ตอนที่ 142 สุชนหวงแหน บุตรีเอาแต่ใจ (3)
ซูอวี้ผิงรู้สึกขอบคุณเหยาเยี่ยนอวี่เป็นอย่างยิ่ง และพอได้ปรึกษาหารือกับเฟิงฮูหยินน้อยแล้วว่าจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ เพื่อแทนคำขอบคุณแล้วจะส่งไปที่จวนตระกูลเหยา อีกทั้งยังให้คำมั่นสัญญากับเหยาเยี่ยนอวี่ว่า ‘หากนางสั่งให้ทำอะไร พวกเขาจะไม่ขัดขืน’
ทีแรกเฟิงฮูหยินก็รู้สึกไม่พอใจที่บุตรีเลือกเหยาเยี่ยนอวี่มาเป็นภรรยาคนใหม่ที่จะมาแทนที่นาง ทว่าพอเห็นบุตรีทางสายเลือดของตนนับวันอาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จึงรู้สึกตื้นตันใจราวกับบุปผาผลิบานในใจ สุขภาพร่างกายของบุตรีดีขึ้น เรื่องแต่งตั้งภรรยาคนใหม่ก็คงไม่ต้องเกิดขึ้น เฟิงฮูหยินก็รีบละทิ้งความโมโหเหล่านั้นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และสั่งให้คนเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้เหยาเยี่ยนอวี่ จึงบรรจุของขวัญเต็มคันรถแทนคำขอบคุณ
เหยาเหยียนอี้ก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม ของที่จวนตระกูลซูและตระกูลเฟิงส่งมา เขาไม่แตะต้องแม้แต่น้อย แต่ส่งไปให้ที่เรือนของเหยาเยี่ยนอวี่โดยตรง ส่วนเขาเองก็นอกจากร่ำเรียนตำราแล้ว ก็ออกไปพบปะกับมิตรสหาย เขายุ่งวุ่นวายตลอดเวลา และไม่รู้ว่ามัวแต่ยุ่งกับอะไรอยู่บ้าง
พอเห็นว่าวันส่งท้ายปีเก่าใกล้มาถึง เฝิงหมัวมัวจึงยกเสื้อผ้าชุดใหม่ที่สั่งทำมาให้เหยาเยี่ยนอวี่ลองใส่ เหยาเยี่ยนอวี่มองลายน้ำที่เป็นรายการของขวัญในมือ แล้วคลี่ยิ้ม “ดูๆ แล้วการรักษาผู้ป่วยก็เป็นหนทางแห่งการหาเงินอยู่เหมือนกัน หากทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อนาคตก็คงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีกินไม่มีใช้อีกต่อไป”
“คุณหนูพูดเหมือนเด็กๆ อีกแล้ว” เฝิงหมัวมัวเดินเข้ามา แล้วช่วยชุ่ยเวยถอดเสื้อคลุมให้เหยาเยี่ยนอวี่ และวางไว้ข้างๆ จากนั้นก็เอาเสื้อคลุมผ้าต่วนสีแดงเงินที่ผ่าหน้าและเย็บตะเข็บใต้วงแขนให้แคบแล้วยังเย็บด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว จากนั้นก็ติดกระดุมสีทองทีละเม็ดจนเสร็จ ในความคิดของเฝิงหมัวมัว ของขวัญขอบคุณเหล่านี้จะมีหรือไม่มีก็ได้ สำหรับสตรีคนหนึ่ง การได้ออกเรือนให้กับบุรุษดีๆ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนอย่างอื่นก็ไม่ได้สำคัญอะไร
เฝิงหมัวมัวจัดแขนเสื้อและคอเสื้อที่เย็บด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวประดุจหิมะไปด้วยและพูดยิ้มๆ ไปด้วย “ช่วงเวลาไว้อาลัยของแคว้นผ่านไปเสียที คุณหนูยังเป็นสาวเป็นแส้ก็ควรที่จะสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสจึงจะงดงามหน่อยเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่มองตนเองในคันฉ่อง เสื้อคลุมผ้าต่วนสีแดงเงินนี้รัดเอวคอดที่ผอมเพรียวให้เห็นอย่างชัดเจน ขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวดุจหิมะนี้ ทำให้สวมใส่แล้วผิวดูขาวเหมือนดั่งหิมะ ดังนั้นนางจึงยิ้มพอใจ แล้วพูดขึ้น “เสื้อตัวนี้ช่างงดงามจริงๆ”
“คุณหนูเกิดมางดงามต่างหากเจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่ในคันฉ่องอย่างพึงพอใจ แล้วยิ้มอย่างร่าเริง “ผ่านตรุษจีนนี้ไปคุณหนูก็อายุเยอะขึ้นมาอีกปีแล้ว เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า สาวน้อยคนนี้กลายเป็นหญิงสาวผู้งดงามเสียแล้ว!”
เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้ม “ไม่ได้ไปประกวดความงามเสียหน่อย จะเป็นสาวงามหรือไม่ก็ไม่ได้สำคัญอะไร” พูดถึงความงดงาม นางก็นึกถึงซูอวี้เหิงขึ้นมาอย่างกะทันหัน ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้น “อย่างน้องเหิงเอ๋อร์ถึงจะเรียกว่าสาวงาม”
“คุณหนูสามเป็นสาวงามอย่างถ่องแท้ มีรูปร่างเล็กอรชรอ้อนแอ้น ไม่ว่ายามยิ้มหรือยามโกรธก็ดูละมุนละไม ซ้ำยังจิตใจงาม ทุกวาจาและการกระทำชวนให้หลงใหล” เฝิงหมัวมัวกล่าวไป ก็ก้มตัวลงไปจัดชายเสื้อของเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมกับพึมพำขึ้นต่อ “ทว่าคุณหนูก็มีดีของคุณหนู คุณหนูของพวกบ่าวมีรูปลักษณ์ภายนอกที่สง่าผ่าเผย งามทั้งภายในและภายนอก อีกทั้งหมอดูก็ได้ทำนายโชคชะตาของคุณหนูแต่เนิ่นๆ แล้ว คุณหนูของพวกบ่าวมีโหงวเฮ้งใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความมีโชคมีลาภ อนาคตต้องได้เป็นเศรษฐีร่ำรวยและมีเกียรติสูงส่งแน่นอน”
เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้ม แล้วไม่พูดไม่จาอีก
ส่วนลึกภายในใจของนางไม่เคยขอให้เป็นเศรษฐีร่ำรวยอะไรทั้งนั้น
หากเป็นไปได้ นางแค่หวังว่าตนจะมีชีวิตที่อิสระ สามารถเดินทางเที่ยวเล่นไปทั่วได้ ไปดูทิวทัศน์ธรรมชาติของแม่น้ำเขตตอนใต้และเหนือ จากนั้นเดินทางไปถึงที่ไหน ก็นำทักษะความรู้ทางการแพทย์ไปถึงที่นั่น ตลอดเส้นทางสามารถรักษาคนไข้ไปด้วย และท่องเที่ยวไปด้วย
สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองชอบไปทุกวี่ทุกวัน ปลูกพืชสมุนไพร ศึกษาค้นคว้าสูตรยา ปรุงยาเม็ด เหล่านี้เป็นต้น และสามารถสร้างรายได้บ้าง เพื่อที่จะไม่ต้องกังวลในชีวิตความเป็นอยู่ด้านอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ความคิดของนางห่างไกลจากการเป็นเศรษฐี และห่างไกลจากการแก่งแย่งชิงดีกับผู้อื่น
นางอยู่ตัวคนเดียวก็ดี หรือมีคู่ครองก็ดี แค่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยที่ไร้ความกังวลไปจนแก่จนเฒ่า นั่นคงเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจมากที่สุดแล้ว
หากต้องให้พูดถึงสิ่งที่ปรารถนา เช่นนั้นนางคงปรารถนาว่าหลังจากที่ตนสิ้นใจไป จะสามารถทิ้งตำราการแพทย์พื้นฐานให้กับคนรุ่นหลังได้ร่ำเรียน การทะลุมิติมาในครั้งนี้ของตนจะได้ไม่ไร้ประโยชน์
แค่เรื่องเหล่านี้ เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อาจพูดคุยกับใครได้ อีกทั้งนางรู้ดีว่า ต่อให้พูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่อ และยิ่งไม่มีใครสนับสนุนให้นางไปทำเช่นนี้
ทันใดนั้น นางจึงถอนหายใจแล้วยกมือแกะกระดุมเสื้อตัวใหม่ออก
“คุณหนูไม่โปรดปรานเสื้อตัวนี้หรือเจ้าคะ” เฝิงหมัวมัวมองเหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจ เพียงนึกว่าเสื้อตัวนี้ตัดได้ไม่ดี จะคาดเดาถึงความคิดของนางได้อย่างไร
“เปล่า เสื้อตัวนี้ดีอยู่ รอให้ถึงวันตรุษจีนก็สวมใส่ตัวนี้แหละ”
“หากคุณหนูไม่โปรดปรานก็ไม่จำเป็นต้องฝืน บ่าวสั่งตัดมาตั้งสี่ชุด คุณหนูลองดูชุดนี้สิ” ขณะที่กล่าว เฝิงหมัวมัวก็นำชุดผ้าต่วนลายพวงดอกไม้สีเขียวต้นหอมที่อยู่ในมือของสาวใช้ด้านหลังมาให้เหยาเยี่ยนอวี่ลองสวมใส่
เหยาเยี่ยนอวี่มองเสื้อผ้าที่เย็บปักหลากหลายสีสันด้วยรูปแบบเตี่ยนชุ่ย[1] นางจึงพลันโบกมือ “ตัวนี้หรูหราเกินไป สวมใส่ไม่ได้”
เฝิงหมัวมัวพลันเกลี้ยกล่อม “นี่เป็นงานเฉลิมฉลองตรุษจีน อีกอย่างวันไว้อาลัยแคว้นก็ผ่านไปแล้ว ทุกคนก็ต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่แสดงถึงความปิติยินดีอยู่แล้ว”
“แต่ก็คงไม่ต้องสวมใส่หรูหราถึงเยี่ยงนี้หรอก” เหยาเยี่ยนอวี่จับเสื้อผ้าตัวนั้นไว้ ข้างบนเย็บปักด้วยด้ายสีเงินสีทองและประดับประดาด้วยไข่มุกและหยก พอลองถือดูแล้ว ไม่หนักสิบจิน[2]ก็คงจะหนักเจ็ดแปดจินได้ ดังนั้นจึงแย้มยิ้มพลางส่ายหน้า “อัญมณีและไข่มุกเหล่านี้ เอามาสวมใส่อยู่บนเรือนร่างก็คงจะเหนื่อยแทบแย่ ข้าก็ไม่มีเรี่ยวแรงกำลังจะใส่หรอก”
“โธ่! คุณหนูชื่นชอบในความเรียบง่ายเกินไปต่างหาก” เฝิงหมัวมัวจึงเก็บชุดสีเขียวต้นหอมสุดหรูตัวนั้นไว้ จากนั้นก็เอาชุดอ่าวฉวินสีงาช้างที่ปักลายกล้วยไม้ด้วยด้ายสีส้มมาวางทาบบนเรือนร่างของเหยาเยี่ยนอวี่ “ชุดนี้เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
“โธ่ พอเถอะหมัวมัว!” เหยาเยี่ยนอวี่หันหลังเก็บเสื้อผ้าเหล่านั้น แล้วแย้มยิ้ม “ดีทุกชุด แค่ว่าสวมใส่ตัวไหนก็ได้ อย่างไรเทศกาลตรุษจีนก็มีแค่ข้ากับพี่รองสองคน กลางคืนตอนเฝ้าปีเก่าล่วงไปจนวันใหม่ย่างเข้ามา วันที่สองก็ไม่ต้องออกไปกล่าวคำอวยพรปีใหม่กับใครเสียหน่อย ใส่อะไรก็ได้ ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้แล้ว”
“คุณหนูพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ต่อให้วันที่หนึ่งจะไม่ออกไปไหน ผ่านวันที่สองก็ต้องไปกล่าวคำอวยพรปีใหม่กับจวนติ้งโหว หรือว่าจวนองค์หญิงใหญ่หนิงหวาก็ได้ ท่านก็จะไม่ไปไหนเลยหรือ สองจวนนี้เป็นตระกูลราชนิกุล คุณหนูไปอวยพรปีใหม่ หากบนร่างไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูเหมาะสมจะใช้ได้หรือ”
“นี่ไม่ใช่ว่ามีแล้วหรือไร!” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางผลักเฝิงหมัวมัวออกไป “พอเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว ให้ข้าได้นอนพักหน่อยเถอะ”
เฝิงหมัวมัวถูกผลักไปถึงตรงประตู บังเอิญไม่ตงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เคล้าด้วยรอยยิ้มอันเบิกบาน จึงกล่าวขึ้น “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูหันมาเจ้าค่ะ!”
“จริงหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่เจอผู้ที่มาช่วยชีวิตนางได้เสียที พลันสั่งเฝิงหมัวมัว “พี่หันมาแล้ว หมัวมัวรีบเก็บของพวกนี้เถอะ สั่งให้คนรินน้ำชามา” ขณะที่เอ่ย แม้แต่เสื้อคลุมนางก็ไม่ทันสวมใส่ ก็เดินออกไปต้อนรับตรงนอกประตูทันที
หันหมิงชั่นพาเหล่าสาวใช้และผัวจื่อเข้าประตูมาอย่างร่าเริง พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่สวมใส่เสื้อผ้าอยู่บ้านธรรมดาออกมา จึงรีบเดินเข้าไปจับมือของนาง แล้วพูดอย่างแปลกใจ “ที่ผ่านมาเจ้าเป็นคนที่ดูแลสุขภาพมาโดยตลอด เหตุใดถึงไม่สวมใส่เสื้อคลุมก็วิ่งออกมาเช่นนี้ นี่ก็ใกล้จะตรุษจีนแล้ว เจ้าอย่าได้โดนลมหนาวจนป่วยเชียวนะ!”
“เมื่อวานข้ายังพูดถึงว่าจะไปเยี่ยมพี่สาว นึกไม่ถึงว่าวันนี้พี่สาวจะมา” เหยาเยี่ยนอวี่มองคางของหันหมิงชั่น แผลเป็นเดิมตรงนั้นหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ แม้แต่สีผิวก็กลับมาเป็นปกติและดูสม่ำเสมอ หากไม่รู้ว่าที่นั่นมีแผลเป็นตั้งแต่ตอนแรก เป็นใครก็มองไม่เห็นถึงความผิดปกตินี้
หันหมิงชั่นรู้ดีว่านางคิดอะไรอยู่ ฉะนั้นจึงยกยิ้ม “มองไม่ออกแม้แต่เพียงน้อย ตอนมามารดาก็บอกว่าให้ข้ามาขอบคุณเจ้าเป็นอย่างดี”
เหยาเยี่ยนอวี่ดึงนางเข้ามาในเรือนอย่างดีใจ แล้วแย้มยิ้ม “ระหว่างพวกเรา ยังต้องพูดจาเกรงใจอะไรกันอีก คำพูดคำจาเช่นนี้ ก็คงทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราดูห่างเหินเกินไปแล้ว”
เฝิงหมัวมัว ชุ่ยเวยและคนอื่นๆ ต่างก็ต้อนรับหันหมิงชั่นเข้ามา แล้วน้อมทำความเคารพพลางยกน้ำชาอันหอมกรุ่นให้นาง หันหมิงชั่นนั่งอยู่บนตั่งไม้แล้วคลี่ยิ้มอย่างเบินบาน จากนั้นก็สั่งการบ่าวที่ติดตามมา “เอาของมาให้น้องสาวดู”
[1] เตี่ยนชุ่ย คือการนำขนนกกระเต็นมาประดับโครงไหมกับเงินชุบทองกับอัญมณี เอกลักษณ์ของเตี่ยนชุ่ยต้องประดับด้วยขนนกกระเต็นสีฟ้า เป็นงานฝีมือละเอียดลออมาก
[2] จิน คือหน่วยวัดน้ำหนักของชาวจีน หนึ่งจินเท่ากับ 500 กรัม