ตอนที่ 295 กรรมตามสนองเร็วยิ่งนัก
ตอนที่ 295 กรรมตามสนองเร็วยิ่งนัก
นี่คือเสียงร้องไห้อย่างงั้นเหรอ ซูหวานหว่านทำความเคารพฮ่องเต้ และกล่าวออกมาอย่างใจเย็น ไม่ได้ถ่อมตนหากแต่ก็ไม่ได้หยิ่งผยอง “ฝ่าบาท หม่อมฉันขอทูลถามว่าพระองค์ต้องการพบหม่อมฉันด้วยเหตุอันใดเพคะ?”
ฉีเฉิงมองสวีซูก่อนจะเบือนสายตาไปมองซูหวานหว่านพร้อมทั้งขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าการที่เขามอบพระราชโองการเช่นนี้ดูเหมือนจะคิดผิดไป พลันนึกถึงเรี่องที่ขันทีมารายงานก่อนหน้านี้ ประการแรกต้องให้ซูหวานหว่านรออยู่ที่หน้าประตูก่อน
ซูหวานหว่านคิดว่านี่คงจะไม่เป็นอะไร ดังนั้นนางจึงหมุนตัวหันหลังเดินกลับออกไป หากแต่ยังไม่ทันเดินออกไปก็ถูกสวีซูขวางไว้ อีกฝ่ายแสร้งร้องไห้ออกมาพร้อมกับเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฝ่าบาท คุณหนูจ้าวนำชุดแดงชุดนั้นมาให้ข้าสวมใส่ ทำให้เหล่าขันทีเข้าใจผิด และเอาขี้เถ้านั่นยัดปากข้า เหตุใดท่านถึงยังพูดกับนางแบบนั้น ท่านควรลงโทษนางถึงจะถูก”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่น เขามองการแต่งกายของซูหวานหว่าน การแต่งกายของนางเรียบร้อย เรียบง่ายหากแต่ก็สง่างามในแบบตนเอง จากนั้นก็กวาดสายตามองชุดที่สวีซูใส่ ชุดยาวสีขาว เสื้อคุลมสีแดงของนางสกปรกเลอะเทอะไปหมด
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องเสื้อคลุมสีแดง สวีซูได้สวมใส่ชุดสีขาวซึ่งถือเป็นสิ่งต้องห้ามของพระราชวังแห่งนี้ เพราะการใส่ชุดขาวนั้นเหมือนกับการงานไว้ทุกข์ การที่นางแต่งตัวเช่นนี้นางกำลังสาปแช่งเขาอยู่งั้นเหรอ? ฉีเฉิงขมวดคิ้วและกล่าวออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด “ตัวจ้าไม่ได้อยากได้ยินคำพูดของเข้า ข้าแค่อยากได้ยินว่าเจ้าจะมาทำพิธีใดเพื่อขับไล่วิญญาณเร่ร่อนของพระสนมในอีกสองสามวันข้างหน้า ยามที่คิดถึงพระสนมคนนั้นข้ารู้สึกหวาดกลัวจนแทบขาดใจ ในตอนกลางคืนก็ยิ่งข่มตานอนไม่หลับ”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้สีหน้าของสวีซูก็เปลี่ยนไปทันที นางคาดไม่ถึงเรื่องว่าฮ่องเต้จะเป็นคนไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ นางเริ่มรู้สึกไม่มีความสุขอีกต่อไป หญิงสาวหยิบของออกมาหนึ่งชิ้น มันมีลักษณะเป็นสีดำ ก่อนส่งมันให้กับขันที “ฝ่าบาท ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ข้าทำมันขึ้นมาด้วยตนเองที่ภูเขาเซียงไถ่ มันทำขึ้นจากขี้เถ้าไม้กฤษณาที่ผู้แสวงบุญทำบุญหามาหกสิบปี และมีแห่งเดียวในโลก ข้าขอมอบมันให้กับพระองค์ นี่คือสิ่งที่องค์พระโพธิสัตว์ใช้สูดดมขับไล่ปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย”
“จริงเหรอ?” สีหน้าของฉีเฉิงพลันเปลี่ยนสีเผยให้เห็นความปีติยินดี และหลังจากนั้นก็เห็นสวีซูพยักหน้า ๆ เขาก็กล่าวว่า “ขันที นำไข่มุกทะเลจีนตะวันออกมาให้นาง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” สวีซูกล่าวขอบคุณ
ซูหวานหว่านมองไปที่สิ่งของนั้น และอดที่จะรู้สึกตลกไม่ได้พร้อมกับกล่าวว่า “ธูปนี้ดูเหมือนจะลึกลับ ขี้เถ้ากำยานมีอายุราว ๆ หกสิบปี มันจะใช้ได้อย่างไรกัน และอีกอย่างดูเหมือนว่าธูปดอกนี้จะนพออกมาจากแม่พิมพ์มากกว่าจะเกิดขึ้นเอง แน่นว่ามันมีผงบางอย่างผสมอยู่ด้วย หากฝ่าบาทก็ได้กลิ่นก็จะรู้สึกสบายใจ แต่เมื่อท่านตื่นมาในวันพรุ่งนี้ฝ่าบาทอาจจะลืมสิ่งที่ทำไปในวันนี้”
“เจ้ากำลังหมายความว่าอย่างไร?” ฉีเฉิงขมวดคิ้วและมองไปที่ซูหวานหว่านก่อนจะเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “คุณหนูจ้าว เจ้าจะมากล่าวใส่ร้ายคุณหนูสวีซูไม่ได้ นางนั้นเป็นถึงหญิงศักดิ์สิทธิ์จากภูเขาเซียงไถเชียวนะ!”
“เป็นเรื่องที่ใส่ร้ายกันหรือไม่ก็เชิญตามหมอหลวงมาตรวจสอบเสีย” ซูหวานหว่านยักไหล่พลางพูดออกมาอีกว่า “ธูปนี้ไม่เพียงแค่ทำให้ผู้คนที่ได้กลิ่นลืมความทุกข์ หากสูดดมมากก็อาจเปรียบเสมือนยาเสพติดได้”
“ยาเสพติด?” ฉีเฉิงเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย หญิงสาวเอ่ยคำพูดตรงไปตรงมาอย่างซึ่งความกลัว และเขาก็ปลงใจเชื่อไปแล้วสามส่วนในขณะที่สวีซูจับมือของซูหวานหว่านออกแล้วก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเผชิญหน้ากับฉีเฉิง
ดูเหมือนว่า…
“ไปตามหมอหลวงมา!” ฉีเฉิงเอ่ย ทำให้ขันทีรีบออกไปตามหมอหลวงทันที คำสั่งของฮ่องเต้ทำให้ร่างกายของสวีซูสั่นสะท้านอย่างไม่อาจความคุมอารมณ์ได้ และกล่าวออกมาว่า “ฝ่าบาท เครื่องหอมชิ้นนี้ทำขึ้นมาโดยอาจารย์ของข้า และมันถูกสร้างขึ้นโดยพระโพธิสัตว์ ของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ข้าไม่ทางนำของปลอมมาถวายแก่ท่านอย่างแน่นอน!”
ทุกคนที่ได้ยินต่างเบือนหน้าหนีกับคำแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ของนาง เป็นฝีมือของอาจารย์นาง หากใช่นางเป็นคนทำไม่! เรื่องนี้นางย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
ฉีเฉิงและซูหวานหว่านไมได้ให้ความใจอะไรนางอีก หลังจากที่หมอหลวงได้ทำการตรวจสอบเรียบร้อย ก็พบว่ามีขี้เลื่อยไม้กฤษณา และแม้แต่ใบมันดาลาที่อาจทำให้เกิดอาการประสาทหลอนได้หากได้รับการสูดดมเข้าไป นอกจากนี้ยังมีสารที่ทำให้เสพติดชนิดอื่นปะปนอีกหลายชนิด หมอหลวงสรุปว่า “ฝ่าบาท คนที่เป็นคนทำเครื่องหอมขึ้นมาไม่ได้ทำตามสัดส่วน และทำมันขึ้นมาไม่ตรงตามมาตราฐาน ทำให้ผลข้างเคียงข้างของมันค่อนข้างแย่ เมื่อผู้ใดสูดดมเข้าไป หลังจากผ่านไปไม่กี่วันบุคคลนั้นจะเสพติดเครื่องหอมชนิดนี้ โปรดใช้มันด้วยความระมัดระวังด้วย!”
เมื่อหมอหลวงเอ่ยจบ บรรยากาศภายในห้องโถงก็เงียบสงัด สวีซูยังคงก้มหน้าก้มตาหลบสายตาทุกคู่ ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ต่อมาฉีเฉิงก็เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ขันที เจ้าไปสืบดูสิว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลสวีไปทำอะไรที่เขาเซียงไถ่ แล้วนำของสิ่งนี้คืนนางไปด้วย!”
เพราะได้ยินมาว่าหญิงสาวที่อยู่ที่เขาเซียงไถ่สามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายได้ ดังนั้นเขาจึงออกพระราชโองการให้นางอภิเษกสมรสกับฉีเฉิงตามพูดของฉีเต๋อหลง ใครจะไปคาดคิดว่าลูกสาวคนโตตระกูลจะไม่ได้เรื่องเช่นนี้!
นางอายุเพียงแค่สิบหกปีเท่านั้น ความสามารถของนางยังไม่มากพอ ฉีเฉิงกล่าวออกมาแบบเคร่งขรึมว่า “ทหาร นำตัวแม่นางสวีกลับไปส่งที่จวนท่านแม่ทัพด้วย!”
“ขอรับ” เหล่าองครักษ์ตอบรับ และพาตัวสวีซูออกไป หญิงสาวไม่กล้าเอ่ยอะไรทำได้แต่เดินออกไปทันที
เหล่าขันทีเดินออกไปรอข้างนอก ในตอนนี้มีเพียงซูหวานหว่านและฉีเฉิงที่อยู่ภายในห้องโถงนี้เท่านั้น ฉีเฉิงก็นั่งลงตรงตำแหน่งของตนเอง และพูดออกมาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเรียกเจ้ามา?”
“หากข้ารู้? ท่านจะเชิญข้ามาด้วยเหตุอันใด” ซูหวานหว่านยียวนฝ่าบาท และนางไม่อยากจะพูดจาอ้อมค้อมอีกต่อไปเอ่ยออกมาว่า “ฝ่าบาทมีเรื่องอะไรก็ตรัสออกมาเลยเสียดีกว่า หากไม่มีเรื่องอะไร หม่อมฉันจะได้ขอตัวกลับ”
ใครบ้างที่ไม่อยากเข้ามาในวังหลวงเพื่อสัมผัสกับพลังแห่งกร แต่ซูหวานหว่านกลับรีบอยากออกไปจากที่แห่งนี้!
ฉีเฉิงขมวดคิ้วแน่น พลางคิดว่าในวันแห่งนี้มีหมอหลวงมากมาย หากแต่ไม่ค่อยรู้เรื่องราวเหล่านี้ หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าฮวงเหล่าไม่อยู่ในวัง เขาก็คงไม่ไปตามลูกศิษย์ของฮวงเหล่าอย่างซูหวานหว่านมาตรวจโรคหรอก!
เมื่อคิดถึงเรื่องโรค ใบหน้าของฉีเฉิงก็ขึ้นสีแดงด้วยความเขินอาย เขาส่งเสียงไอออกมา และพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง และเขามักจะรู้สึกว่าเวลามีร่วมหลับนอนตรงนั้นของเขาจะไม่ค่อยแข็งตัว เจ้าเขียนใบสั่งยาให้แก่เขาได้หรือไม่”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ซูหวานหว่านเกือบแทบจะหัวเราะออกมาดัง ๆ กับคำพูดของฉีเฉิงที่อ้างว่าเป็น ‘สหายของตัวเองป่วยเป็นโรคนี้’ เรื่องนี้มันเป็นความจริงอย่างงั้นเหรอ?
แทนที่จะพูดออกมาตรง ๆ ว่าตัวเองเป็นโรคนี้!
ซูหวานหว่านก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้สึกว่ามีเงาของพระสนมเอกติดตามตัวของฉีเฉิงอยู่หากแต่นางก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา และทำเพียงพูดว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยคนนี้คิดว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับตำแหน่งฉางเล่อ ท่าน…ท่านจะต้องปิดตายตำหนักฉางเล่อ และทำพิธีอันเชิญสองสามวัน จงเชิญคนที่มีหยินหยางสูงมาขับไล่สิ่งไม่ดี และก็ให้สหายของฝ่าบาทดื่มน้ำแกงเสริมกำลังเข้าไป”
เมื่อซูหวานหว่านเอ่ยถึงตำหนักฉางเล่อ นางไม่รู้หรือว่าคำว่า ‘สหาย’ นั้นหมายถึงตัวเขาเอง! ฮ่องเต้พลันหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่ก็ตอบตกลง ก่อนจะสั่งให้ขันทีไปส่งซูหวานหว่านออกจ่ากวัง ก่อนจากไปดูเหมือนซูหวานหว่านจึงบางสิ่งขึ้นมา นางจึงพูดออกมาว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยคนนี้คิดว่าองค์ชายรองก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นให้ท่านให้เขาลองเข้าไปทำพิธีในตำหนักฉางเล่อในคืนนี้สิเพคะ”
“อืม” ฉีเฉิงพยักหน้า สายตามองไปยังซูหวานหว่านที่กำลังเดินออกไป โดยนึกขึ้นมาได้ว่าซูหวานหว่านไม่ได้พูดถึงเรื่องการแต่งงานของฉีเฉิงเฟิงเลย และนางก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจรังเกียจเดียดฉันท์อะไรเขาเลย หากแต่กลับเสนอวิธีแก้ปัญหาให้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมนางภายในใจ ถึงแม้ว่าซูหวานหว่านจะไม่ใช่คนที่น่ายกย่องระดับประเทศ แต่นางก็มีความสามารถเหมือนกัน!
หลังจากครุ่นคิดไปอยู่นาน ฉีเฉิงเอ่ยสั่งขันทีที่อยู่ด้านนอก “ไปเรียกองค์ชายรองมา!”
ขันทีทำตามรับสั่งทันที
ฉีเต๋อหลงไม่รู้ว่า ตัวเองกำลังถูกซูหวานหว่านเล่นงานกลับโทษฐานที่ต้องการล่วงละเมิดนางในวันนั้น
ฉีเต๋อหลงถูกบังคับให้เข้าไปอยู่ในตำหนักฉางเล่อคืนนั้น เมื่อเขานึกถึงการปรากฏตัวของพระสนมเอกที่ภาพลวงตาถูกทำลายและตายลงในวันนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน มีเพียงเขาและคนรับใช้สองสามคนตามเข้ามาภายในตำหนักฉางเล่อนี้! สาวใช้ในวังและเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ ไม่มีใครกล้าเข้ามาเลย!
ยิ่งฉีเต๋อหลงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น และเขายิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้นพร้อมกับพูดว่า “เข้ามานี่สิ! คืนนี้ไปจับตัวคุณหนูจ้าวมาให้ข้า!”