ไม่ง่ายเลยกว่าที่หลิวเต้าเซียงจะได้หลับดีๆ สักครั้ง พอฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ถูกหลิวชิวเซียงปลุกให้ตื่นอย่างเงียบๆ
วันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาดนัด ตอนแรกจึงตั้งใจว่าจะอาศัยการเดินเท้าเข้าเมืองไปประมาณสิบลี้ แต่โชคดีที่ได้ยินว่ามีคนจ้างเหล่าหวังเข้าไปช่วยลากของในตำบล
หลิวเต้าเซียงกลัวว่าตนเองจะเผลอหลับเกินเวลา จึงให้พี่สาวช่วยปลุก
หลิวชิวเซียงเป็นสาวที่ขยันหมั่นเพียร จุดนี้ได้มาจากหลิวซานกุ้ยและภรรยา ทุกวันก่อนรุ่งสางก็ต้องลุกขึ้นมาเตรียมอาหารหมูและทําความสะอาดบ้าน แล้วต้มน้ำให้ครอบครัวไว้ใช้ล้างหน้า ก่อนจะเริ่มทําอาหารเช้ากับหลิวฉีซื่อและหลิวซุนซื่อ
หลิวเต้าเซียงเคยบอกว่าอยากช่วย แต่เด็กคนนี้เคยชินกับการนอนแปดหรือเก้าชั่วโมงกว่าจะลุกขึ้นมา แม้ว่าจะเปลี่ยนสถานที่หรือเปลี่ยนฉาก แต่ก็ยังแก้นิสัยนี้ไม่ได้ หลิวชิวเซียงเอ็นดูน้องสาวที่ยังเด็กจึงไม่เคยปลุกให้นางมาช่วยทำงาน
หลิวเต้าเซียงเดินตามพี่สาวไปในครัวอย่างเงียบๆ ไม่คิดว่าน้ำในเดือนมีนาคมจะหนาวเย็นจนทำให้คนตายได้ แต่นางก็วักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตา
หลิวชิวเซียงเห็นว่าข้างนอกยังมืดอยู่และฝนก็ตกเล็กน้อย จึงไม่วางใจให้หลิวเต้าเซียงไปเองคนเดียว นางจึงสวมเสื้ออ๋าวที่ตัวใหญ่และหยาบ ดูภายนอกเหมือนว่าร่างเล็กๆ นั้นซ่อนอยู่ใต้เสื้ออ๋าวตัวใหญ่ ยิ่งทำให้นางดูบอบบางอย่างช่วยไม่ได้ “เต้าเซียง ข้าจะส่งเจ้าไปบ้านลุงหวังดีกว่า”
หมู่บ้านสามสิบลี้นั้นถูกเรียกว่าเป็นหมู่บ้านก็จริง แต่ในความจริงทุกครัวเรือนค่อนข้างอยู่ห่างกัน หลิวชิวเซียงจึงไม่ได้กังวลเกินกว่าเหตุที่จะปล่อยให้น้องสาวออกไปเองคนเดียว
หลิวเต้าเซียงรู้สึกถึงความเป็นห่วงของนาง ในหัวใจรู้สึกอบอุ่น
“พี่ใหญ่ บ้านลุงหวังอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรา อีกอย่างก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ข้าไม่ได้เกิดมาหน้าตาสวยดุจเทพธิดา จะไปเจอคนไม่ดีได้อย่างไร หากมีคนไม่ดีจริง ข้าจะตะโกนให้ดังๆ”
หลิวชิวเซียงยังคงยืนกรานจะตามนางออกไป แต่ก็ถูกหลิวเต้าเซียงยื่นมือมาขวางไว้แล้วชี้ไปที่ห้องของหลิวฉีซื่อ “พี่ใหญ่ พี่อย่าไปเลย รออีกเดี๋ยวย่าก็ตื่นขึ้นมาแล้ว หากเห็นว่าพี่ยังหั่นอาหารหมู่ไม่เสร็จคงต้องด่าอีกแน่นอน พี่อย่าลืมสิ วันนี้พี่ยังไม่ได้กินข้าวเช้านะ!”
ในที่สุดหลิวชิวเซียงก็ไม่ได้ไปส่ง เพราะหลิวฉีซื่อที่อยู่ในห้องนั้นไอเสียงดัง จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงนางลุกขึ้นมา ทำเอาหลิวชิวเซียงสะดุ้งรีบปิดประตูลงกลอน
หลิวเต้าเซียงมองไปยังแผ่นประตูที่เกือบจะหนีบจมูกของตน พร้อมกับถูปลายจมูกแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังในชีวิต
นางหายใจเข้าลึกๆ และหายใจออก ให้พลังที่ไม่ดีถูกพ่นออกมาจนหมด
เงินจ๋า ข้ามาแล้ว! เพียงแค่คิดถึงมัน เลือดในกายก็พลุ่งพล่านเป็นพลังให้ชีวิต
หลิวเต้าเซียงนั่งรถเข็นวัวของเหล่าหวังมาที่เมือง เหล่าหวังอยากรู้ว่านางเข้าเมืองเช้าขนาดนี้เพื่ออะไรกัน นางจึงตอบว่าเพื่อดูว่ามีงานที่เหมาะสมกับนางหรือไม่ และบอกว่าหลังจากที่แม่ของนางได้ให้กําเนิดน้องสามแล้ว ก็ยังไม่ได้กินน้ำตาลแดงแต่อย่างใด
“อนิจจา แม่ของเจ้าช่างมีชะตากรรมที่ขมขื่นทีเดียว น้องชายของนางก็เป็นคนดื้อรั้น ตอนนั้นทนฟังคำพูดเสียดทานจากคนในหมู่บ้านไม่ไหว หลังจากที่แม่เจ้าแต่งงานออกเรือนไป ก็ขโมยเงินที่ได้จากงานแต่งไป บอกว่าจะไปก่อร่างสร้างตัวข้างนอก แต่นี่ก็เกือบสิบปีแล้ว ยายเจ้าร้องไห้อยู่ที่บ้านจนดวงตาแทบบอด ก็ไม่มีสัญญาณว่าจะกลับมา เฮ้อ…”
คาดว่าญาติทั้งหมดคงคิดว่าเขาตายอยู่ข้างนอกแล้ว
หลิวเต้าเซียงเพิ่งรู้ว่าเหตุใดถึงไม่มีใครจากฝั่งแม่ของนางมาเยี่ยมเยียน ที่แท้ก็เพราะว่าเหลือเพียงยายแก่เฒ่าคนเดียวในบ้าน
เมื่อมาถึงในเมืองฟ้าก็เพิ่งสว่าง นางลูบเงินทองแดงในกระเป๋าของตนแล้วตัดสินใจเติมท้องให้อิ่มก่อน มีแรงถึงจะมีลู่ทางทำมาหากินไม่ใช่หรือ
กระนั้น นางจึงวิ่งไปที่แผงขายอาหารเช้า โอ้…กลิ่นหอมของเนื้อที่โชยเข้ามาในจมูกแทบจะปลิดชีวิตนางได้เลย ไม่ได้ๆ นางมีเหลือเพียงหนึ่งทองแดง ซื้อได้เพียงหมั่นโถวสองลูก
หมั่นโถวเมื่ออยู่ในมือก็มีลูกใหญ่พอสมควร หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าถึงหนึ่งเหลี่ยง [1] หรือไม่ เคยได้ยินหลิวฉีซื่อบ่นว่า หนึ่งตำลึงจะเท่ากับแปดอีแปะ
ได้ยินมาว่าค่าเงินมันเพิ่มขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา และหลายปีก่อนนั้นถูกกว่านี้มาก หนึ่งตำลึงยังเท่ากับห้าอีแปะ นางเองก็ไม่รู้ว่าราคาข้าวของนั้นถูกกำหนดอย่างไร
แต่เมื่อคํานวณคร่าวๆ ด้วยที่ดินดีๆ สามสิบไร่ในมือของหลิวฉีซื่อ ราคาเมล็ดข้าวในสองฤดูกาลต่อปีอยู่ที่สี่ถึงห้าอีแปะต่อหนึ่งชั่ง อย่างน้อยปีหนึ่งก็สามารถเก็บเกี่ยวได้หกสิบตำลึงเงิน พูดได้ว่าหาเงินได้มากกว่าตระกูลของฝั่งหลิวซุนซื่อที่ฆ่าหมูขายเสียอีก
เมื่อคิดเช่นนี้แรงจูงใจของนางก็ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะสัตว์ปีศาจและสัตว์เลี้ยงในกาแล็กซีเทคโนโลยีนั้นมีเหลือแหล่ โชคดีที่นางอาศัยตรงนั้นเพื่อหมุนเงินได้ ก็นับว่าเป็นค่าแรงของนาง
หลิวเต้าเซียงรีบกินซาลาเปานึ่งที่อยู่ในมือ วันนั้นแอบได้ยินจากมุมกำแพงว่าสะใภ้เด็กสาวคนนั้นกับแม่สามีจะกลับมาช่วงเที่ยง นางจึงอาศัยจังหวะรีบไปยังที่ตรงนั้นเพื่อจัดการเอาฟืนย้ายออกมาจากห้วงมิติให้เรียบร้อย
ทุกอย่างเป็นไปตามนั้น เมื่อนางมาถึงบ้านตระกูลจาง ประตูยังคงถูกลงกลอนอยู่ นางแอบเดินสังเกตจนทั่วหนึ่งรอบพบว่าข้างบ้านก็ปิดประตูอยู่เช่นเดียวกัน จึงนึกสงสัยว่าคนแถวนี้คงไม่ได้ไปหาเงินจากแหล่งเดียวกันหรอกนะ
หลิวเต้าเซียงอาศัยจังหวะที่ไร้ซึ่งผู้คนรีบแอบเข้าไปในตรอกฝั่งซ้ายของบ้านนั้น โบกมือเพียงหนึ่งครั้ง ฟืนยี่สิบกองก็ออกมาเรียงรายเป็นระเบียบตรงตรอกทางเดินอันคับแคบ
เมื่อถึงเวลาเกือบสิบโมงเช้า ก็เห็นแม่เฒ่าจางพาลูกสะใภ้ตัวน้อยของนางกลับมาพร้อมกับตะกร้าไม้ไผ่
“ป้าจาง พี่สะใภ้ตระกูลจาง”
หลิวเต้าเซียงตีสนิทอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเห็นคนทั้งสองเข้ามาใกล้ก็โบกมือเรียกขานอย่างเร็วรี่
“เอ๋ สาวน้อย ทําไมมีเจ้าอยู่ที่ตรงนี้คนเดียว?” แม่เฒ่าจางแปลกใจเล็กน้อย คราวที่แล้วก็ไม่เห็นผู้ใหญ่ของเด็กน้อย คราวนี้ก็เห็นนางเพียงผู้เดียว
คงไม่ใช่ว่าเรื่องฟืนเกิดแดงขึ้นมาแล้วหรอกนะ หลิวเต้าเซียงเกิดความกังวลเล็กน้อย ลูกเป็ดในมือได้โบยบินไปแล้ว เพราะเงินที่ตนเองคิดว่าจะหามาได้ก็หายไปสิ้น
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าตัวเองมีสีหน้าไม่สบายใจ จึงรีบตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “หลังจากที่พ่อของข้าส่งฟืนมาแล้ว เขาขอให้ข้าอยู่เฝ้าที่นี่ ส่วนตัวเขาขอไปขายของป่าที่โรงเตี๊ยมก่อนเจ้าค่ะ เพราะรู้ว่าวันนี้จะเข้าเมือง พ่อจึงขึ้นเขาไปรอบหนึ่ง”
เมื่อแม่เฒ่าจางได้ยินว่าฟืนถูกส่งมา นางก็แสดงรอยยิ้มบนใบหน้าและตอบว่า “โอ้ เป็นของป่าอะไรหรือ มีเก็บไว้บ้างหรือไม่ ข้าเองก็อยากซื้อ เพียงแต่ตอนนี้ชิวหวงไม่เข้าป่า คนบ้านนอกเองก็ยังไม่มีกิน จะไปมีมาขายในเมืองได้อย่างไร”
หลิวเต้าเซียงที่หวีเก็บผมเป็นทรงกลมเหมือนซาลาเปา ส่งยิ้มหวานจับใจ “มีเจ้าค่ะ มี เป็นพวกเห็ดป่าต่างๆ หากได้หั่นเนื้อหมูสักครึ่งชั่งลงไปในหม้อ ช่วงที่เนื้อหมูกำลังส่งกลิ่นหอม แล้วโรยเห็ดหูหนูกับเห็ดป่าลงไปสักหน่อย ตามด้วยต้นหอม โอ้โฮ กลิ่นหอมนั้นคงแทบจะกลืนลิ้นลงไปด้วยแน่เลยเจ้าค่ะ”
ลูกสะใภ้ตัวน้อยข้างๆ พูดเบาๆ ว่า “สาวน้อย เจ้าพูดได้น่าฟังเช่นนี้ เอาของของเจ้าออกมาให้ดูหน่อยสิ ถ้าไม่สด เราไม่ซื้อนะ”
“สดแน่นอนเจ้าค่ะ ถ้าข้าบอกว่าข้าไปเก็บมันก่อนรุ่งสางวันนี้ ท่านคงไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่หากมีเวลาจริง ข้าคงไม่สามารถรีบเข้าเมืองได้ทัน นี่คือที่เก็บมาจากเมื่อวานนี้ หลังจากเอากลับมาก็ตากไว้บนพื้นหนึ่งคืน กินวันนี้คงเหมาะสมอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
หลิวเต้าเซียงไม่ได้โกหก เพราะนางรู้สึกว่าทำการค้าขายก็ต้องจริงใจซื่อสัตย์
ดวงตาของแม่เฒ่าจางแคบลงเล็กน้อยและถามว่า “สาวน้อย ปากของเจ้าช่างพูดเก่งจริงๆ เดาว่าที่บ้านก็คงไม่ได้ยากจนมากสินะ” ไม่อย่างนั้น หากไม่ใช่คนที่มีความรู้สักหน่อย คงไม่มีทางพูดจาอ้อมไปมาได้เก่งกาจเช่นนี้?
“ไม่เลยๆ ท่านป้าจาง ท่านลองดูของก่อนเป็นเช่นไร?” หลิวเต้าเซียงไม่ได้ตอบแม่เฒ่าจาง เพราะสถานที่แห่งนี้หากเดินผิดบ้านก็อาจได้เจอญาติมิตรเป็นแขนง เกิดเรื่องถึงหูของหลิวฉีซื่อขึ้นมา เรื่องเงินที่นางหาได้จากการขายฟืนคงปิดไม่มิด
แม่เฒ่าจางและลูกสะใภ้เดินตามนางมาทางด้านซ้ายของตรอกทางเดิน เห็นตะกร้าไม้ไผ่เล็กๆ วางอยู่ที่นั่น เมื่อเปิดฝาครอบไม้ไผ่ด้านบนออกจะเห็นว่ามีเห็ดสดอยู่ข้างใน ซึ่งไม่ได้มากมายนัก และคาดว่าทั้งหมดน่าจะหนักประมาณหนึ่งกิโลกรัม
“เห็ดสดเหล่านี้ขายเยี่ยงไร?”
“ป้าจางดูและให้ราคาเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงไม่ให้หลานต้องขาดทุน” หลิวเต้าเซียงปีนขึ้นไปบนเสาที่พาดมา ระหว่างความร่ำรวยกับความยากจน นางจัดการทำให้ผิวหน้าตนเองฉาบหนาขึ้นมาอีกหลายนิ้ว
แม่เฒ่าจางยิ้มว่า “เจ้าเป็นคนฉลาด รู้ว่าข้าเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไม่มีทางปล่อยให้เด็กหญิงตัวน้อยต้องขาดทุนเหนื่อยเปล่า แต่ฤดูกาลนี้หากินของสดได้ยาก หากอิงตามราคาตลาด เจ้าขายให้ข้าสี่อีแปะต่อครึ่งกิโลกรัมเถอะ”
สี่อีแปะสามารถซื้อข้าวได้สองขีดครึ่ง นางจําได้ว่าบะหมี่ยังแปดอีแปะต่อครึ่งกิโลกรัม ราคาของแม่เฒ่าจางจึงถือว่ายุติธรรม
หลิวเต้าเซียงชี้ให้เห็นฟืนอีกยี่สิบกอง หลังจากที่นางนับเสร็จแม่เฒ่าจางก็หยิบเงินให้จำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบแปดอีแปะ มีหนึ่งร้อยอีแปะหนึ่งพวง และเป็นเศษอีกยี่สิบแปดอีแปะ
“สาวน้อย เจ้ายังมีฟืนแห้งอยู่ในบ้านหรือไม่? ของคราวที่แล้วจุดไฟดีมาก ทั้งแห้งและติดไฟง่าย” แม่เฒ่าจางพอใจกับฟืนที่นางส่งมาให้อย่างมาก
หลิวเต้าเซียงเป็นคนรอบคอบ เด็กน้อยวัยเจ็ดขวบอย่างนางสามารถหาข้ออ้างที่คนไม่ทันสังเกตได้ครั้งสองครั้ง แต่เกรงว่าหากวันเวลาผ่านไปก็ยากที่จะปกปิดช่องโหว่ จึงเอ่ย “ขอบคุณท่านป้าจางที่เห็นค่า เพียงแต่ฟืนเหล่านี้เก็บมาตั้งแต่ปลายปี ในบ้านเองก็ใช้ไปไม่น้อย ตอนนี้ฝนยังคงตก ไม่รู้ว่าฟ้าจะเปิดเมื่อไหร่ ในบ้านยังต้องเก็บไว้ใช้ทำอาหารบ้างเจ้าค่ะ”
เหตุผลของนางฟังดูยิ่งใหญ่และแม่เฒ่าจางก็รู้ด้วยว่ายากที่ตนจะสร้างความลำบากให้ผู้อื่น
หลังจากที่หลิวเต้าเซียงกล่าวลากับแม่เฒ่าจาง ก็เก็บเงินหนึ่งร้อยอีแปะเข้าไปในคลังเก็บของของห้วงมิติเงียบๆ นางคิดว่าความระมัดระวังจะนำไปสู่ความสามารถในการประกอบเรือหมื่นปีได้ เทียบกับหลิวฉีซื่อแล้ว นางเชื่อมั่นในตัวสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดมากกว่า
“โอ้ โฮสต์ กระผมก็เขินเป็นนะครับ” เมื่อสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดสื่อสารกับนาง เจ้าใบถั่วงอกขนาดเล็กสองใบเปลี่ยนเป็นสีชมพูอย่างรวดเร็ว
หลิวเต้าเซียง “…”
“โฮสต์ครับ เดิมทีเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน แต่เนื่องจากความเชื่อใจที่คุณมีให้ผม ผมจะขอเตือนคุณด้วยความหวังดี จากการตรวจจับข้อมูลคลื่นวิทยุได้รับข้อเสนอแนะของราชวงศ์นี้มา คุณอาจจะต้องเตรียมลูกไก่ไว้มากกว่านี้ เพราะว่าอีกสองเดือน เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนก็จะไม่มีพันธุ์ลูกไก่ให้ซื้อขาย ด้วยเหตุนี้แนะนำว่าโฮสต์ควรรีบเตรียมทุกอย่างให้ดี จะได้ลดความเสียหายของธุรกิจของโฮสต์ด้วยครับ”
หลังจากการเตือนของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ด หลิวเต้าเซียงก็รู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้ว นางจําได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ซื้อไก่คือห้าอีแปะ “เจ้าสัตว์ปีศาจตัวน้อย!”
“โฮสต์ มีอะไรก็พูดมาตามตรงครับ” ศูนย์ศูนย์เจ็ดตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังทันที
หลิวเต้าเซียงยืนยันกับเขาให้แน่ใจอีกครั้งว่า “ไม่มีอะไร ฉันจําได้ว่าอ่านคําแนะนําและระบุว่าหนึ่งเดือนของเวลาฝั่งฉันเท่ากับว่าเขตเพาะเลี้ยงผ่านไปสามร้อยวันแล้ว ถูกต้องไหม?”
“ใช่ครับ ไก่ที่อายุสามร้อยวัน เกือบจะขายได้แล้ว กล่าวคือโฮสต์ต้องพยายามเข้านะครับ รีบคืนหนี้ที่ติดอยู่ ถึงเวลาจะได้สร้างกำไร อยากซื้ออะไรก็ซื้อ อยากมีบ่าวรับใช้ก็มีไว้ปรนนิบัติได้”
เมื่อเผชิญกับความหอมหวานที่ศูนย์ศูนย์เจ็ดหยิบยื่นมาให้ หลิวเต้าเซียงก็ไม่ลังเลที่จะตอบรับไว้
“ขอบใจนายมาก ฉันจะไปซื้อเพิ่ม” การมีบ่าวรับใช้ เป็นความคิดที่ไม่เลว
หลิวเต้าเซียงคํานวณว่าพื้นที่เพาะพันธุ์ปัจจุบันของตนเองตอนนี้สามารถเลี้ยงไก่ได้สามตัว ซึ่งหมายความว่านางต้องสะสมของให้ดีจนถึงเดือนมีนาคมปีหน้า เท่านี้ก็จะมีไก่สามสิบกว่าตัว แต่วินาทีนั้นนางก็พบว่าการซื้อลูกไก่ครั้งนี้จะทำให้นางกลับไปสู่สภาพยากจนเช่นเดิม
——
เชิงอรรถ
[1] 1 เหลี่ยง เท่ากับ 1 ส่วน 10 ของ 1 จิน (เทียบได้กับ ตำลึง แต่น้ำหนักก็ไม่เท่าตำลึงของไทย) 1 เฉียน เท่ากับ 1 ส่วน 10 ของ 1 เหลี่ยง 1 เฟิน เท่ากับ 1 ส่วน 10 ของ 1 เฉียน