ตอนที่ 151 เฉิงอ๋องสั่งสอนบุตรี-เยี่ยนอวี่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (2)
เซียวหลินมองเฟิงเซ่าเชินทำสีหน้าที่ภาคภูมิใจในตนเอง เขาจึงทำท่าทางที่เด็ดเดี่ยวและเต็มไปด้วยความยุติธรรมออกมา แล้วทำสีหน้าบึ้งตึงพลางพูดขึ้น “ข้ารู้สึกว่าสามารถเขียนบันทึกความทรงจำกราบทูลถวายฮ่องเต้ แม่นางเช่นคุณหนูเหยาควรที่จะได้รับการชื่นชมและยกย่อง หากทุกคนเป็นเหมือนคุณหนูเหยากันหมด ในเมืองหลวงอวิ๋นนี้ ในราชวงศ์ต้าอวิ๋น ในใต้หล้านี้ จะมีความสงบและสันติเพียงใด”
เฟิงเซ่าเชินจึงเกือบจะสำลักเหล้าแล้วพ่นใส่หน้าของเซียวหลิน “จื่อรุ่น เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นพฤติกรรมของเฟิงเซ่าเชินที่เป็นเช่นนี้ เซียวหลินก็ทรุดลงทันทีและกลับสู่สภาวะปกติ เขาพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม “เจ้านี่มันไม่รู้จักรักในความถูกต้องแม้แต่เพียงน้อย ข้าอุตส่าห์เด็ดเดี่ยวเยี่ยงนี้ เจ้ากลับไม่ให้ความร่วมมือกับข้าหน่อยเลย”
“พอเถอะ เลิกโวยวายได้แล้ว” เฟิงเซ่าเชินจึงยื่นมือไปคีบปลากุ้ยฮวาแล้วใส่ในถ้วยของเซียวหลินไปหนึ่งชิ้น “เจ้าเพิ่งบอกว่าคุณหนูเหยาสวมใส่ชุดขี่ม้าแล้วกำลังเดินทางกลับจากนอกเมือง หรือว่านางจะไปขี่ม้ามา”
“นี่ข้าก็ไม่รู้” เซียวหลินกินปลาไปด้วยแล้วพูดไปด้วย “ผู้ที่เจ้าหมายปอง เจ้าก็คิดหาวิธีไปสืบข่าวมาเองสิ”
“หลายวันนี้ข้าถูกท่านปู่ขังไว้ในจวน ไปไหนไม่ได้เลย”
“อีกไม่กี่วัน” เซียวหลินยกยิ้มอย่างร่าเริงแล้วมองเฟิงเซ่าเชินอย่างเจ้าเล่ห์ ทั้งยังพูดขึ้น “รอผ่านวันที่สามของตรุษจีน เจ้าก็จะได้เป็นอิสระแล้ว”
เฟิงเซ่าเชินคำนวนเวลาดูแล้ว ตอนนี้กำลังจะถึงตรุษจีน แล้วยังต้องรอวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อีก ตอนเช้าตรู่ของวันที่หนึ่งก็ต้องเข้าวังหลวงไปน้อมทำความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียงและไปกราบไหว้บรรพบุรุษอีก วันที่สองของปีใหม่ก็ต้องอยู่จวนกับฮูหยินผู้เฒ่ากับบิดา แล้วก็ต้องรอพี่สาวกลับมากล่าวอวยพรตรุษจีนด้วย พอถึงวันที่สามก็ต้องเริ่มเชิญชวนญาติสนิทมิตรสหายมากินอาหารและดื่มสุราตรุษจีนด้วยกัน เขาถึงจะมีโอกาสออกมาเดินเล่น ดังนั้นจึงยิ้มพลางพูดขึ้น “กล่าวได้ถูก ก็แค่รอคอยเวลาอีกไม่กี่วันเท่านั้น”
และจวนเฉิงอ๋องในคืนนี้ กลับไม่ได้คึกคักเหมือนจวนเยี่ยนอ๋องและจวนอัครเสนาบดี
เฉิงหวังเฟย[1]ทำสีหน้าที่ไม่เห็นด้วยแล้วยืนอยู่ตรงนั้น ด้านหลังของนางยังมีอวิ๋นเหยาที่ยืนอยู่อย่างเศร้าใจ เฉิงอ๋องอวิ๋นเสิ้นโย้วทำสีหน้าที่โมโหแล้วมองเฉิงหวังเฟย พร้อมกับเอ่ยถามในเชิงตำหนิ “เหยาเอ๋อร์ทำเรื่องที่เกินเลยเช่นนี้ เจ้ากลับแก้ตัวแทนนางอีก?!” บิดาสั่งสอนบุตรชาย มารดาสั่งสอนบุตรี อวิ๋นเหยากระทำผิดเช่นนี้ เฉิงหวังเฟยที่เป็นมารดาก็มีหน้าที่รับผิดชอบมากที่สุด
เฉิงหวังเฟยกลับไม่สบอารมณ์ แล้วทำท่าทางที่ไม่มีความสุข “ท่านอ๋องมาถึงก็ตวาดใส่เหยาเอ๋อร์ เหตุใดถึงไม่ถามเหยาเอ๋อร์ว่าขวัญเสียหรือเปล่า นางเกือบตกลงจากหลังม้าเชียวนะ!”
“นางขวัญเสีย? นางถูกทำให้ขวัญเสียแล้วยังสามารถทำให้บุตรชายของคนอื่นถูกเฆี่ยนตีจนเกือบสิ้นใจกระนั้นหรือ!” อวิ๋นเสิ้นโย้วรู้สึกเคร่งเครียดจนต้องเดินไปเดินมาในเรือน จากนั้นก็เดินกลับมาอยู่ข้างๆ ของเฉิงหวังเฟย แล้วเอ่ยถามอวิ๋นเหยาด้วยความโมโห “อวิ๋นเหยา เจ้ารู้สึกผิดบ้างหรือไม่!”
นัยน์ตาของอวิ๋นเหยาเคล้าด้วยน้ำตา กลับไม่รู้จักยอมแพ้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองตาเฉิงอ๋อง พร้อมกับพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “ลูกมีความผิด ทว่าไอ้เด็กสารเลวนั่นสมควรโดนโบยตี! เขาโยนประทัดมาตรงขาม้าที่ลูกขี่ หากไม่สั่งสอนเขาเสียหน่อย วันข้างหน้า ไม่แน่อาจจะมีคนกล้าจุดประทัดหน้าประตูจวนเฉิงอ๋องก็ได้!”
“พูดจาเหลวไหลไปกันใหญ่!” เฉิงอ๋องรู้สึกโมโหจนโบกมือขึ้น อย่างไรนางก็คือบุตรีที่เป็นหัวแก้วหัวแหวน คงไม่มีทางลงไม้ลงมือได้ลงคอ จึงยื่นนิ้วไปชี้หน้าอวิ๋นเหยา แล้วพูดอย่างโมโห “เกิดเป็นบุตรีราชนิกุล สามารถเย่อหยิ่งและโอหังอวดดี ทว่าไม่สามารถใช้ความรุนแรง! ไม่สามารถกระทำทารุณกับสามัญชน! เด็กคนนั้นโยนประทัดทำให้ม้าของเจ้าตื่นตกใจ เจ้าสามารถส่งตัวเขาไปที่เจ้ากรมเมืองเพื่อลงโทษตามกฎหมาย จะถูกโบยตี หรือว่าลงโทษบิดามารดาของเขาก็ได้ ราชวงศ์ต้าอวิ๋นย่อมมีกฎหมายให้ปฏิบัติตาม!”
เฉิงอ๋องพูดไป ก็รู้สึกโมโหจนเดินวนอยู่ที่เดิม จากนั้นก็หันกลับไปชี้หน้าบุตรี แล้วถือโอกาสว่ากล่าวสั่งสอน “และเจ้ามีฐานะเป็นจวิ้นจู่ เป็นสตรีผู้หนึ่ง แล้วยังใช้แส้โบยตีผู้อื่นกลางถนนอีก อีกทั้งยังเกือบจะทำให้คนอื่นสิ้นใจ เจ้า…เจ้าจะให้สามัญชนในใต้หล้านี้ เหล่าอ๋อง กง หรือขุนนางพูดถึงเจ้าอย่างไร แล้วจะพูดถึงข้าอย่างไร!”
“ท่านอ๋อง!” เฉิงหวังเฟยยังอยากพูดอะไรต่อ ทว่ากลับถูกเฉิงอ๋องขัดขวาง “เจ้าปิดปากเงียบไปเลย!” ขณะที่พูด เขาก็ชี้หน้าอวิ๋นเหยาอีกครั้ง แล้วก่นด่าขึ้น “ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป เจ้าปิดประตูแล้วคิดใคร่ครวญให้ดี! นอกจากวันที่หนึ่งของปีใหม่แล้วต้องเข้าวังหลวงไปเข้าเฝ้าฮองเฮาเหนียงเหนียง ห้ามเจ้าก้าวออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว! ไม่เช่นนั้นเจ้าก็คอยดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร!”
“เสด็จพ่อ!” อวิ๋นเหยาได้ยินคำพูดนี้ จึงรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที เทศกาลตรุษจีนไม่ให้นางออกไปข้างนอก ทำเช่นนี้จะดีได้อย่างไร
“ท่านอ๋อง!” เฉิงหวังเฟยก็รู้สึกกระวนกระวายใจ “นี่ก็ถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว อย่างไรก็ต้องไปเยือนในแต่ละจวน จะมีจวิ้นจู่และสตรีชั้นสูงจวนใดที่ไม่ติดตามมารดาไปเยี่ยมเยียนญาติและมิตรสหายในสถานที่ต่างๆ กันเล่า ตรุษจีนนี้ผ่านไป อวิ๋นเอ๋อร์ก็มีอายุสิบเจ็ดแล้ว ท่านพี่ไม่ให้นางออกไปข้างนอก แล้วแต่ละจวนจะคิดอย่างไร”
“ไม่ว่ากล่าวสั่งสอนบุตรีให้ดี เจ้ายังมีหน้ามาพูดเช่นนี้กับข้าอีก ในความคิดของข้า กักขังนางไว้ในจวนนี่แหละดีที่สุดแล้ว จะได้ไม่ต้องไปสร้างเรื่องสร้างปัญหาอีก!” เฉิงอ๋องทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ จากนั้นก็ออกไปข้างนอกด้วยความโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
เฉิงหวังเฟยหันไปมองอวิ๋นคุน แล้วพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าก็ไม่ห้ามปรามเสด็จพ่อของเจ้าหน่อยเลยหรือไร”
วันนี้เรื่องที่อวิ๋นเหยาก่อขึ้น เฉิงอ๋องก็ฟังจากสถานการณ์ที่บุตรชายเล่าถึงได้ทำให้รู้สึกโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ ส่วนอวิ๋นคุนเองก็เห็นอวิ๋นเหยากำลังจะเฆี่ยนตีคนอื่นจนเกือบตายกับตา และยังได้ยินเหล่าสามัญชนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้กับหู
ในเมืองหลวงต้าอวิ๋น มีแต่สายตาของผู้อื่นกำลังจับตามองอยู่ตลอดเวลา ทีแรกเหล่าจวนอ๋องต่างก็รู้สึกไม่พอใจในจวนเฉิงอ๋องอยู่แล้ว อวิ๋นเหยาทำเยี่ยงนี้ออกมา ก็ถือว่าทำให้ศัตรูทางราชการจับจุดอ่อนของจวนเฉิงอ๋องได้แล้ว และทำให้เสด็จพ่อต้องเจอกับความเดือดร้อนอีก! ต่อให้จวนเฉิงอ๋องจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับฮ่องเต้ ก็เป็นเพียงขุนนางคนหนึ่งเท่านั้น เรื่องนี้หากฮ่องเต้ทรงทราบเรื่อง ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร แค่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อวิ๋นคุนก็รู้สึกโมโหเป็นฟืนเป็นไฟกว่าเดิม
แต่ตอนเผชิญหน้ากับมารดา อวิ๋นคุนไม่สามารถแสดงท่าทีที่โมโหออกมาเหมือนบิดาเท่านั้น จึงถอนหายใจด้วยความช่วยไม่ได้ แล้วเอ่ยขึ้น “เสด็จแม่ ท่านเพิ่งจะบอกว่าผ่านตรุษจีนนี้ไปเหยาเอ๋อร์ก็มีอายุสิบเจ็ดปีแล้ว นิสัยเช่นนี้ของนาง…ต้องแก้ไข ไม่เช่นนั้น เหล่าคุณชายจากจวนอ๋อง กง โหว และปั๋วต่างๆ จะมองนางอย่างไร”
ณ จวนองค์หญิงใหญ่หนิงหวา เจิ้นกั๋วกงหันเวยและองค์หญิงใหญ่หนิงหวากำลังนั่งอยู่บนตั่งไม้อุ่น แล้วฟังบุตรชายคนรองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ องค์หญิงใหญ่จึงแสยะยิ้ม “ข้าว่าแล้ว ชื่อเสียงของน้องเจ็ดต้องถูกบุตรีคนนั้นทำลายวันยังค่ำ ท่านพี่ยังไม่เชื่อข้าอีก บุตรีที่ดีๆ คนหนึ่ง ถูกนางสั่งสอนจนนิสัยเสีย!”
หันเวยยกมือขึ้นไปตบหลังมือขององค์หญิงใหญ่เบาๆ แล้วบอกเตือน “พูดเช่นนี้ไม่ได้ เหยาเอ๋อร์ยังเด็ก อีกอย่าง ถึงแม้ครั้งนี้นางจะไม่เกิดเรื่อง ทว่าคิดๆ ดูแล้วก็ทำให้คนหวาดผวาในภายหลัง หากนางตกลงมาจากหลังม้าจริงๆ เรื่องนี้จะมีผลสรุปที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร ความปลอดภัยของจวิ้นจู่แห่งตระกูลราชนิกุลเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งนัก”
หันซังเย่ว์พยักหน้า แล้วจริงจังกับเรื่องนี้ขึ้นมา “เรื่องนี้ประเดี๋ยวลูกจะไปสั่งการ ถนนหนทางในเมืองหลวงอวิ๋น ห้ามใครจุดประทัดไปเรื่อยเปื่อยเด็ดขาด!”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาแสยะยิ้ม “พวกเจ้าสองพ่อลูกก็ระวังจะจมโคลนไปด้วยเถอะ!”
หันซังเย่ว์ยิ้มอย่างจนใจ เขาจะทำอย่างไรได้ มารดาของเขาไม่พอใจเฉิงหวังเฟยมาก็ไม่ใช่แค่ปีสองปี ทว่าอย่างไรก็ตามเฉิงหวังเฟยก็ยังเป็นฮูหยินของน้าเจ็ด เรื่องนี้บิดาก็จนปัญญาจริงๆ ตนเองที่เป็นบุตรชายก็ทำได้เพียงเช่นนี้
วันที่สองเป็นวันแรมสิบสี่ค่ำเดือนสิบสอง บรรดาตระกูลชั้นสูงจวบจนถึงสามัญชนคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากไปทุกวันต่างก็ยุ่งวุ่นวายกับงานเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ทุกจวนทุกหลังคาเรือน มีแต่คนเข้าๆ ออกๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาใดที่จะหยุดยุ่งวุ่นวายเลย
จวนตระกูลเหยาก็เริ่มติดกลอนคู่ในวันตรุษจีน และแขวนโคมไฟสีแดง อักษร ‘ฝู[2]’ ตัวโตติดอยู่ตรงผนัง สิ่งปลูกสร้างถูกแปลงโฉมใหม่ แล้วยังประดับประดาด้วยป้ายไม้ท้อ[3]อันใหม่
[1] หวังเฟย คือ พระชายาอ๋อง
[2] ฝู แปลว่า สุข ซึ่งเป็นตัวอักษรที่คนจีนมักจะติดในวันตรุษจีน
[3] ป้ายไม้ท้อ คือ ป้ายแกะสลักจากไม้ท้อ แล้วก็วาดภาพมงคล ภาพเทพเจ้าต่างๆ หรือรูปยันต์ เอาแขวนไว้ตามบ้านเรือน โดยเชื่อว่าสามารถขับไล่อัปมงคลได้