บทที่ 299 : ให้ของขวัญ
แสงจันทร์ควบแน่นกันเป็นมูเอนที่กลางอากาศ เธอร่วงหล่นลงมาไม่ห่างจากร้านหนังสือมากนัก สีหน้าของเธอดูซีดเล็กน้อย
แม้ว่าการต่อสู้กับระดับเหนือนภาที่แท้จริงจะจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้จบลงโดยง่าย
แม้ว่าตัวตายตัวแทนของซานดัลฟอนจะอยู่เพียงระดับแรกที่เริ่มเข้าใจแก่นพลัง แต่มันก็ยังเป็นระดับเหนือนภาอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ร่างหลักยังได้แบ่งเส้นด้ายชะตากรรมนับไม่ถ้วนมาให้มันเพื่อเป็นการกันเหนียวจาก ‘การถักทอ’ ของเธอด้วย
การโต้กลับของตัวตายตัวแทนของซานดัลฟอนก่อนตายคือการใช้ ‘การถักทอ’ ยัดเคราะห์ร้ายให้กับศัตรู และใช้ ‘การตัด’ ตัดเส้นด้ายชะตากรรมของคู่ต่อสู้ให้เหลือบางตาที่สุด ทำให้ชะตาของศัตรูขาดตาม
ทว่าน่าเสียดายที่…เธอกลับพบกฎที่ต้านกฎเกณฑ์ของเธอได้โดยสิ้นเชิง
ภายใต้การหนุนเสริมของต้นกำเนิดมรณะ ภาพฉายสะท้อนจันทร์จึงสามารถฆ่าได้ไม่เพียงแต่ชีวิต มันยังรวมไปถึงสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ว่าจะมองเห็นได้หรือไม่ และรวมไปถึงโชคชะตาด้วย
พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้นกำเนิดมรณะมีระดับสูงกว่ากฎเกณฑ์ของซานดัลฟอนหนึ่งขั้น หากเธอสามารถควบคุมกฎเกณฑ์แห่งชะตากรรมได้ เธอก็พอที่จะต่อต้านมันได้ แต่เธอเพิ่งจะมาถึงแค่ขั้น ‘ความสัมพันธ์’ เท่านั้น ดังนั้นผลสุดท้ายจึงเป็นที่แน่ชัด
แต่มูเอนก็บาดเจ็บอยู่ดี…
ถึงอย่างไร ความแข็งแกร่งของตัวเธอเองก็อยู่แค่ระดับภัยพิบัติ และมีประสบการณ์แค่การต่อสู้กับเทพจอมปลอมเท่านั้น แม้ว่าเธอจะมีกฎเกณฑ์มากมายในตัว แต่เธอก็ยังขาดประสบการณ์อยู่ดี
ตัวตายตัวแทนของซานดัลฟอนรวบรวมพลังทั้งหมดของชะตากรรมไว้และขยายข้อบกพร่องในร่างของมูเอนอีกครั้ง ศิลานักปราชญ์คุณภาพต่ำที่อยู่ในร่างกายของเธอเจาะเข้าไปในเลือดเนื้อและกระดูก และรอยร้าวก็ขยายออกไปทุกที…
“มันแข็งแกร่งไม่พอ…”
มูเอนคิดอย่างแข็งทื่อ พลางอุ้มเจ้าขาวไว้แนบอกแล้วเดินกลับไปยังร้านหนังสือ เธอใช้มือข้างหนึ่งปาดรอยเลือดที่มุมปากของเธอออก
แล้วเธอก็ใช้พรศักดิ์สิทธิ์กับตนเองอีกครั้ง
สีหน้าซีดเซียวของเด็กสาวกลับคืนสู่ปกติ แต่เพราะรากฐานที่แตกร้าวกลายเป็นส่วนหนึ่งของเธอไปแล้ว ต่อให้มันจะฟื้นตัวได้ แต่มันก็เป็นแค่ศิลานักปราชญ์คุณภาพต่ำที่แตกร้าวที่เปลี่ยนไปเป็นศิลานักปราชญ์คุณภาพต่ำที่สมบูรณ์เท่านั้น…ราวกับว่าเธอเกิดมาพิการ
ขอเพียงเธอสามารถหาศิลานักปราชญ์คุณภาพสมบูรณ์แบบมาแทนที่ได้เท่านั้น
มูเอนส่ายหน้าแล้วกระซิบกับตัวเองเบา ๆ ศิลานักปราชญ์คุณภาพสมบูรณ์แบบมันหากันง่ายนักเหรอ?
ในตอนที่เธอยังอยู่ในห้องแล็ปของสมาคมแห่งสัจธรรม เธอก็ได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เธอเห็นและได้ยินในช่วงเกือบปีนั้น แล้วเธอก็เข้าใจการเล่นแร่แปรธาตุด้วย
การสร้างศิลานักปราชญ์คุณภาพสมบูรณ์แบบสักชิ้นนั้น นอกจากวัตถุดิบที่ต้องการจะต้องถูกควบคุมอย่างเข้มงวดแล้ว ยังต้องใช้นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเสียดฟ้าด้วย ว่ากันว่าแม้แต่ประธานสมาคมแห่งสัจธรรมยังทำสำเร็จได้แค่ครั้งเดียว และนั่นทำให้เธอเข้าใกล้ระดับเหนือนภา จนภายหลังเธอก็เก็บตัวเพื่อเลื่อนระดับ
ศิลานักปราชญ์ที่เธอสร้างชิ้นนั้นถูกใช้เป็นพลังงานให้กับปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ของสมาคมแห่งสัจธรรม
ใช่แล้ว…การยิงปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ในแต่ละครั้งต้องใช้ศิลานักปราชญ์คุณภาพสมบูรณ์แบบ แต่พลังของมันก็สามารถกำจัดผู้มีระดับเหนือนภาทั่วไปได้ ความสำคัญของศิลานักปราชญ์คุณภาพสมบูรณ์แบบจึงเป็นที่ชัดเจน
หรือก็คือ มันจะแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอาชีพนักวิชาการในแวดวงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
บุคคลหรือองค์กรที่มีศิลานักปราชญ์คุณภาพสมบูรณ์แบบเหล่านั้นต้องซ่อนมันให้มิดชิด ส่วนคนที่สร้างมันได้นั้น จนบัดนี้ก็ยังหาตัวไม่ได้…
มูเอนอุ้มเจ้าขาวแล้วเปิดประตูร้านหนังสือ
ที่จริงแล้วเจ้าขาวไร้รอยขีดข่วน ในเมื่อมันมีมูเอนคอยคุ้มครอง ไม่เพียงแต่มันจะปลอดภัยสบายดี มันยังอิ่มท้องอีกด้วย
ทว่ามันก็ไม่ได้โง่ เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นทายาทของเทพจอมปลอมผู้หลอกลวงและโลภมาก มันย่อมรู้ดีว่ามันรอดพ้นหายนะในวันนี้แล้ว หากมูเอนไม่มา มันก็ยังมีแผนอยู่
ดังนั้น มันจึงขดตัวนิ่งในอ้อมแขนของมูเอน แสดงถึงความตั้งใจแน่วแน่ที่จะออกไปวิ่งซนที่ไหนอีก
ยิ่งมันคิดถึงเรื่องในวันนี้มากแค่ไหน มันก็ยิ่งรู้สึกไม่ได้หวาดกลัว
เจ้าของร้านหลินที่ปกติแล้วชอบข่มขู่มันที่สุดก็เกิดอยากสอนบทเรียนให้มันขึ้นมา เขาอยากให้มันเข้าใจว่าโลกภายนอกในตอนนี้มีความเสี่ยง และเตือนมันว่าอย่าได้คิดหนี…
อืม…ใช่แล้วล่ะ เรื่องเลวร้ายแบบนี้ ก็มีแต่คนน่ากลัวที่คิดจะกินแมวทุกคนนี่แหละที่จะคิดได้จริง ๆ!
เจ้าขาวพยักหน้าในใจอย่างจริงจังและเชื่อในความคิดของตัวเองอย่างสนิทใจ
“หือ? กลับมาแล้วเหรอ…”
หลินเจี๋ยที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้น แล้วชะงักไปเล็กน้อย
เพราะสภาพของมูเอนตรงหน้าเขาดูเละเทะ เสื้อผ้าของเธอเปื้อนฝุ่น ท่าทางของเธอก็อ่อนแรงเล็กน้อย ขนของเจ้าขาวก็ดูยุ่งเหยิงนิด ๆ แล้วมุมปากของเธอยังชื้น ๆ ด้วยของเหลวสีแดงไม่ทราบชนิดอีก
เขาก็คิดอยู่เมื่อครู่นี้เองว่ามูเอนหายไปนานจัง
หลินเจี๋ยถึงกับมุมปากกระตุก คงไม่ใช่ว่าเธอไปเจอกับพวกขโมยแมวเข้าจริง ๆ หรอกใช่ไหม?
เมื่อคิดถึงความจริงก่อนหน้านี้ที่เขาบอกคุณหนูเอลฟ์โดริสอย่างจริงจังว่าหวังจะให้ทุกสิ่งดีขึ้น แล้วนอร์ซินก็ถูกน้ำท่วมเละทันที
หรือน้ำท่วมนั้นจะมาเพราะปากพาซวยของเขาจริง ๆ?
เจ้าของร้านหลินลังเล ก่อนจะอ้าปากพูดขึ้น “ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? หวังว่าจะไม่ได้เจออันตรายอะไรมา…ถ้าถูกรังแกก็ให้รีบบอกผมเลยนะครับ ผมจะรีบจัดการให้”
แน่นอนว่าการจัดการนี้ เขาไม่ได้ไปเองแน่นอน แต่หมายถึง… ตำรวจ! ส่งโจเซฟไป!
มูเอนส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “เปล่าค่ะ แค่จัดการกับพวกโจรกระจอกที่อยากขโมยแมวกับตัวการเบื้องหลังเฉย ๆ”
เรื่องพวกนี้ไม่อันตราย แต่เพราะเธอคิดว่าตัวเองเกิดมา ‘พิการ’ อารมณ์ของเด็กสาวจึงร่วงผล็อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลินเจี๋ยรู้ว่าผู้ช่วยของเขาจริงจังและติดดินเสมอ ถ้าเธอบอกว่าไม่ก็คือไม่ ดังนั้นเขาจึงผ่อนคลายลงทันที แล้วพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้วล่ะครับ”
เขายิ้ม แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็ค้างเติ่งกะทันหัน
เดี๋ยวนะ ไอ้คำว่า ‘จัดการ’ นี่มันยังไงซิ?
ใครมันจะใช้เวลาสั้นขนาดนี้ในการจัดการตัวการเบื้องหลังได้ล่ะ?
หลินเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “มูเอนครับ…การจัดการกับคนเลวเป็นเรื่องดีนะ แต่พวกผู้บงการเบื้องหลังน่ะไม่น่าจะจัดการได้ง่ายขนาดนี้นะครับ? คุณคงไม่ได้เล่นงานผิดตัวหรอกใช่ไหม?”
มูเอนนิ่งไป แล้วจู่ ๆ เธอก็ตื่นตัว
นั่นสิ…ระดับเหนือนภามันฆ่าได้ง่าย ๆ จริง ๆ เหรอ?
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ความแข็งแกร่งที่อีกฝ่ายแสร้งให้เธอเห็นยังต่ำกว่ามาตรฐานไปมาก ยิ่งกว่านั้นหากนึกดี ๆ แล้ว การตอบสนองของอีกฝ่ายก็แปลกมากด้วย…เป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นตัวตายตัวแทนหรืออะไรประมาณนั้น
สมกับเป็นเจ้าของร้าน! เขาคิดถึงเรื่องที่เธอคิดไม่ได้อย่างง่ายดาย!
“ฉันสะเพร่าเองค่ะ…”
มูเอนพยักหน้าแล้วพูดอย่างจริงจัง “ขอบคุณที่เตือนสตินะคะ”
หลินเจี๋ยส่ายหน้า จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนอาการจูนิเบียวของผู้ช่วยของตัวเองกำเริบอีกแล้ว อาจเป็นเพราะเธอไล่พวกโจรใจบาปที่แม้แต่เขายังหนี หรือข่มขู่พวกลูกน้องโจรให้เตลิดไปแล้วเอามาพูดโดยใช้คำน่ากลัวอย่าง ‘จัดการ’ ก็เป็นได้
ชายหนุ่มเก๊กมาดแล้วใช้ประโยชน์จากความเป็นผู้ใหญ่กว่าของเขาทันที พยายามรักษาศักดิ์ศรีเจ้าของร้านเอาไว้ “โอ้ ครั้งนี้มีผมคอยเตือนให้ แต่ครั้งหน้าถ้าไม่แน่ใจ ก็อย่าเที่ยวทำอะไรบุ่มบ่ามเชียวนะครับ”
มูเอนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เธอตัดสินความอันตรายของคนได้ไม่ดีนัก
เจ้าขาวกระโดดลงจากอ้อมแขนของเธอทันที จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนเคาน์เตอร์แล้วเข้าไปในอ้อมแขนของเจ้าของร้านหลิน มันสั่นเทาด้วยหน้าตาเหมือนแมวโดนรังแก หวังจะถูกปลอบถูกโอ๋
แต่หลินเจี๋ยก็ไม่อยากให้ใครคิดว่าเขาเลือกปฏิบัติ เขาจึงใช้มือข้างหนึ่งเคาะหัวของมันแล้วตำหนิ “นายยังจะกล้ามาอ้อนเป็นเด็ก ๆ อีก เท่าที่ดูนายก็กินซะอิ่มแล้วนี่ พุงป่องเชียว! ถ้ายังกล้าออกไปอีก คงสร้างปัญหาไม่หยุดอีกใช่ไหม ฮึ?”
เจ้าขาวโดนดุอย่างเลือดเย็น มันทำได้แต่ร้องเหมียว ๆ อย่างรวดร้าว แสดงออกว่ามันไม่กล้าแล้ว
“จริงสิ”
หลินเจี๋ยหยิบกล่องของขวัญสีชมพูทรงหัวใจออกมาส่งให้มูเอน แล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ผมมีของขวัญมาให้ ขอบคุณสำหรับสิ่งที่คุณทำเพื่อร้านหนังสือตลอดช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานะครับ ลองเปิดดูสิ”