ตอนที่ 141 สุชนหวงแหน บุตรีเอาแต่ใจ (2)
ฉะนั้น ดาบยาวที่ถูกแม่ทัพเว่ยเขวี้ยงออกมาเหมือนเสือคำรามเสียงดัง ทุกการเคลื่อนไหวเปี่ยมด้วยความแข็งแกร่งและความดุดัน และเล็งไปยังจุดสำคัญของซูอวี้ผิง
ซูอวี้ผิงเองก็ไม่ได้เป็นคนไร้น้ำยา อีกทั้งก่อนหน้านี้เรื่องที่เขาสั่งสอนน้องชายสามถูกมารดาได้ยินเข้า มารดาจึงตามตัวเขาไปแล้วไม่พูดไม่จาสักคำ แค่ให้เขาคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นเวลาสองชั่วยาม ถึงแม้มารดาลงโทษโดยการให้คุกเข่า คนที่เป็นบุตรชายก็ห้ามบ่นและห้ามแสดงความไม่พอใจ ทว่าเหตุผลที่ต้องคุกเข่ากลับทำให้ท่านซื่อจื่อโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
ดังนั้น ไฟแห่งความโมโหภายในใจของซูซื่อจื่อจึงเปลี่ยนเป็นพลังแรงกล้า หอกยาวด้ามหนึ่งดั่งมังกรที่มุ่งออกจากผืนน้ำ และกวัดแกว่งว่องไวโดยไม่มีช่องว่างให้ถ่ายเทอากาศเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองโจมตีกันไปมา และประลองกันอย่างดุเดือด
ไม่นาน เหล่าทหารที่อยู่ในสนามฝึกต่างก็ได้ยินกันว่าแม่ทัพเว่ยและซูซื่อจื่อกำลังใช้อาวุธทหารประลองกัน ได้ยินมาตั้งนานถึงความเลื่องชื่ออันน่าเกรงขามของทั้งสองท่านนี้ ฉะนั้น ทหารที่กำลังฝึกฝนวิชาระดับพื้นฐานก็แห่กันมาดูการประลองครั้งนี้ และยังมีเหล่าทหารที่กำลังพักผ่อนบางส่วนก็มาดูการประลองนี้เหมือนกัน แต่ละนายไปอยู่กันคนละมุม ก็ทำให้ดูเหมือนคนมุงดูยิ่งเยอะกว่าเดิม ไม่นานก็ล้อมรอบวงในสามวงและวงรอบนอกอีกสามวง
ฉังเหมาเดินอ้อมวงขนาดใหญ่จนในที่สุดก็ตามมาหาพวกเขาทัน ไม่ง่ายเลยที่จะเดินเบียดกลุ่มคนแออัด แล้วเห็นแม่ทัพของเขากำลังต่อสู้กับซูซื่อจื่อจนแทบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ดังนั้นเขาจึงทรุดตัวลงนั่งบนพื้น จากนั้นก็ตะโกนด้วยเสียงหายใจที่ยังเหนื่อยหอบ “ไอ้หยา! เป็นเพราะบ่าวพูดมากเอง และไม่ได้พูดให้ชัดเจนเสียก่อน!” ขณะที่กล่าวขึ้น เขาก็ยกมือตบปากตนเอง
เว่ยจางและซูอวี้ผิงต่อสู้กันไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ทั้งสองต่อสู้กันถึงตอนสุดท้าย ร่างของทั้งสองต่างก็เปรอะเปื้อนดินโคลน และเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
สุดท้าย สภาพร่างกายของซูอวี้ผิงไม่อำนวย เหตุเพราะช่วงนี้ภายในใจมีเรื่องเคร่งเครียดมากเกินไป การเคลื่อนไหวของร่างกายจึงช้าลง ท้ายที่สุดก็ถูกดาบยาวของเว่ยจางจี้ไปตรงคอหอย
เว่ยจางมองซูอวี้ผิงอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้น “เจ้าแพ้แล้ว”
ซูอวี้ผิงถอนหายใจยาวเหยียด แล้วยื่นมือโยนหอกยาวลง จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ “ใช่ ข้าแพ้แล้ว”
เว่ยจางรั้งดาบยาวกลับไป และโยนอาวุธทหารออก แล้วเดินไปข้างหน้าสองก้าวพลางดึงซูอวี้ผิงที่ล้มลงบนพื้นขึ้น
ซูซื่อจื่อตบดินโคลนที่แปดเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้าของเขาอย่างสง่าผ่าเผย แล้วกล่าวขึ้น “ว่ามาเถอะ เจ้าจะให้ข้าตกลงเรื่องอะไร”
เว่ยจางมองซูอวี้ผิง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและเชื่องช้า ทว่ากลับทรงพลัง “เจ้าห้ามคิดอะไรเกี่ยวกับเหยาเยี่ยนอวี่”
“อื๋อ?” ซูอวี้ผิงนิ่งงันไปก่อน แต่ทันใดนั้นก็สามารถเข้าใจ ดังนั้นจึงแสยะยิ้ม
“เจ้ายิ้มอะไร” ใบหน้าของเว่ยจางแผ่รังสีความไม่พอใจออกมา
“ไม่มีอะไร” ซูอวี้ผิงยกมือตบไหล่ของเว่ยจาง เขายิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนเป็นพี่ใหญ่ “เจ้าชื่นชอบนาง ใช่หรือไม่”
“ใช่” เว่ยจางตอบกลับโดยตรง ในความคิดของเขา ชื่นชอบก็คือชื่นชอบ เกิดเป็นบุรุษ การชื่นชอบสตรีผู้หนึ่งก็เป็นเรื่องธรรมชาติอย่างไร้ข้อสงสัย ไม่มีอะไรต้องปิดบังหรือเก็บซ่อนไว้อยู่แล้ว
“ดี” ซูอวี้ผิงยิ้มพลางพยักหน้า แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ดีมาก ชื่นชอบให้สบายใจเถอะ”
เว่ยจางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วมองซูอวี้ผิงเพียงพริบตา พร้อมกับละสายตาไปทางอื่น จากนั้นก็ไม่พูดไม่จา
ซูอวี้ผิงกวาดสายตามองไปทั้งสี่ทิศ แล้วโบกมือสั่งให้เหล่าทหารที่มุงดูกันให้แยกย้าย จากนั้นยกมือจับไหล่ของเว่ยจางพร้อมกับพาเขาเดินไปตรงมุมของสนามฝึก
ฉังเหมาเห็น จึงต้องการเดินตามไป กลับถูกถังเซียวอี้ดึงรั้งไว้ “เจ้ามันบ่าวที่ไม่ได้เรื่อง ยังไม่หยุดเดินอีก!”
“ข้าน้อย…ข้าน้อยเป็นห่วงท่านแม่ทัพขอรับ” ฉังเหมาทำปากดูน่าเห็นอกเห็นใจ
“เจ้าพูดน้อยๆ หน่อยจะตายหรือไร!” ถังเซียวอี้กระชากคอฉังเหมาพลางลากตัวเขาเดินไป
บรรยากาศที่มีเพียงลมหนาวพัดโชย ทำให้สนามฝึกเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก ซูอวี้ผิงดึงเว่ยจางไปยังมุมที่ไม่มีใครอยู่ แล้วถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ดูท่าทางของเจ้า นี่เจ้าชื่นชอบคุณหนูเหยาจากใจจริงหรือ”
“แน่นอน” เว่ยจางมองซูอวี้ผิง นัยน์ตายังคงเจือด้วยความไม่พอใจ
“ข้าเชื่อ” ซูอวี้ผิงพยักหน้า “ไม่เช่นนั้นเจ้าก็คงไม่มาหาข้าด้วยความโมโหเพราะคำพูดที่ซุบซิบนินทาหรอก”
ตอนนี้ความไม่พอใจภายในใจของเว่ยจางยังไม่จางหายไป ได้ยินคำพูดนี้จึงอดไม่ได้ที่จะทำเสียง ‘เหอะ’ ในลำคอ ภายในใจกำลังคิดว่า ข่าวลือพวกนี้ก็ออกจากจวนติ้งโหวของเจ้าไม่ใช่หรือ
“คุณหนูเหยาเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตฮูหยินของข้าไว้ อีกอย่าง สิ่งที่ข้าต้องบอกเจ้าก็คืออาการป่วยของฮูหยินข้าดีขึ้นเพราะการรักษาของคุณหนูเหยา คุณหนูเหยาบอกว่าถึงแม้ต้องใช้เวลาในการรักษาและฟื้นฟูบำรุงนานเสียหน่อย ทว่าสุขภาพร่างกายของฮูหยินมีหวังจะได้กลับมาเป็นปกติ”
ซูอวี้ผิงพูดขึ้นสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ความเครียดในใจของเว่ยจางหายไปทันที ฮูหยินของเขาไม่สิ้นใจแล้ว แล้วจะแต่งตั้งภรรยาคนใหม่ได้อย่างไร
ซูอวี้ผิงมองเว่ยจางไม่พูดไม่จา จึงหัวเราะเบาๆ แล้วถามกลับ “เจ้าไม่เชื่อ?”
เว่ยจางไม่พูดไม่จาในทันทีทันใด ไม่ใช่เพราะเขาไม่เชื่อ เป็นเพราะเรื่องมันกะทันหันเกินไป เขายังต้องเสียเวลาในการขบคิดเสียก่อน
“ต่อให้เจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้า ก็ควรเชื่อในฝีมือการแพทย์ของคุณหนูเหยา” ซูอวี้ผิงเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มและยอดเขาที่ห่างไกลออกไปเต็มไปด้วยหิมะปกคลุม จึงเปรยขึ้น “คุณหนูเหยาเป็นแม่นางที่อัศจรรย์ยิ่งนัก! เว่ยจาง ข้าช่างอิจฉาเจ้าจริงๆ ถ้าเกิดข้ามีอายุเท่ากับเจ้า แล้วยังไม่ได้แต่งงาน ข้าต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อที่จะสู่ขอคุณหนูเหยามาเป็นภรรยาให้ได้”
เว่ยจางหันไปมองซูอวี้ผิง แล้วแสยะยิ้มขึ้น “เจ้าไม่มีโอกาสนั้นแล้ว!”
“ใช่ ข้าไม่มีโอกาส” ซูอวี้ผิงยิ้มอย่างผิดหวัง แล้วตบไหล่ของเว่ยจางอีกครั้ง “ดังนั้นข้าเลยอิจฉาเจ้าไง…ถ้าหากคุณหนูเหยาก็ชื่นชอบเจ้าและยอมแต่งงานกับเจ้า ข้าจะอวยพรพวกเจ้าให้รักกันจนแก่จนเฒ่าจากใจจริง”
นัยน์ตาที่เคล้าด้วยความไม่พอใจของเว่ยจางค่อยๆ จางหายไป นัยน์ตาอันลุ่มลึกกลับสู่ความนิ่งสงบ ผ่านไปสักพัก จึงจะพูดด้วยเสียงเรียบ “นางต้องยอมแน่นอน”
“อืม ข้าเชื่อเจ้า” ซูอวี้ผิงมองเว่ยจาง แล้วยิ้มเย้ยหยันตัวเอง “สำหรับคำพูดซุบซิบนินทาเหล่านั้น เจ้าอย่าเห็นว่าเป็นความจริง น้องสามของข้าพูดจาเหลวไหลจนบ่าวมาได้ยินเข้า เลยร่ำลือกันจนผิดเพี้ยนจากความจริง ข้าได้สั่งสอนเขาไปแล้ว”
นัยน์ตาสีน้ำตาลของเว่ยจางเป็นประกายเล็กน้อย แล้วพูดขึ้น “การทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของผู้อื่นไม่ใช่เรื่องเล็กเลย”
“ข้ารู้ ดังนั้น เจ้าวางใจเถอะ” มือของซูอวี้ผิงตบไหล่ของเว่ยจางแรงๆ จากนั้นก็หยุดชะงักไป แล้วหันหลังเดินจากไปโดยเร็ว
การประลองครั้งนี้ในสนามฝึกระหว่างแม่ทัพเว่ยและติ้งโหวซื่อจื่อ ทำให้กลายเป็นเรื่องราวที่แสนอัศจรรย์ที่เหล่าทหารในค่ายทหารต่างก็ร่ำลือกันมานานจนยิ่งอัศจรรย์กว่าเดิม การประลองครั้งนี้ยังคงเป็นประเด็นพูดคุยในเหล่าทหารเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
แต่ตัวเอกของประเด็นนี้กลับรู้สึกสนใจอย่างยิ่งในเรื่องที่ผู้คนร่ำลือ
ซูอวี้ผิงนอกจากจะยุ่งกับงานต่างๆ ในจวนติ้งโหวแล้ว ก็ยังต้องคอยเป็นห่วงเป็นใยเกี่ยวกับอาการป่วยของเฟิงฮูหยินน้อย ส่วนเว่ยจางก็ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังไปปรึกษาเรื่องของค่ายทหารติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน จนเขาต้องออกจากจวนแต่เช้าและกลับดึกเป็นประจำ แม้กระทั่งเฮ่อซี ถังเซียวอี้และคนอื่นๆ ยังไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้เว่ยจางไปเข้าเฝ้าเรื่องอะไร ทว่าแม่ทัพเว่ยยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลาจริงๆ เขาเปรียบเสมือนเทพเจ้ามังกรเห็นหัวมิเห็นหาง
ทันใดนั้น เมืองหลวงอวิ๋นที่เคล้าด้วยบรรยากาศเงียบสงบ จู่ๆ ก็มีคลื่นใต้น้ำเกิดขึ้น นอกจากเรื่องของบุตรีอนุภรรยาตระกูลเหยาแล้ว เรื่องของแม่ทัพติ้งหย่วนก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่บุคคลผู้ที่มีอำนาจและฐานันดรศักดิ์ที่สูงส่งต่างก็ต้องพูดคุยกันหลังมื้ออาหาร
ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหยาเยี่ยนอวี่ ตอนนี้นางแค่จดจ่ออยู่กับวิชาการฝังเข็มของตนและก็เกิดผลของความเพียรพยายาม อีกทั้งอาการของเฟิงฮูหยินน้อยก็ดีขึ้นทุกวันๆ
ครั้งที่สามที่เหยาเยี่ยนอวี่ฝังเข็มรักษาอาการให้เฟิงฮูหยินน้อยก็คือวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสิบสอง ตอนนี้นางสามารถล้างหน้าแปรงฟ้าหรือกินอาหารโดยที่ไม่จำเป็นต้องนอนอยู่บนเตียงอีกต่อไป อีกทั้งยังสามารถลงจากเตียงแล้วเดินเล่นในเรือนสองสามก้าว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับจวนติ้งโหว แม้กระทั่งติ้งโหวยังอดชื่นชมเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้ บอกว่าเหยาเยี่ยนอวี่เป็นแม่นางที่อัศจรรย์เหลือเกิน