นายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินวางถ้วยชาลงคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “พ่อบ้านฉิน ถ้าโปรเจคนี้คุณรับไปแล้วทำไม่ได้ ส่วนแบ่งของปีนี้จะได้30%ตามปกติ”
เขาเป็นพันธมิตรกับตระกูลโอวหยาง มีโอวหยางเวยอยู่ทั้งคน นายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินรู้ตั้งนานแล้วว่าพ่อบ้านฉินปิดบังเขาเรื่องที่รับสองพ่อลูกฉินฮั่นชิวกลับมา
และรู้ด้วยว่าพ่อบ้านฉินกำลังอบรมบ่มเพาะฉินฮั่นชิวอยู่
แต่อย่างไรก็ตามหากพ่อบ้านต้องการอบรมบ่มเพาะใครสักคนเพื่อยับยั้งเขา นั่นถือว่าเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง
พ่อบ้านยังคงนิ่งไม่ขยับดังขุนเขา ทว่าสีหน้าบึ้งตึงของชายวัยกลางคนที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังเขากลับปิดไม่มิด
“อาเหวิน” พ่อบ้านฉินเอียงศีรษะ เหลือบมองเพื่อเป็นการตักเตือนอาเหวิน จากนั้นเขาก็มองไปที่อาไห่ที่ยืนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ “ทำต่อไป”
เมื่อคืนอาไห่ดื่มเหล้ามาทั้งคืน ตอนนี้เขาจึงมีอาการปวดหัวจากการเมาค้างเล็กน้อย
หลังจากเสียบแฟลชไดรฟ์ เขาก็เปิดโปรเจ็กเตอร์โดยตรงและเปิดโฟลเดอร์ที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์
พ่อบ้านฉินเคยให้พวกเขาดูกระบวนการที่อยู่ระหว่างการผลิตแล้ว อาศัยที่พวกเขาเหลือกันแค่สามคน แม้แต่คอมพิวเตอร์ก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้เอนจินระบบจำลองขนาดใหญ่เช่นนี้ประมวลผล ทั้งสามคนถึงกับต้องยอมแพ้หลังจากศึกษาไปได้สักระยะหนึ่ง
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เคยร่วมต่อสู้กับนายท่านมาก่อน คิดไม่ถึงว่าตระกูลฉินจะแพ้ให้พวกเขา
ขณะที่อาไห่กำลังคิด ตาก็มองไปที่โฟลเดอร์…
เหมือนจะมีไฟล์เพิ่มขึ้นมาหลายไฟล์? อาไห่ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ในตอนนี้เขาไม่ได้คิดมาก เมื่อเขาคลิกไปที่โฟลเดอร์บนสุด ก็พบว่ามีเอนจินหลักเป็นรูปใบไม้ใบหนึ่ง
ทันใดนั้นสมองที่เบลอๆ จากอาการเมาค้างก็สร่างขึ้น อาไห่เบิกตาโพลง เขาศึกษาโค้ดนี้มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ทำไมอาไห่จะไม่เข้าใจ ตอนที่เห็นครั้งล่าสุด เอนจินหลักยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย จะมีรูปไอคอนได้ที่ไหนกัน ? !
อาไห่ยื่นมือคลิกไปที่รูปไอคอน
เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ดังนั้นพ่อบ้านฉินจึงไม่ได้พิมพ์เอกสารหรือออกแบบแผนงานแจกจ่ายไปให้คนที่อยู่ในห้องประชุม
“พ่อบ้านฉิน พวกคุณเซ็นสัญญาแบ่งผลประโยชน์ร่วมเถอะ” วันนี้นายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินพลาดการประมูล อารมณ์ไม่ค่อยดี เขาจึงไม่อยากเสียเวลากับพ่อบ้านฉิน เอามือค้ำโต๊ะแล้วยืนขึ้น “เลขาอิ่น มอบสัญญาให้พ่อบ้านฉิน”
ทันทีที่เขาพูดจบ คนในเหตุการณ์ต่างก็ไม่มีการเคลื่อนไหว
“เลขาอิ่น?” นายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินมองไปทางเลขาอิ่น
เลขาอิ่นเอียงศีรษะมองโปรเจ็กเตอร์ ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้น คนในที่ประชุมอีกหลายคนก็เงยหน้าดูโปรเจ็กเตอร์อย่างไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้ นายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งจึงหันกลับไปตามสัญชาตญาณ
บนโปรเจ็กเตอร์ ระบบสามมิติกำลังประมวลแผนการเชื่อมโยงของกระบวนการที่กำลังผลิตทั้งหมด…
ซึ่งแผนกระบวนการกำลังผลิตนี้เสร็จสมบูรณ์ครั้งแรกจากการมีส่วนร่วมของนายท่านคนที่สี่ตระกูลฉิน เพียงแต่การถอดโค้ดที่ตามมานั้นซับซ้อนและยุ่งยาก กำลังคนที่มากมายและคนที่มีความสามารถทางฝั่งนายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินแก้ไปได้แค่80%เท่านั้น
ตอนที่เขาส่งกระบวนการกำลังผลิตให้พ่อบ้านฉิน เขาไม่เคยคิดเลยว่าพ่อบ้านฉินจะประสบความสำเร็จได้เพียงเพราะอาศัยลูกน้องไม่กี่คน ใครจะไปรู้ว่าพ่อบ้านฉินจะประสบความสำเร็จจริงๆ ?!
“พ่อบ้านฉิน ผมดูถูกคุณเกินไปแล้วจริงๆ ” สีหน้านายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินดูอ่อนลงเล็กน้อย เขาเดินไปข้างๆ พ่อบ้านฉิน หลังจากนั้นไม่นานก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย
ไม่พูดอะไรสักประโยค แต่เดินออกจากห้องประชุมไป
อาไห่เองก็ทำการสาธิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขารีบถอดแฟลชไดรฟ์แล้วเดินกลับมาหาพ่อบ้านฉิน สีหน้าห่อเหี่ยวใจของเขาหายไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “พ่อบ้านฉิน คุณไปเจอคนเก่งคนไหนมาเหรอ? คิดจะปิดบังพวกเราอยู่ได้!”
พ่อบ้านฉินยังดูมึนงงเล็กน้อย
“ฉันยังไม่เจอใครเลย ถ้าฉันเจอคนเก่งจริง ไหนล่ะยังจะมีสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้!” พ่อบ้านฉินยืนขึ้นทันที ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปมองอาเหวิน
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคิดเหมือนกัน “นายน้อยสอง!”
เดิมทีแฟลชไดรฟ์ที่อยู่ในมือพ่อบ้านฉินไม่มีตัวแปรใดๆ เลย ตัวแปรเพียงอย่างเดียวคือสลับกับแฟลชไดรฟ์ของฉินฮั่นชิว
**
ทางด้านฉินฮั่นชิว
วันนี้ฉินหลิงไปโรงเรียน พ่อบ้านฉินคำนวณวันที่เขาอ่านเอกสารผิด จึงไม่ได้มอบหมายภารกิจใหม่ให้เขา ฉินฮั่นชิวเบื่ออยู่หน่อยๆ จึงโทรหาเฉิงเจวี้ยน
จากนั้นก็ดื่มเหล้าไปหนึ่งเหยือกและนั่งแท็กซี่ไปถิงหลานด้วยความดีอกดีใจที่จะได้ดื่มเหล้ากับเฉิงเจวี้ยน
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินฮั่นชิวมาถิงหลาน เขาปรายตามองไปรอบๆ พร้อมกับพยักหน้าไม่หยุด “ที่นี่สภาพแวดล้อมดี ใกล้มหาวิทยาลัย หร่านหร่านจะได้สะดวกสบาย”
ทั้งสองนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เฉิงมู่หยิบกับแกล้มในตู้เย็นมาสองสามจาน
“นั่นใครน่ะ?” เฉิงจินไม่รู้จักฉินฮั่นชิว เขากระซิบถามเฉิงมู่
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคุณชายเจวี้ยนนั่งคุยอย่างจริงจัง
ไม่คุ้นหน้าฉินฮั่นชิว กิริยาท่าทางยังดูเก้ๆ กังๆ เฉิงจินนึกอยู่นานก็นึกไม่ออกว่ามีคนแบบนี้อยู่ในเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่
เอาแต่ก้มหน้าก้มตา
โดยหลักแล้วออร่าในตัวฉินฮั่นชิวดูธรรมดามาก ไม่เก่งเท่าเฉิงเวินหรูและไม่ได้น่ากลัวเหมือนเฉิงเจวี้ยน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เหมือนคุณหนูฉินที่ไม่ว่าจะยืนตรงไหนก็ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้…
เมื่อเฉิงมู่ที่กำลังถือกาน้ำชาเพื่อเตรียมจะไปต้มชาแก้เมาค้างได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “นั่นพ่อของคุณฉิน”
“พ่อคุณฉิน?” เฉิงจินตามเขามาที่ห้องครัว เงียบไปสักพัก “มิน่าล่ะ”
พอเฉิงมู่ต้มเสร็จแล้ว
เฉิงจินก็รับชาไปจากมือเขาอย่างแนบเนียนแล้วเดินไปรินชาให้เฉิงเจวี้ยนและฉินฮั่นชิว
เฉิงมู่ยังคงถือกาน้ำชามองไปทางเฉิงจินอย่างเหลือเชื่อ “?”
“จริงสิ เสี่ยวเฉิง” ดื่มไปครึ่งทาง ฉินฮั่นชิวก็กินถั่วลิสงแล้วจู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดของลุงฉินขึ้นมา “นายสนใจจะบริหารบริษัทไหม?”
ทันทีที่เขาเดินไปหาทั้งสองคน เฉิงจินก็ได้ยินฉินฮั่นชิวเอาแต่เรียกเฉิงเจวี้ยนว่า “เสี่ยวเฉิง”
ในเมืองหลวงแห่งนี้…คนที่กล้าเรียกเฉิงเจวี้ยนว่าเสี่ยวเฉิง เกรงว่าจะมีแค่ฉินฮั่นชิวคนเดียว
ช่างกล้าเสียจริง
“บริหารบริษัท?” เฉิงเจวี้ยนวางแก้วเหล้าลง น้ำเสียงดูไม่ใส่ใจเล็กน้อย “ผมก็แค่พวกเก่งแต่ปาก ไม่มีความอดทนขนาดนั้น ผมพูดตรงๆ กับคุณ”
ฉินฮั่นชิวที่โดนบังคับให้อ่านเอกสารอยู่ตลอดในช่วงนี้ก็เห็นด้วย “ก็จริง ที่จริงแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรดี ไม่มีความสุขเท่างานที่ใช้แรง”
พอไม่ได้ทำงานใช้แรงมาสักระยะ กระดูกและร่างกายเขาก็ขี้เกียจไปหมด
แต่เขาไม่กล้าบอกลุงฉินอีกว่าเขาอยากกลับไปทำงานพวกนั้น
ทั้งสองคุยกันเกือบสองชั่วโมง โทรศัพท์ในกระเป๋าฉินฮั่นชิวดังขึ้น เขาล้วงออกมาดูก็พบว่าเป็นพ่อบ้านฉิน
“ตอนนี้ผมอยู่ไหนน่ะเหรอ?” ฉินฮั่นชิวดื่มไปไม่มาก สติยังคงแจ่มชัด “ผมอยู่ที่บ้านเสี่ยวเฉิง”
เขาไม่รู้พิกัดของสถานที่แห่งนี้ จึงสอบถามเฉิงเจวี้ยนและรายงานที่อยู่ให้พ่อบ้านฉิน
ในสาย พ่อบ้านฉินบอกเขาว่าจะไปถึงที่นั่นภายในเวลายี่สิบนาที
ฉินฮั่นชิววางสายโดยที่ยังไม่ได้ดื่มเต็มที่ “ต้องรีบตามฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”
“น่าจะมีเรื่องด่วน” เฉิงเจวี้ยนเองก็ดื่มเหล้า จึงขับรถไม่ได้ พอคิดได้สักพักก็พูดขึ้นมาว่า “ผมจะให้เฉิงมู่ส่งคุณกลับ”
“ไม่ต้อง หร่านหร่านไม่ชอบลุงฉิน” ฉินฮั่นชิวรีบโบกไม้โบกมือ “ลุงฉินจะรอฉันที่หน้าประตูที่พัก ฉันไปรอเขาเองก็ได้”
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้สืบเรื่องของฉินฮั่นชิว แค่ได้ยินคำบอกเล่าและรู้ว่าลุงฉินที่ฉินฮั่นชิวพูดถึงก็คือคนในตระกูลฉินที่ไม่ได้หนีไปไหน
เฉิงเจวี้ยนจำไม่ได้ว่าตัวเองรู้จักคนในตระกูลฉินหรือไม่ เขาครุ่นคิดอยู่สักพักก็ลงไปส่งฉินฮั่นชิวข้างล่าง อยู่รอเป็นเพื่อนเขาได้สามนาทีก็เห็นรถพ่อบ้านฉินเลี้ยวมา เขาจึงหนีไปก่อน
พวกพ่อบ้านฉินจอดและลงจากรถ แม้พวกเขาจะตั้งใจมองออกไปก็เห็นเพียงแค่แผ่นหลังอันเลือนราง
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาแค่ตั้งหน้าตั้งตามาหาฉินฮั่นชิว จึงไม่ได้สนใจคนอื่น
“คุณหนูใหญ่โทรหานายไหม?” ขณะเฉิงเจวี้ยนเดินกลับไปก็ก้มหน้ามองโทรศัพท์บนข้อมือแล้วถามเฉิงมู่ โทนเสียงไม่สูงมาก ฟังดูเอื่อยเฉื่อยเหมือนไม่มีเรี่ยวแรง
แน่นอนว่าคุณหนูใหญ่ที่เขาพูดถึงก็คือเฉิงเวินหรู
เฉิงมู่ตอบเฉิงเจวี้ยน “โทรมาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนครับ กำลังพาคุณฉินไปทานข้าวและจะกลับมาตอนดึกๆ ”
“ตอนดึก?” เฉิงเจวี้ยนหรี่ตา
พรุ่งนี้ฉินหร่านจะต้องกลับมหาวิทยาลัยแล้ว
**
ด้านนอกเขตที่พักถิงหลาน
อาเหวินลงจากฝั่งที่นั่งคนขับ “นายน้อยสอง คุณมาที่นี่ทำไม?”
เขาเงยหน้าอ่านชื่อเขตที่พัก “ถิงหลาน”
นี่คือคอนโดระดับไฮเอนด์สุดหรู ห้องหนึ่งราคาเริ่มต้นที่เก้าสิบล้านขึ้นไป ถ้าเป็นชั้นดูเพล็กซ์ ราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
เป็นสถานที่หรูหราแห่งหนึ่งในเมืองเมืองหลวง
“ฉันมาดื่มเหล้ากับเสี่ยวเฉิง” ฉินฮั่นชิวเปิดประตูรถนั่งฝั่งข้างคนขับ
“เสี่ยวเฉิง” คนนั้นอีกแล้ว?
อาเหวินประหลาดใจอยู่ลึกๆ ตอนที่เขาพบถุงของขวัญเหล่านั้นเมื่อเช้า เขาก็เดาว่าเสี่ยวเฉิงคนนั้นที่ฉินฮั่นชิวพูดถึงจะต้องไม่ธรรมดา…
แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพักที่ถิงหลาน?
“ลุงฉิน” ฉินฮั่นชิวคาดเข็มขัดแล้วมองไปข้างหลังเขา “คุณรีบตามผมแบบนี้มีเรื่องอะไร?”
ขณะนี้ฉินฮั่นชิวเพิ่งพบว่ามีคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขานั่งอยู่หลังรถคนหนึ่ง สวมแว่นตา
อาเหวินสตาร์ทรถแล้วขับไปทางเขตที่พักอวิ๋นจิ่น
พ่อบ้านฉินแทบรอไม่ไหวให้กลับไปถึงเขตที่พักอวิ๋นจิ่น เขามองไปทางฉินฮั่นชิวโดยไม่ละสายตา “นายน้อยสอง มีใครเคยแตะต้องแฟลชไดรฟ์ที่ผมทิ้งให้คุณบ้างหรือเปล่า?”