บทที่ 55 สตรีศักดิ์สิทธิ์พยัคฆ์ขาวแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
คำพูดของจางอวิ๋นซีทำให้เสิ่นเทียนอึ้งไปเล็กน้อย
ใช่สิ! เกือบทำให้เข้าใจผิดแล้ว!
ก่อนหน้านี้จิ่วเอ๋อร์ให้เราโปรดสัตว์โอรสภูตผีเหล่านั้นมาตลอด นานวันเข้า เราก็ลืมไปเลยว่าต้องโปรดสัตว์จิ่วเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน
เสิ่นเทียนมองจิ่วเอ๋อร์ที่สูบกินศิลาวิญญาณไปครึ่งหนึ่งในเวลาสั้นๆ พลางครุ่นคิด
การโปรดสัตว์ภูตสาวตนนี้ไปด้วย น่าจะประหยัดเงินไปไม่น้อย
“ขอบใจที่ท่านเซียนเอ่ยเตือน ถ้าท่านไม่พูด ข้าก็เกือบจะลืมไปแล้ว ถ้าเป็นไปได้ ท่านก็โปรดสัตว์จิ่วเอ๋อร์ไปพร้อมกันเลยเถอะ!”
เสิ่นเทียนพูดด้วยความถูกต้องชอบธรรม ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
ทางด้านจางอวิ๋นซีพินิจพิจารณาเสิ่นเทียนอยู่ตลอด นางกำลังสังเกตว่าเสิ่นเทียนลังเลหรือไม่
ถ้าลังเลนั่นหมายความว่าในใจมีแผนร้าย เก็บลูกประคำมารดาภูตผีจิ่วเอ๋อร์ไว้ บางทีอาจจะเห็นแก่ความงามของนาง
ทว่าการแสดงออกของเสิ่นเทียนเหนือความคาดหมายจางอวิ๋นซีไปไกล
แววตาของเสิ่นเทียนใสสะอาดมาก ไม่มีความอาลัยอาวรณ์และลามกแม้แต่น้อย
จางอวิ๋นซีเกิดความเคารพบุรุษสะโอดสะองท่านนี้อย่างสุดซึ้งทันที
ดูท่าข่าวลือในสวนหมื่นวิญญาณอาจจะเป็นความจริง คนผู้นี้อาจเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งจริงๆ!
อย่างน้อยตอนนี้ คุณธรรมของเขาก็น่าเลื่อมใส!
ทว่าตอนนี้เอง จิ่วเอ๋อร์กลับน้ำตาไหลนองหน้า ร่างวิญญาณลอยล่องมาคุกเข่าตรงหน้าเสิ่นเทียน จากนั้นพูดด้วยความเศร้าระทมจับใจ
“ไม่ จิ่วเอ๋อร์ไม่อยากโปรดสัตว์ไปผุดไปเกิด ข้าแค่อยากอยู่ข้างนายท่าน เป็นนายท่านที่ช่วยจิ่วเอ๋อร์มาจากเจ้าเฒ่าชาติชั่วเฮยเสวี่ย ชีวิตของจิ่วเอ๋อร์เป็นของนายท่าน หากนายท่านอยากจะให้จิ่วเอ๋อร์รับการโปรดสัตว์ เช่นนั้นจิ่วเอ๋อร์ยอมให้วิญญาณสลายตายไปเสียตอนนี้ดีกว่า”
ท่าทีของจิ่วเอ๋อร์ทำให้จางอวิ๋นซีผงะ
เป็นไปได้อย่างไร มารดาภูตผีจิ่วเอ๋อร์ก็บ้าบุรุษได้ด้วยหรือ
เพราะเจ้านายคนใหม่หน้าตาหล่อเหลากว่าเจ้านายคนเก่าเยอะ เจ้าถึงกับไม่ยอมไปผุดไปเกิด อยากจะติดตามเขาไปชั่วชีวิตหรือ
ทว่าทางด้านเสิ่นเทียน ตอนนี้หมดคำจะพูดและจนปัญญายิ่งกว่า
‘ทำไมรึน้องสาว เจ้าขู่ข้ารึ
เจ้ากินศิลาวิญญาณข้าวันหนึ่งเท่าไร เคยนับในใจบ้างหรือไม่
ข้าช่วยเจ้ามาจากผู้จริงแท้เฮยเสวี่ย เจ้าจะมาแสร้งเรียกร้องเอาเงินจากข้าไม่ได้นะ!’
“แม่นางจิ่วเอ๋อร์ ให้ท่านเซียนโปรดสัตว์แล้วไปผุดไปเกิดเถอะ!”
จิ่วเอ๋อร์น้ำตาหยดติ๋งๆ “นายท่านรังเกียจจิ่วเอ๋อร์หรือ ถึงจิ่วเอ๋อร์จะหุ่นเหมือนต้นหยางน้ำ ไม่คู่ควรกับนายท่าน แต่ถ้านายท่านลำบาก จิ่วเอ๋อร์พร้อมปกป้องนายท่านด้วยชีวิต จิ่วเอ๋อร์จะช่วยนายท่าน อย่าทิ้งจิ่วเอ๋อร์เลย!”
จางอวิ๋นซีมองจิ่วเอ๋อร์ที่ขอร้องอ้อนวอนเสิ่นเทียนพลางถอนหายใจ
“ไม่นึกเลยว่าในวิญญาณอาฆาตจะยังมีคนที่รู้จักตอบแทนคุณเช่นเจ้าอยู่ ช่างเถอะ สหาย เจ้าให้แม่นางจิ่วเอ๋อร์อยู่เถอะ!
ที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ข้าก็พอจะมีวิชาสำหรับภูตบำเพ็ญอยู่หลายวิชา รอตอนโปรดสัตว์โอรสภูตผี จะถ่ายทอดให้แม่นางจิ่วเอ๋อร์ไปพร้อมกันเลย
ถ้าแม่นางจิ่วเอ๋อร์หมั่นฝึกฝน ประกอบกับเสริมด้วยฐานกายหยินสูงสุด คงใช้เวลาไม่นานก็จะใช้พลังวิญญาณมาแทนที่ปราณโลหิตแรงอาฆาต สลับไปฝึกบำเพ็ญวิถีภูตผีได้ เพียงแต่ภายภาคหน้าห้ามก่อกรรมทำชั่วอีกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นผีร้ายอีกครั้ง
ข้า ศิษย์สายเลือดเทพสวรรค์ผู้ดูแลเทพอัสนี ผดุงธรรมแทนสวรรค์ จะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด!”
คำพูดของจางอวิ๋นซีทำให้จิ่วเอ๋อร์ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
นางรีบพูดว่า “ไม่เด็ดขาด จิ่วเอ๋อร์จะจดจำบุญคุณยิ่งใหญ่ของพี่หญิงเซียนไว้ในใจ นับจากนี้จิ่วเอ๋อร์จะฝึกบำเพ็ญอย่างสัตย์จริงแน่ หมั่นสร้างบุญกุศล ไม่กล้าก่อกรรมทำชั่วเด็ดขาด!”
จางอวิ๋นซีได้ฟังคำสาบานของจิ่วเอ๋อร์แล้วก็พยักหน้าด้วยความพอใจ ขณะเดียวกันนางยังถอนหายใจโล่งอกอยู่ภายใน
กล่าวความจริงแล้วกัน!
จางอวิ๋นซีตอบตกลงไม่โปรดสัตว์นาง ไม่ใช่แค่เพราะซึ้งใจ แต่เพราะนางยังไม่ค่อยชำนาญวิชาล้ำเลิศคัมภีร์โปรดสัตว์ของสายสืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
นางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ จึงใช้สุดยอดพลังที่เป็นที่นับหน้าถือตาแก้ปัญหามาตั้งแต่เยาว์วัย
ในอดีตหากเจอสาวกลัทธิวิญญาณร้ายหรือสมบัติชั่วร้าย ปกตินางจะโปรดสัตว์ทันที
ภูตผีร้ายน่าสงสารที่เหลืออยู่บางส่วนและต้องช่วยฟื้นคืน จะส่งให้พี่ชายนางเป็นคนโปรดสัตว์
ทุกคนต่างรู้ว่าในหมู่กิเลนทอง พยัคฆ์ขาว และมังกรฟ้า สตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้สวมชุดเกราะแสงพยัคฆ์ขาวเป็นคนที่ล่วงเกินไม่ได้มากที่สุด!
อีกอย่างสมบัติวิเศษอย่างลูกประคำมารดาภูตผีเก้าโอรสยังจัดการยากยิ่ง ถ้าให้จางอวิ๋นซีโปรดสัตว์จริงๆ นางเองยังไม่กล้ามั่นใจเลยว่าจะทำสำเร็จแน่นอน
โดยเฉพาะสตรีที่เกิดมาในปีแรม เดือนแรม วันแรม และช่วงเวลาแรม จะโปรดสัตว์ล้างความอาฆาตยากที่สุด
จางอวิ๋นซีไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะใช้พลังภายนอกมาชะล้างแรงอาฆาตของจิ่วเอ๋อร์ได้
ถ้าเป็นพี่ชายจางอวิ๋นถิงหรือศิษย์พี่ใหญ่ฟางฉางลงมือก็ยังพอไหว
เฮ้อ เหตุใดจะต้องรีบร้อนรับปากเจ้านี่ด้วยนะ!
โปรดสัตว์อะไร เหนื่อยที่สุด!
หากรู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ลงจากเขาครั้งนี้ให้พี่ชายมาด้วยกันดีกว่า
จางอวิ๋นซีถอนหายใจเงียบๆ สงสัยว่าตนคงจะถูกผีสิง เหตุใดถึงได้ตอบตกลงคำขอของเจ้านี่ได้อย่างน่าประหลาดกันนะ!
ตอนนี้เอง ประตูห้องถูกพังเข้ามา
ร่างเงาสีแดงขนาดใหญ่พุ่งตรงเข้ามาหาจางอวิ๋นซี
“องค์ชายไม่ต้องกลัว บ่าวให้เสี่ยวเกาไปแจ้งผู้อาวุโสกลุ่มผู้คุมกฎแล้วพ่ะย่ะค่ะ
ไอ้สุนัขรับใช้ลัทธิวิญญาณร้าย อย่าได้คิดทำร้ายองค์ชายของข้า!
องค์ชาย บ่าวจะถ่วงเวลามันไว้ ท่านไปก่อนเถอะ”
ขณะพูดอยู่นั้น กุ้ยกงกงจู่โจมด้วยปราณกระบี่หลายร้อยเล่มแล้ว แสงกระบี่สีม่วงมืดฟ้ามัวดินรวมกันเป็นดอกทานตะวันพิลึกดอกหนึ่ง ทุกดอกเบ่งบานกลางอากาศ แผ่กลิ่นอายคมกริบที่ทำให้คนหนาวสั่น
“ปราณกระบี่ทานตะวัน เป็นแค่ผู้บำเพ็ญหลอมปราณขั้นแปด กลับสำแดงปราณกระบี่ได้แข็งแกร่งเช่นนี้เชียว”
จางอวิ๋นซีมองกุ้ยกงกงอย่างเย็นชา แววตาเหมือนมีความคิดบางอย่าง
“น่าสนใจ หรือว่าจะเป็นผู้สืบทอดของราชันมารบูรพาไร้พ่ายท่านนั้น? น่าเสียดายอย่างเดียว ขอบเขตพลังของเจ้ายังห่างชั้นไปบ้าง”
เพิ่งพูดจบ แววตาภายใต้หน้ากากขนหงส์เย็นเยือกนิดๆ
จางอวิ๋นซีพลันระเบิดสายฟ้าสีม่วงอมแดงไร้ที่สิ้นสุดออกมาจากทั่วร่าง พริบตาเดียวพยัคฆ์ร้ายสีขาวที่มีสายฟ้าสีม่วงอมแดงพันรอบกายปรากฏอยู่เบื้องหลังนาง
จางอวิ๋นซียื่นมือขวาดั่งหยกของตนออกมาช้าๆ สองนิ้วคีบไปข้างหน้า
ขณะเดียวกันพยัคฆ์ร้ายสีขาวข้างหลังนางก็แผดเสียงคำราม ปากพยัคฆ์กับสองนิ้วมือนางซ้อนทับกันอย่างสมบูรณ์แบบ
ชิ้ง!
ชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียว ปราณกระบี่กลางอากาศถูกกวาดหายไปจนหมดสิ้น
กระบี่อ่อนขนปักษาม่วงในมือกุ้ยกงกงถูกจางอวิ๋นซีหนีบเอาไว้อย่างมั่นคง แม้กุ้ยกงกงจะกระตุ้นพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่งหมายจะดึงกระบี่อ่อนออกมา
ทว่าสองนิ้วจางอวิ๋นซีกลับแข็งแกร่ง ไม่สั่นคลอนดั่งขุนเขา
“เห็นแก่ที่เจ้ามีใจปกป้องนาย จะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง!”
จางอวิ๋นซีบิดนิ้วดีดไปอย่างเย็นชา สายฟ้าระเบิดดังสนั่น
ทันใดนั้น กระบี่อ่อนขนปักษาม่วงที่ซื้อมาในราคาสูงแตกเป็นเสี่ยงๆ พลังสายฟ้าไหลผ่านแขนกุ้ยกงกงเข้าไปทั่วร่าง เส้นผมกุ้ยกงกงพลันตั้งขึ้นด้วยความเร็วระดับสายตา
ใบหน้าเขาค่อยๆ ชักกระตุกพร้อมกับแทบจะกลายเป็นสีดำ ส่งกลิ่นหอมเนื้อโชยมา
“ท่านเซียนให้อภัยด้วย นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ลุงกุ้ยไม่ได้มีเจตนาร้าย”
เสิ่นเทียนรีบขอร้อง แต่จางอวิ๋นซีเพียงแค่เอ่ยเรียบๆ
“ข้ารู้ เขาถึงยังได้ยืนอยู่หน้าข้านี่ไง”
จางอวิ๋นซีกล่าวจบก็หมุนตัวกลับมาศึกษาลูกประคำอย่างเฉยชา
เสิ่นเทียนรีบเข้าไปประคองกุ้ยกงกงที่หน้าดำเส้นผมตั้งขึ้น “เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
กุ้ยกงกงเขย่าศีรษะแล้วว่า “บ่าวไม่เป็นไร บ่าวแค่เวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น”
เสิ่นเทียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านนี้คือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ไม่ใช่คนเลว”
กุ้ยกงกงตาเป็นประกาย ก่อนจะยิ้มปลื้มอกปลื้มใจ
“อะไรนะ แม้แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยังมาหาองค์ชายถึงในห้องเชียวหรือ องค์ชายร้ายกาจจริงๆ หากพระสนมหลานในแดนปรโลกรู้เข้า…จะ…จะ…จะต้องยิ้มร่าไปทั่วแดนปรโลกเป็นแน่!”
…………………………………….…..