้ว แต่ไดกิก็ยังไม่ยอมเอามือออก ร่างสูงยังคงมองคนที่เอนตัวไปด้านหลังและอ้าปากค้าง ทว่ามินจุนกลับไม่มีความกล้ามากพอจะมั่นใจว่าคนตรงหน้ามองไปที่ไหน
ความเงียบของทั้งคู่ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งโทมะคว้าแขนแกร่งของไดกิ
“ป๊ะป๋า โทมะจานอนนี่”
“เอาสิ”
จากนั้นไดกิจึงเป็นฝ่ายละสายตาแล้วหันไปลูบหัวโทมะ ตอนนั้นมินจุนก็ถอนหายใจที่กลั้นไว้ออกมา
“งั้นวันนี้นอนกับป๊ะป๋านะ เดี๋ยวหม่าม้าไปนอนห้องโทมะ”
“มะอาว! หม่าม้านอนนี่!”
อืม งั้นหม่าม้าก็นอนที่นี่… เอ๋? หม่าม้ายังไม่ได้เตรียมใจเลยนะ… จริงๆ ก็อยากถูกกอดนั่นแหละ แต่ถ้าจะทำก็ต้องเป็นกลางดึกหลังโทมะหลับไปแล้วหรือเปล่า ไม่สิ นี่ก็กลางดึกแล้วนะ แต่ว่า…
มินจุนคิดวนเวียนเหมือนแหวกว่ายอยู่ในถังกิมจิ ไดกิเลยเอ่ยดักขณะถอดเสื้อคลุม
“จะนอนก็นอน ถ้าคิดจะทำอะไรเหลวไหลก็ออกไป”
พอพาโทมะเข้านอนแล้ว เจ้าเด็กน้อยก็ตบที่ข้างตัวเองตุบๆ แก้ปัญหาให้เรียบร้อย
“นอน”
ร่างบางดึงผ้าห่มที่อบอวลด้วยกลิ่นของไดกิขึ้นมาจนถึงคางแล้วเหม่อมองเพดานด้านบน พร้อมกับคิดว่านี่มันไม่ใช่วิธีทรมานทรกรรมมนุษย์ชั้นเยี่ยมหรอกเหรอ มินจุนหยิกต้นขาตัวเองแล้วหยิกอีกเพื่อให้ตาสว่างตลอดคืน
“หากพิจารณาเรื่องการเคลื่อนไหวของประชาชนที่สถานีชิบะ ห้างเซโกะก็มีมูลค่าเพียงพอที่จะรับมาครับ”
ขณะที่อิสึกิกำลังรายงานเนื้อหาที่ตนสืบค้นในช่วงที่ผ่านมาก็คอยเหลือบมองบนโต๊ะอยู่ตลอด ทนายคาสึมะที่นั่งอยู่ด้วยกันก็ไม่รู้ว่าสนใจอะไรก็คอยดันแว่นที่ดั้งจมูกอยู่ตลอดเช่นกัน
“แต่ว่า…”
กริ๊งงง กริ๊งงง
ทันทีที่เสียงโทรศัพท์มือถือของไดกิที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น ทุกคนต่างคอยมองท่าทางของเจ้าตัว
“มีอะไร พูดต่อสิ”
ไดกินั่งหลับตาใช้นิ้วโป้งยันคิ้วตัวเองอยู่ พอเห็นว่าอิสึกิที่กำลังรายงานอยู่หยุดไปก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วเร่งให้พูดต่อ
“ขออภัยครับ เขตนั้นเป็นเขตที่กลุ่มโชสึเกะทิ้งไว้เพราะทำเรื่องผิดกฎหมาย ก่อนจะรับมาอาจจะต้องซ่อมแซมหน่อยครับ”
“เรื่องทางกฎหมายล่ะ”
“ไม่มีปัญหะ…..”
ทว่าเสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นอีกครั้งก่อนคาสึมะจะพูดจบ
กริ๊งงง กริ๊งงง
“เป็นอันตกลง หาวันเซ็นสัญญา”
กริ๊งงง และเมื่อมันดังขึ้นอีก คราวนี้แม้แต่ไดกิก็ยังให้ความสนใจจึงหันไปถามเรนที่กำลังบันทึกการประชุมอยู่
“มีอะไร”
“ดูเหมือนว่าท่านโทมะจะวิดิโอคอลมาครับ”
“ส่งมา”
ร่างสูงรับโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายส่งมาให้ กะว่าจะกดปฏิเสธเพราะกำลังประชุมอยู่ แต่นิ้วกลับกดรับโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเชื่อมต่อเสร็จ ก็พบภาพโทมะกระตือรือร้นลูบๆ คลำๆ ผมของตัวเองก่อนจะเรียกผู้เป็นพ่อด้วยใบหน้าสดใส จนไดกิเผลอยิ้มออกมาเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้
[ป๊ะป๋า หนูงัดผม]
[ไม่ใช่ ดัดผมสิ]
คงเพราะกำลังถ่ายวิดิโออยู่เลยมองไม่เห็นหน้าอีกคน ได้ยินแค่เสียงเข้ามาจากบริเวณหน้าอกของมินจุน
[ดัดผม น่ายักมั้ย]
“อืม โทมะ…”
[หม่าม้าก็ทำ ป๊าป๋าดูนะ หม่าม้ามานี่]
โทมะดึงชายเสื้อของมินจุนด้วยมือเล็กๆ โทรศัพท์จึงเปลี่ยนทิศทางขึ้นไปอยู่ด้านบน ภาพมินจุนหัวเราะร่าปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ ชั่วพริบตานั้นไดกิรู้สึกราวกับโดนตีเข้าที่ท้ายทอย ถ้าเทียบกับโทมะเหมือนตุ๊กตา เส้นผมคดไปงอมาคล้ายกระหล่ำปลีแล้ว ผมทรงคลื่นละไปจนถึงตรงคออย่างเป็นธรรมชาติกลับเข้ากับมินจุนมาก
ถ้าไม่เปิดปากพูดก็คงจะมีเสน่ห์แบบหนุ่มน้อยมากกว่าพวกผู้หญิงทั่วๆ ไปพอสมควร ซึ่งเป็นสเปกของเขา ถ้าหากว่าไม่ใช่ผู้ชายล่ะก็… ไดกิเอนตัวพิงกับโซฟาจะได้ตัดสายไวๆ
[เป็นไงครับ เหมาะไหม เหมือนแม่กับลูกหรือเปล่า ฮ่าๆ ลองใส่กระโปรงดีไหมนะ]
มุมปากข้างหนึ่งของไดกิยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปเหมือนสายฟ้าแลบเมื่อเห็นมินจุนพูดพลางเกาหัวตัวเองเขินๆ คนในห้องประชุมต่างทำหน้าเหมือนไม่เชื่อตาตัวเองและหลบสายตาของเขาอย่างลุกลี้ลุกลน
“ตอนนี้ประชุมอยู่”
[โอ๊ะ งั้นเหรอครับ ผมนึกว่าออกไปต่อยตีชาวบ้านทุกวัน… อุ๊บ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ๆ ขอโทษครับ เห เราก็ด้วยเหรอโทมะ ฮ่าๆ น่ารักจริงๆ เลย]
พอมินจุนเอามือปิดปากแล้วแก้ตัวอย่างรวดเร็ว โทมะเองก็ยกมืออวบๆ ป้อมๆ ของตัวเองขึ้นมาปิดปากทำท่าอุ๊บแบบเดียวกัน ร่างบางจึงเลิกขอโทษแล้วหันไปกอดเด็กน้อยแทน ต่างฝ่ายต่างก็เอาใบหน้าถูกันส่งเสียงดังเอะอะ ไดกิที่กำลังมองอยู่กลับคิดว่านั่นไม่น่ารำคาญเลยสักนิด ปกติถ้าประชุมอยู่ เขาพูดไม่เกินสองคำก็คงจะวางแล้ว ไม่สิ ไม่น่าจะรับด้วยซ้ำ…
[โทมะ ป๊ะป๋าทำงานอยู่ บอกป๊ะป๋าให้หาเงินกับมาเยอะ~เยอะ แล้วเราวางก่อนเนอะ]
[อื้มๆ ป๊ะป๋า หาเงินเยอะๆ น้า]
[จุ๊บๆ ด้วย]
[หม่าม้าด้วย หม่าม้าจุ๊บๆ]
[ฉันไม่ต้องทำก็ได้มั้ง…]
[เยวๆ จิ]
ทันทีที่ทั้งสองคนทำปากจู๋พร้อมเสียงจุ๊~บ จนเต็มหน้าจอ ไดกิก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเขายกมือถือเข้ามาใกล้ๆ ตามสัญชาติญาณ ก็เลยรีบกดวางอย่างรวดเร็ว