ตอนที่ 1-3 ความผิดพลาด (Miss-Take)
ความเด็ดขาดก็ต้องตอบโต้ด้วยความเด็ดขาด
สิ่งที่สามารถเอาชนะความเด็ดขาดได้ก็มีแต่ความเด็ดขาดเท่านั้น
ต่อไปนี้เขาจะใช้คำนี้เป็นคติของชีวิต แทฮยอนเลื่อนปรับสายกระเป๋าแล้วสะพายมัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสำรวจป้ายตรงหน้า เช็กอยู่สามรอบยังไงก็เป็นที่นี่ไม่ผิดแน่ ตอนนี้ผ่านไปกว่าสามสิบนาทีแล้วหลังจากได้รับการติดต่อจากเจฮุนที่บอกว่าตัวเองถึงที่หมายกับคุณท็อปสตาร์เป็นที่เรียบร้อย
แม้จะวิ่งตรงมาที่ร้านรวดเร็วราวกับกระสุน แต่แทฮยอนกลับลังเลเดินวนไปวนมาอยู่หน้าทางเข้า มันคือเรื่องที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้น เหมือนเป็นเสียงเยาะเย้ยตอกย้ำตัวเขาเองมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ แต่บางสิ่งมันไม่ได้เข้ามากระทบกระเทือนจิตใจมากไปกว่าความจริงที่ว่าสุดท้ายเมนูหลังเลิกงานของเมื่อวานซืนก็คือหนังหมูนั่นแหละ
ถึงแม้นักเขียนบทน้องเล็กของบริษัทจะอธิบายในแง่ดีว่าหนังหมูมีคอลลาเจนเยอะ ดีต่อผิวและความงาม มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาเลย ไม่มีใครเลยที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วผู้ช่วยผู้กำกับที่นั่งแทะกินเนื้อหมูรักเนื้อวัวมากกว่าใคร
เงินในบัญชีนับวันยิ่งลดน้อยลงไปทุกที คงต้องลองหาเงินกู้ดูเสียแล้ว บริษัทผู้ผลิตที่ไม่ได้ใหญ่และไม่ได้มีพนักงานเยอะ กับ ‘ภาพยนตร์ศิลปะในแง่ธุรกิจ’ ประเภทที่เข้าใจยาก เมื่อเทียบกับบล็อกบัสเตอร์ของฮอลลีวูดแล้ว ถึงจะใช้ต้นทุนการผลิตน้อยแต่ตอนนี้มันก็มีข้อจำกัดอยู่ดี เพราะเงินค่าใช้จ่ายที่จะถ่ายทำเรื่องหน้าก็ไม่มี แม้แต่นักลงทุนก็ไม่มี
สำหรับแทฮยอนแล้ว เขามีทางเลือกไม่มากนัก
‘บอส! งั้นตอนนี้พวกเราก็ได้ทำหนังกับยุนจองโอแล้วเหรอ จริงๆ เหรอคะ’
สไตลิสต์ที่ผ่านมาเจอกดปุ่มลิฟต์แล้วหันหน้ามาถามเขา ประกายตาแวววาวของฮีซอนทำเอาอุณหภูมิการรับรู้ของแทฮยอนลดลงไปประมาณสามองศาเซลเซียส คนสมัยก่อนกล่าวไว้ว่า มนุษย์มีปากดีเลิศมาตั้งแต่โบราณ แล้วทำไมอยู่ดีๆ มาพูดถึงยุนจองโอขึ้นมาได้เนี่ย
ถ้าจะให้พูดอย่างจริงจัง มันเริ่มมาจากตอนที่เจฮุนพูดเพื่อร้องขอให้ทำงาน จากนั้นเขาก็แค่ฟังชื่อที่หลุดออกมาอย่างผิดพลาดแล้วปล่อยสตาฟให้ทำงานตามอำเภอใจเท่านั้น
จะเป็นแบบนั้นหรือไม่ ฮีซอนก็ดูไม่ได้ใส่ใจแล้ว เพราะตอนนี้หญิงสาวคงรู้สึกเหมือนออกไปท่องอวกาศเรียบร้อย ในหัวของเธอกำลังทำงานหนักเพื่อการวัดไซส์ที่แน่ชัด หรือลูบคลำรูปร่างของท็อปสตาร์ด้วยความเต็มใจ
‘ไม่หนิ’
‘ฉากไหนเหรอคะ ตัดสินใจหรือยังคะ’
‘ไม่ทำงานเหรอ’
‘ฉันเอาลงทวิตเตอร์ได้ไหมคะ’
ฟังกันหน่อยสิวะ! เขาอยากจะร้องตะโกนออกมา ณ ตอนนั้นก่อนจะกดรัวปุ่มลิฟต์ไม่ยั้ง เสียงตอบกลับของลิฟต์แผดออกมาอย่างดุเดือดแล้วประตูก็เปิดออกทันที
มันเป็นสภาพที่โคตรบ้าและอยากจะกระโดดตัวลอยออกมา ไม่ใช่พวกสตาฟที่เมาสติสตางค์ไม่ดีหรอก ดูท่าพวกเขาน่าจะเชื่อมั่นตามที่บอสบอกว่านักแสดงตัวท็อปคนนั้นมาแคสติ้ง ไม่ก็ปรารถนาให้เป็นอย่างนั้นกันไปแล้ว
แทฮยอนถอนหายใจยาวพร้อมกับประตูลิฟต์ถูกเปิดออกอีกครั้งทันทีที่ลิฟต์หยุดลงที่ชั้นสิบสอง พอเดินออกมาบริเวณส่วนที่เชื่อมต่อกับร้านก็เจอกับกำแพงหินอ่อนสีดำที่แค่มองทำให้รู้สึกหายใจติดขัด ประตูทางเข้าที่เห็นอยู่ไกลๆ มีการ์ดคอยยืนรอต้อนรับเขาอยู่ บนพื้นปูด้วยพรมสีแดงคลี่ยาวตามทางเดินจนเข้าไปข้างใน
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือบาร์หรูหราแบบนี้ มันห่างไกลกับสไตล์ของแทฮยอนมากในหลายๆ ด้าน ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่ตัวเขาไม่คิดที่จะมาที่นี่แน่ๆ
นอกจากโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้ามินิสเตจและบาร์หลักแล้ว ในส่วนที่เหลือก็แบ่งจะเป็นห้องๆ ที่เขาเองได้กลิ่นทะแม่งๆ ขาโต๊ะของโต๊ะทุกตัวจะมีลูกปัดสีดำร้อยตกแต่งให้บรรยากาศโดยรวมดูมีพลัง แทฮยอนเช็กข้อความของเจฮุนอีกครั้ง ห้องหมายเลขห้างั้นเหรอ
ไม่ว่าจะอย่างไร แทฮยอนต้องวางทุกความรู้สึกลงก่อน แม้ว่าจนถึงตอนนี้เขาจะเคยเห็นหน้าตาท็อปสตาร์คนนี้ตัวเป็นๆ เพียงแค่ครั้งเดียวก็ตาม นอกจากเขาจะชอบล้มเลิกความคิดอย่างรวดเร็วแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มีความโลภมาตั้งแต่แรก
“….งั้นที่มาวันนี้ คือผู้กำกับแพคแทฮยอนเหรอ แล้วทำไมมาพูดเอาตอนนี้ล่ะ”
มือที่แกว่งไกวขณะกำลังก้าวเดินหยุดชะงักกลางอากาศเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่คุ้นเรียกชื่อตัวเองอย่างไม่ได้ไพเราะอะไรมากมาย
“ถ้าจะมาคุยเรื่องนั้นก็ต้องบอกก่อนล่วงหน้าหน่อยสิ บอกว่าไม่ได้เจอกันนานแล้วจะมาชวนดื่มกัน พอมาแล้วกลายเป็นมาคุยเรื่องงานเนี่ยนะ”
“นี่ จองโอ นายมองคนยังไงถึงพูดแบบนั้น ฮะ? วันนี้ประเด็นหลักก็คือเหล้าอยู่แล้วน่า”
เสียงที่คุ้นเคยดังตามมาคือเจฮุน ถ้าอย่างนั้น คนที่อยู่ด้วยกันก็น่าจะเป็น ยุนจองโอสินะ
จากที่สำรวจสถานการณ์คร่าวๆ ดูแล้วเหมือนเจฮุนจะไม่ได้เรียกนักแสดงหนุ่มมาคุยเรื่องหนังก่อนในทีแรก ทันใดนั้นความโกรธก็ได้ปะทุขึ้น ยิ่งมีเรื่องปวดสมองอยู่แล้ว ยังจะยุ่งเหยิงตั้งแต่เริ่มต้นอีก
“แล้ว… ผู้กำกับแพคนี่อะไรเหรอ”
“…กับแกล้มไง”
ไอ้ห่านี่ แทฮยอนกำหมัดแน่น
“ระหว่างที่ไม่ได้เจอพี่นี่กลายเป็นขยะไปแล้วสินะ”
“พูดเล่นกันใช่ไหม ไอ้นี่ ผู้กำกับแพคเป็นเพื่อนฉันตอนเรียนมหาลัยเว้ย ฉันจะเป็นอะไรได้ล่ะ นี่ยังไม่เลิกพูดจาให้คนอื่นขายขี้หน้าอีกเหรอ”
“ต่อให้พูดเล่นแค่ไหน จะมาพูดแบบนั้นกับเพื่อน มันใช้ได้ที่ไหนกันเล่า”
ใช่ นั่นแหละที่เขาอยากจะพูด แทฮยอนคลายหมัดที่กำไว้เมื่อครู่ออก
“แล้ว…ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ต้องพูดล่วงหน้าไว้ก่อนสิ ถ้าเป็นเรื่องงานจะได้ไม่ทำ ”
“อะไรนะ”
“ก็บอกว่าไม่ทำไง พี่คิดจะทำแน่ๆ ใช่ไหมล่ะ ผมพักมาหนึ่งปีแล้ว งานหน้าถ้ามันถูกใจผมอะ ผมทำอยู่แล้ว จริงๆ ก็ตั้งใจว่าจะช่วยซักหน่อยแหละ”
อืม… ยังไม่เริ่มก็ได้ฟังคำตอบแย่ๆ ซะแล้ว แต่ไม่มีคำพูดไหนที่ผิดเลย เขาเองก็เห็นด้วย การเข้าไปข้างในห้องนั้นดูยากขึ้นไปอีก
กลับเลยดีไหมวะ สีหน้าทั้งสองฝ่ายดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ด้วย แทฮยอนคิดแบบนั้น
“ถึงผมจะไม่เคยดูหนังของผู้กำกับแพค แต่เหมือนจะไม่ใช่สไตล์ผมนะ พี่มองผ่านๆ ก็น่าจะรู้นี่ รู้นะว่าตอนนั้นมันก็มีหนังออกมาบ้าง…แต่ก็จำชื่อไม่ได้อะ อะไรที่ออกมามันก็เหมือนจะเจ๊งหมดนี่นา”
แทฮยอนกอดอกยืนทิ้งตัวพิงกำแพงฟังอีกคนพูด
“เฮ้ย ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่โลกลูกแก้วน่ะ มันสุดๆ…”
“อืม ก็เคยดูอยู่เรื่องเดียว”
ตอนนี้น้ำเสียงที่เริ่มคุ้นเคยมากขึ้นก็ยังไม่ยอมหยุดพูด
“ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ มันไม่ชัดว่าเป็นหนังอาร์ตหรือเมลโลดราม่ากันแน่ ผมไม่ค่อยชอบแบบนั้นอะ ไม่ได้มีใจอยากจะถ่ายพวกหนังอาร์ตอยู่แล้วด้วย”
“นี่ จองโอ นายพูดแบบนั้นได้ไงวะ”
“ก็มาเจอกันแล้วพูดอย่างเปิดอกไง ต่อให้วางมือหมดทุกอย่าง มันก็ต้องเริ่มจากบทก่อนเลยไม่ใช่เหรอ แต่ฟังดูแล้วคงน่าจะไปดังทางอื่นด้วยนะเนี่ย”
อืม… นี่ก็พูดไม่ผิดนะ แทฮยอนก้มหน้าลงไปมองปลายเท้าที่เตะไปมาดังตุบๆ และเงยหน้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ผมข้างหน้าที่เหมือนไปร้านทำผมมาพลอยปลิวไสวไปด้วย
“อะไร คิดเรื่องทะลึ่งอยู่เหรอ”
ในที่สุดพวกเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะกันออกมา