พ่อบ้านฉินรู้ว่าจะต้องไม่ใช่ฉินฮั่นชิวอย่างแน่นอนถึงได้ถามเขาไปแบบนั้น
ฉินฮั่นชิวที่นั่งข้างคนขับเงยหน้าขึ้นเมื่อถูกถามแบบนี้ เขาเวียนหัวเล็กน้อยและนั่งตัวตรง “แฟลชไดรฟ์มีปัญหาอะไร?”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ นายน้อยสอง คุณวางใจได้” พ่อบ้านฉินชำเลืองมองอาไห่ที่นั่งอยู่ข้างๆ “อาไห่ อธิบายให้ฟังหน่อย”
อาไห่พยักหน้า “จริงๆ แล้วโปรเจคที่พ่อบ้านฉินให้คุณทำ สำนักงานใหญ่ของตระกูลฉินทำไปแล้วครึ่งนึง ในนั้นมีโค้ดอัจฉริยะอยู่ชุดนึงที่แก้ยากมาก คนของสำนักใหญ่เพิ่งจะแก้ได้ถึง80%…แต่เพียงแค่วางไว้ในรหัสผ่านแฟลชไดรฟ์ของคุณก็แก้ได้แล้ว”
ฉินฮั่นชิวไม่เข้าใจการเขียนโค้ดพวกนี้ เขาจึงฟังไม่ค่อยเข้าใจ ได้เพียงแต่ถามด้วยเสียงอ่อย “การแก้โค้ดพวกนั้นออกมาได้…เก่งมากเลยเหรอ?”
เมื่อได้ยินฉินฮั่นชิวพูดแบบนี้ อาไห่ก็นิ่งไปสักพัก
……เก่งมากเลยเหรอ?
poppyแห่งอวิ๋นกวงกรุ๊ปเป็นบุคคลที่ดึงดูดโปรแกรมเมอร์นับไม่ถ้วนมาที่อวิ๋นกวงกรุ๊ป คุณว่าเก่งไหมล่ะ?
ฉินฮั่นชิวเหลือบมองสีหน้าอาไห่ผ่านกระจกมองหลังก็รู้คำตอบแล้ว
เขายิ้มอย่างอายๆ
“เพราะฉะนั้นพวกเราถึงได้ถามคุณไงล่ะว่ามีใครแตะต้องคอมพิวเตอร์ของคุณบ้าง สองวันมานี้มีใครมาหาคุณที่นั่นบ้างหรือเปล่า?” พ่อบ้านฉินถามอีกครั้ง
“ผมไม่รู้ ลุงฉิน ผมเองก็ไม่เคยทำแฟลชไดรฟ์ที่บ้านหาย” ฉินฮั่นชิวยิ่งงงเข้าไปใหญ่ วันนั้นนอกจากฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว
เฉิงเจวี้ยนก็แค่ดื่มเหล้ากับเขา ช่วยทำครัว ไม่เคยเห็นคอมพิวเตอร์ ซึ่งแม้แต่ฉินหร่านเองก็เล่นเกมกับฉินหลิงอยู่ตลอด
ท่าทางสับสนที่แสดงออกผ่านทางสีหน้าของฉินฮั่นชิวดูเหมือนจะไม่ได้แกล้งทำ
พ่อบ้านฉินและคนอื่นๆ ต่างก็มองตากัน
“งั้นเสี่ยวเฉิงที่ไปบ้านคุณวันนั้นเป็นใคร?” พ่อบ้านฉินคิดอยู่นานก็คิดได้เพียงแค่เสี่ยวเฉิงที่เคยสอนฉินฮั่นชิว
พอพูดถึงเฉิงเจวี้ยน สีหน้าฉินฮั่นชิวก็ดีขึ้น “ก็คือเสี่ยวเฉิงไง เขายังรักการเป็นหมอ ถ้ามีโอกาส คราวหน้าผมจะแนะนำให้พวกคุณรู้จัก”
ถามอะไรจากปากฉินฮั่นชิวไม่ได้เลยจริงๆ
พอมาถึงเขตที่พักอวิ๋นจิ่น ทั้งหมดก็ลงจากรถ
พ่อบ้านฉินถอยหลังไปหนึ่งก้าวและกระซิบสั่งอาเหวิน “นายไปที่ส่วนกลางตรวจสอบกล้องวงจรปิดในลิฟต์ของสองวันที่ผ่านมาหน่อยซิ”
อาไห่ขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับพวกพ่อบ้านฉิน
ฉินฮั่นชิวเข้าไปเอาคอมพิวเตอร์ของตัวเองในห้องนอนมาให้พ่อบ้านฉินและอาไห่ดู “นี่คอมพิวเตอร์ของผม พวกคุณลองดูสิ”
อาไห่ลากเก้าอี้มานั่ง จากนั้นก็เปิดคอมพิวเตอร์และหาร่องรอยในคอมพิวเตอร์
ยี่สิบนาทีผ่านไป
“แปลกจัง…” อาไห่พูดอย่างครุ่นคิด “ผมหาร่องรอยไม่เจอแม้แต่นิดเดียว”
เขากับพ่อบ้านฉินเชื่อว่าเรื่องราวที่เปลี่ยนไปเกิดจากฝั่งฉินฮั่นชิว แต่กลับไม่พบร่องรอยทางฝั่งฉินฮั่นชิวแม้แต่น้อย
คอมพิวเตอร์ของฉินฮั่นชิวสะอาดอย่างน่าเหลือเชื่อ
พ่อบ้านฉินกวาดสายตามองภายในบ้านไปหนึ่งรอบ สุดท้ายก็หยุดสายตาที่ตัวฉินฮั่นชิว “ยังมีคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นอีกไหม?”
ฉินฮั่นชิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ยังมีในห้องเสี่ยวหลิง แต่เขายังไม่เลิกเรียน”
ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเสี่ยวหลิง ฉินฮั่นชิวก็ไม่สามารถเข้าไปแตะต้องของของฉินหลิงได้ตามอำเภอใจ
เสี่ยวหลิง? อาไห่เหลือบมองพ่อบ้านฉินเป็นการสอบถาม
“ลูกคนเล็กของนายน้อยสองน่ะ กำลังเรียนชั้นประถม” พ่อบ้านฉินอธิบาย
อาไห่เป็นเพียงโปรแกรมเมอร์ เขาจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวภายในตระกูลฉินมากนัก แต่ก็เคยได้ยินมาว่าตระกูลฉินรุ่นก่อนมีทั้งตายและหายสาบสูญ ลูกหลานสายตรงเหลือแค่นายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินกับฉินซิวเฉินเท่านั้น
พ่อบ้านฉินเพิ่งจะตามนายน้อยสองตระกูลฉินกลับมาได้
พอพ่อบ้านฉินอธิบายเสร็จ อาไห่ถึงได้รู้ว่าใครคือเสี่ยวหลิง
แต่อาไห่มีลางสังหรณ์ว่าถึงแม้ฉินหลิงจะกลับมา เขาก็ตรวจสอบอะไรไม่พบ
พ่อบ้านฉินนั่งอยู่บนม้านั่ง ขณะที่รอฉินหลิงกลับมา โทรศัพท์ในกระเป๋าของเขาก็ดังขึ้น พอหยิบมาดู แววตาพ่อบ้านฉินก็เป็นประกายเล็กน้อย เขาลุกจากม้านั่งแล้วรับทันที——
“คุณชายหก กลับมาแล้วเหรอครับ?”
ลูกชายคนสุดท้องของนายท่านฉิน ฉินซิวเฉิน ปีนี้อายุ 32 ปี เป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการบันเทิง น้อยมากที่จะเจอคนที่มีความสามารถและหน้าตาดีอย่างซุปเปอร์สตาร์ฉิน
เมื่อก่อนฉินซิวเฉินถ่ายหนังโปรเจคใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศมาโดยตลอด ช่วงนั้นการติดต่อสื่อสารยังไม่ค่อยสะดวก จึงติดต่อกับพ่อบ้านฉินน้อยมาก
อีกด้านหนึ่ง ฉินซิวเฉินแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสบายๆ สวมแว่นกันแดดและผ้าปิดจมูกสีดำ “เพิ่งลงจากเครื่องน่ะ ได้ยินว่าเจอพี่รองแล้ว?”
“หนังของคุณถ่ายทำแบบปิด ผมติดต่อคุณไม่ได้เลย ก็เลยไม่ได้แจ้งให้คุณทราบ” พ่อบ้านฉินอธิบาย
พ่อบ้านฉินพูดอีกไม่คำก็วางสายแล้วลุกขึ้นยืน “นายน้อยสอง คุณชายหกกลับมาแล้ว ผมจะพาพวกคุณไปเจอกันก่อน”
ขณะนี้พวกเขาไม่รอให้ฉินหลิงกลับมาแล้ว พ่อบ้านฉินขับรถไปที่โรงเรียนโดยตรง รอจนฉินหลิงเลิกเรียนก็พาไปพบฉินซิวเฉิน
**
ทางด้านนี้
ฉินหร่านกับเฉิงเวินหรูเดินเล่นมาตลอดช่วงบ่าย ขณะนี้กำลังทานอาหารอยู่ที่ร้านอาหารย้อนยุค
“ที่นี่เป็นระบบสมาชิก ได้ยินมาว่าบรรพบุรุษเป็นหัวหน้าพ่อครัวในราชสำนัก” เฉิงเวินหรูยื่นแผ่นไม้ไผ่ให้ฉินหร่าน “ชอบกินอะไรก็สั่งเองนะ”
ภายในเป็นเมืองโบราณที่ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองด้านนอกหนึ่งชั้น บนพื้นเป็นน้ำพุภูเขาจำลอง ทุกวันจะรับแขกเพียงสามสิบโต๊ะ บรรยากาศเงียบสงบ
คนที่รู้จักสถานที่แห่งนี้ล้วนเป็นตระกูลที่มีประวัติศาสตร์และมีเส้นสายอยู่ในเมืองเมืองหลวง
ทั้งสองนั่งอยู่ริมหน้าต่างบนชั้นสอง สามารถมองเห็นอาคารโบราณที่อยู่ไกลจากกำแพงเมือง
ฉินหร่านสั่งอาหารมาสองจานและส่งแผ่นไม้ไผ่คืนให้เฉิงเวินหรู เฉิงเวินหรูสั่งอาหารขึ้นชื่อเพิ่มอีกสองสามอย่าง
ชั้นบนสุดของร้านอาหาร
เฉิงเหราฮั่นกำลังถือแผ่นไม้ไผ่รอคนอยู่ ลูกน้องกระซิบข้างหู
“น้องรองก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?” เฉิงเหราฮั่นหรี่ตา “เธอมาพบใคร?”
ในฐานะที่เป็นร้านอาหารราชวงศ์ หากไม่ใช่บุคคลสำคัญ โดยทั่วไปก็จะไม่พามาถึงที่นี่
“น่าจะเป็นคุณฉินท่านนั้น” ลูกน้องชะงักไปสักพัก น้ำเสียงแปลกๆ “สองคนนั้น…ดูเหมือนจะเดินเล่นรอบเมืองโบราณมาทั้งวัน”
“เดินเล่นมาทั้งวัน?” เฉิงเหราฮั่นวางแก้วลง พอได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “ช่วงนี้เฉิงเวินหรูเป็นอะไรไป?”
เธอเอาแต่ตามเฉิงเจวี้ยนและยังขลุกอยู่กับ “คุณฉิน” คนนั้น?
ไหนยังจะมาเดินเล่นเมืองโบราณอีกเนี่ยนะ? เงินทุนของบริษัทใกล้จะหมุนไม่ทันแล้ว
เหมือนโดนของ
“ไป พวกเราลองไปดูน้องรองฉันหน่อย” คนที่รอยังไม่มา เฉิงเหราฮั่นก็รู้สึกแปลกใจ เขาวางแผ่นไม้ไผ่ลงแล้วลุกขึ้นเพื่อลงไปหาเฉิงเวินหรู
ลูกน้องเขารีบเดินออกไปก่อน ทันทีที่เปิดประตูก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดกี่เพ้าสีม่วงยืนอยู่ข้างนอก
“คุณเฉิง ขอโทษนะคะที่ให้รอนาน” เมื่อเจอเฉิงเหราฮั่น หญิงสาวจึงกล่าวขอโทษ “ผมเองก็เพิ่งสั่งไปหนึ่งรายการ”
เฉิงเหราฮั่นยิ้มและเดินกลับไป “ก็ไม่ได้รอนานมากหรอกครับ เวยเวย คุณอุตส่าห์สละเวลามาที่นี่ก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติผมแล้ว”
ผู้หญิงคนนี้ก็คือโอวหยางเวย
ตอนที่โอวหยางเวยยังไม่มา เฉิงเหราฮั่นก็คิดจะถือโอกาสลงไปดู “คุณฉิน” คนนั้นเสียหน่อย แต่พอตอนนี้โอวหยางเวยมาแล้ว แน่นอนว่าเฉิงเหราฮั่นไม่คิดจะลงไปแล้ว
เมื่อเอาทั้งสองมาเทียบกัน ไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้ดีว่าใครสำคัญกว่ากัน
ข้างล่าง
ฉินหร่านกับเฉิงเวินหรูเพิ่งทานอาหารเสร็จได้ไม่นาน ก็มีของหวานมาเสิร์ฟตอนท้าย เฉิงเวินหรูไม่คิดจะทานต่อเหมือนกัน เธอจึงสั่งให้คนห่อให้ฉินหร่านนำกลับบ้าน
“ของหวานที่นี่รสชาติไม่เลว ไม่มีขายข้างนอก” ขณะที่เฉิงเวินหรูเดินลงมาก็คุยไปด้วย “ไม่กินก็น่าเสียดาย”
หลังจากทั้งสองเดินลงจากตึก รถเฉิงมู่ก็จอดอยู่ชั้นล่างแล้ว
ฉินหร่านมองแวบเดียวก็จำได้ว่าเป็นรถของเฉิงมู่ หลังจากทักทายเฉิงเวินหรูเสร็จก็เดินขึ้นรถเฉิงมู่ไป
เลขาหลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉิงเวินหรูถามด้วยความแปลกใจ “คุณหนูใหญ่ ทำไมวันนี้ถึงได้รีบทานข้าวนักล่ะ?”
ร้านอาหารประเภทนี้ ทานอาหารสองชั่วโมงก็ไม่นับว่านาน นี่เพิ่งจะผ่านไปได้เท่าไหร่เอง?
เพิ่งผ่านไปครึ่งชั่วโมง
เฉิงเวินหรูเอามือกอดอกพลางหัวเราะเยาะ “ถ้าเราไม่ปล่อยเธอกลับไป เดือนหน้าพวกเราก็ไม่มีเงิน”
เมื่อเฉิงเจวี้ยนบอกว่าไม่มีเงินก็คือไม่มีเงินจริงๆ ภายในพริบตาเดียวเท่านั้น
ช่วงนี้บริษัทของเฉิงเวินหรูเกิดภาวะเงินขาดดุล ซึ่งแม้แต่เฉิงเหราฮั่นเองก็รู้
เลขาหลี่ “…”
**
สมาคมไวโอลิน
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลอกเลียนแบบผลงานเพลง ฉินอวี่ก็ไม่ได้มาที่นี่เกินครึ่งเดือนแล้ว
เธอกลัวที่จะเห็นคนอื่นมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
ส่วนไต้หรานก็ไม่ติดต่อเธอมาเลย เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้วที่ฉินอวี่ไม่กล้าไปบ้านตระกูลเสิ่น ได้แต่อยู่ในที่พักที่ตระกูลหลินซื้อให้เธอ
จนกระทั่งหลังผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์จนกระแสบนโลกออนไลน์ผ่านไป ฉินอวี่ถึงได้กล้าสวมผ้าปิดจมูกมาที่สมาคมไวโอลิน
เวลาประมาณห้าโมงเย็น นักเรียนส่วนใหญ่ของสมาคมไวโอลินก็ออกไปหมดแล้ว
ฉินอวี่ก้มหน้าและซ่อนตัวไปตลอดทางจนถึงอาคารเรียน
ลิฟต์ชั้นหนึ่งมีเพียงคนที่ลงมาเป็นครั้งคราว ฉินอวี่สวมผ้าปิดจมูกและปล่อยผม แทบจะไม่มีคนจำเธอได้
ฉินอวี่เดินไปที่ริมสุดของลิฟต์
กดเปิดลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์ปิด เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จากนั้นหยิบบัตรนักเรียนออกจากกระเป๋าแล้วรูดอยู่ข้างใน
ลิฟต์ไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย