วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0002
บทที่ 1 ไม่มีโลกที่คุ้นเคยสำหรับผู้หวนกลับ (2)
ขณะรีบกลืนน้ำในแก้วให้หมด ยูทูเบอร์ในวิดีโอยังคงพยายามต่อไป
「ทวีรึม! ชี-รึม! โทรึม! ให้ตายสิ… ไม่ได้จริงๆ
ภาษารูนไม่ใช่ภาษาที่ชาวต่างโลกใช้เป็นวงกว้าง เรื่องนี้ต้องมีเหตุผลแน่… หรือที่ลือกันว่า ภาษานี้มีพลังแฝงจะเป็นแค่เรื่องโกหก?
หรือผมต้องมีไม้กายสิทธิ์? หรือต้องการทรัพยากรที่เหมือนกับมานา? 」
ผิดแล้ว
เรื่องมานาไม่แน่ใจ แต่เรื่องภาษาไม่ได้โกหก
ขณะกำลังชุลมุน นักวิจัยคนเดิมเดินกลับมาหาฉันอีกครั้ง
“ผลการทดสอบเป็นปรกติค่ะ คุณสามารถนำสัมภาระติดตัวกลับบ้านได้เลย… ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่ารัฐเป็นผู้รับผิดชอบ”
“พวกคุณบอกผมเป็นบุคคลสูญหายไม่ใช่หรือ? จะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี”
“ทางเราจะช่วยลงทะเบียนค่ะ มีขั้นตอนไม่มาก”
นักวิจัยกล่าวเสียงเรียบราวกับนี่เป็นกิจวัตรของเธอ
ถัดมา ฉันสามารถออกจากตึกหลังจากเซ็นเอกสารแค่ไม่กี่ฉบับ
“…”
จะว่าไป ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้เป็นวันอะไร
เสื้อผ้าบางเฉียบ สายลมเย็นสบาย
คงฤดูใบไม้ร่วงกระมัง
“เราไล่นักข่าวกลับไปหมดแล้วค่ะ คุณซอนฮู ตัวตนของคุณจะไม่รั่วไหลออกสื่อเว้นเสียแต่จะได้รับอนุญาต”
ขณะยืนนิ่ง นักวิจัยเดินเข้ามาใกล้ฉัน
“อะ…โอ้! ขอบคุณมากครับ”
“คงรู้สึกแตกต่างออกไปสินะคะ”
ถูกเผง! นั่นคือเหตุผลที่ฉันยังไม่ออกไปที่ถนน
ไม่ว่าจะรถบนถนน หรือสีหน้าอันหลากหลายของผู้คนบนทางเท้า
“ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้อีก”
“ชักอยากรู้แล้วว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน… แต่ยังไงก็ยินดีด้วยนะคะ”
ทันใดนั้น รถบรรทุกขนาดหนึ่งตันแล่นผ่านหน้า
<คำเตือน: รถลำเลียงสินค้าต่างโลกความเสี่ยงสูง>
“…ไม่เคยคิดว่าโลกจะเปลี่ยนไปในทิศทางนี้”
“แล้วจะทำอะไรต่อหรือคะ?”
“เรื่องนั้น… ยังไม่ทราบเหมือนกันครับ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมใช้ชีวิตไปวันๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตาย… การได้ยืนเหม่อเฉยๆ แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับฝันไป”
“ไม่อยากมาทำงานด้วยกันหรือคะ?”
เธอพูดว่างานสินะ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงจะตอบว่า ‘ด้วยความยินดีครับ!’ ในทันที แต่ตอนนี้คงต้องขอใคร่ครวญ
การต้องใช้ชีวิตแสนลำเค็ญติดต่อกันหลายปี หล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนแบบนี้
ความคิดเกี่ยวกับการทำงาน ไม่หลงเหลืออยู่ในหัวมานานแล้ว
รวมถึงอายุที่มากขึ้น และสถานภาพในปัจจุบัน
“ผมอยากพักผ่อนอีกสักระยะ แค่ได้อยู่เฉยๆ ก็ดีใจมากแล้วครับ… อยากดื่มด่ำบรรยากาศแบบนี้อีกสักพัก”
“…อันที่จริง หัวหน้าแผนกสืบสวนต้องการพบคุณซอนฮู แต่ดิฉันห้ามไว้”
“คุณห้ามไว้?”
“เขาเป็นพวกใจร้อนและไม่ค่อยมีมารยาทกับผู้อื่น… เท่าที่ฉันทราบ เขาอยากร่วมงานกับคุณซอนฮูทันที แต่ตามความคิดของฉัน แบบนั้นดูจะรีบเร่งเกินไป จึงบอกให้เขาใจเย็นลงและรอคอยเวลาที่เหมาะสม”
เล่าให้ฉันฟังทำไม?
มองไปทางนักวิจัย เธอกำลังยิ้ม
“ลองนึกดูสิคะ สาเหตุที่หัวหน้าแผนกของบริษัทวิจัยต่างโลก ร้อนใจจนยอมทิ้งงานทั้งหมดเพื่อมาพบคุณซอนฮู เพียงเพราะไม่อยากปล่อยให้คุณหลุดมือไป… สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“ตัวผมมีมูลค่าสูง?”
“ถูกครึ่งหนึ่งค่ะ”
จากนั้น นักวิจัยยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกมา
“ขออนุญาตให้เบอร์ติดต่อได้ไหมคะ?”
“หา? ทำไมถึง…? คุณจำคนผิดรึเปล่า?”
“จำผิดก็ไม่เป็นไรค่ะ… ส่วนเหตุผล… ฉันเชื่อว่าตัวเองจะเป็นประโยชน์กับคุณในภายหลัง”
ฉันคิดว่าแบบนี้ก็ไม่เลวนัก จึงยื่นโทรศัพท์ให้เธอ
“เมื่อใดที่ต้องการฉัน ติดต่อมาได้ตลอดนะคะ”
หลังจากนั้น เธอเดินเข้าไปในอาคาร
เรามองไปทางถนนอีกครั้ง ความกลัวผุดขึ้นอย่างคลุมเครือ
เมืองมนุษย์ – สถานที่ที่ฉันไม่กล้าฝันว่าจะได้กลับมาเหยียบอีกครั้ง
ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากดื่มโค้กเย็นๆ สักแก้ว
* * *
“ได้โปรด…”
ขณะชายวัยกลางคนใช้มือสางผมหงอก พลางเดินวนเวียนรอบห้องประชุมด้วยความกระวนกระวาย นักวิจัยที่ส่งไปเจรจากับคังซอนฮูเดินกลับเข้ามา
“ทำไมคุณถึงดูกระวนกระวายนัก?”
“โอ้! ซอยอน!”
จินซอยอน หัวหน้าทีมวิจัยของ OWIC บริษัทวิจัยต่างโลกเอกชน มองไปยังจางโทจิน หัวหน้าฝ่ายสืบสวนด้วยสีหน้าแปลกใจ
“เขาน่ะ คุณคัง… คังอะไรแล้วนะ… คัง… คัง…”
“คังซอนฮูค่ะ”
“อ้า! ใช่ๆ คังซอนฮู เขาดูเป็นยังไงบ้าง?”
“แปลกมาก… ถึงแม้จะรอดชีวิตจากต่างโลกมาได้ แต่สภาพจิตใจของคนทั่วไปไม่มีทางอยู่ในภาวะปรกติ ต้องมีอาการป่วยทางจิตสักสามสี่ชนิดเป็นอย่างน้อย…”
“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าเขาใช้ชีวิตในต่างโลกตลอดสองปี?”
“…ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“ไม่แน่ใจ? คิดว่าเขาโกหกหรือ?”
“ฉันหมายถึง ระยะเวลาที่เขาอาศัยอยู่ในต่างโลกมันแปลก”
จินซอยอนวางเศษหนังลงบนโต๊ะ
“นี่คือตัวอย่างหนังที่ดูเหมือนจะเป็นของหมาป่าสคาเวน คังซอนฮูสวมมันตอนกลับมาที่โลก…”
ดวงตาอันเฉียบแหลมของเธอ ไม่หลงเหลือความอ่อนโยนที่เผยให้เห็นเมื่อครู่
“ผลจากการวิเคราะห์ หมาป่าสคาเวนตัวนั้นเป็นระดับจ่าฝูง เปรียบเทียบง่ายๆ ก็ระดับหมีสีน้ำตาลของรัสเซีย ในทางสามัญสำนึก มันเป็นคู่ต่อสู้ที่มนุษย์ไม่น่าจะเอาชนะได้…”
“เขาอาจได้รับมา หรือขโมยมาจากชาวต่างโลกก็ได้นี่?”
จินซอยอนส่ายศีรษะ
“หมาป่าสคาเวนเปรียบดังสัญลักษณ์แทนคำสาปในต่างโลก ด้วยความเชื่อดังกล่าว ชาวต่างโลกจะไม่กินเนื้อของมัน… จริงอยู่ แต่ละท้องถิ่นอาจแตกต่างออกไป แต่ว่า… คังซอนฮูเล่าว่าเขาถูกไล่ออกจากเมืองเพราะไม่สามารถสื่อสารกับชาวต่างโลก… เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกในเรื่องนี้”
“ผมเข้าใจที่คุณจะสื่อ กล่าวคือ… สุภาพบุรุษคังซอนฮูคนนั้น ฆ่าจ่าฝูงหมาป่าสคาเวนด้วยตัวเองใช่ไหม?”
“ไม่ใช่แค่นั้น นี่คือตัวอย่างจากขวานหินที่เขาพกติดตัว มันผ่านการแปรสภาพมาอย่างน้อยเจ็ดปี”
“…เขาอยู่ที่นั่นมาเจ็ดปีแล้วหรือ?”
“อย่างน้อยเจ็ดปี หรืออาจมากกว่านั้น และมีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก… ถึงจะยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ แต่ขอเดาว่า เขาอาจอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เส้นเวลาบิดเบี้ยว”
“สุภาพบุรุษหนึ่งคน รอดชีวิตในป่าต่างโลกได้นานกว่าเจ็ดปี? โดยปราศจากอุปกรณ์ทันสมัย?”
หัวหน้าฝ่ายสืบสวนที่จมอยู่กับความคิด เผยสีหน้ากระวนกระวายอีกครั้ง
“ผมต้องรีบตรวจสอบเขาโดยด่วน ทำไมคุณถึงต้องห้ามไว้ด้วย! คุณกลัวแผนกสืบสวนจะได้หน้าเพราะตัวเองสังกัดแผนกวิจัยใช่ไหม? ผมควรจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว… ให้ตายสิ ตอนนี้ยังทัน เขายังไปได้ไม่ไกล…”
“นี่! ใจเย็นก่อน! มีจิตสำนึกบ้าง เขาเพิ่งได้กลับบ้านหลังจากตะเกียกตะกายในโคลนตมมาหลายปี… เลิกทำตัวแบบนี้สักที”
แม้จินซอยอนจะมีตำแหน่งต่ำกว่า แต่จางโทจิน หัวหน้าฝ่ายสืบสวน ก็ไม่กล้าหุนหันพลันแล่น เพราะมันเคยก่อเรื่องมาแล้วหลายครั้งจริงๆ
“เฮ้อ… ผมไม่ได้จะทำอะไรไม่ดีสักหน่อย… ใช้ชีวิตรอบคอบแบบคุณมันน่าอึดอัดเกินไป เชื่อเถอะน่า ผมสัมผัสถึงสิ่งพิเศษจากตัวเขา…”
“ที่คุณเคยถูกนักสำรวจเอกชนฟ้องร้องจนบานปลาย ก็เพราะสัมผัสถึงสิ่งพิเศษจากตัวเขาเหมือนกันไม่ใช่หรือ? คิดว่าฉันต้องเสียวันลาพักร้อนไปเท่าไรเพื่อสะสางปัญหาให้คุณ?”
จางโทจินครางต่ำในลำคอ
“ไว้มีเวลาว่างผมจะติดต่อคุณไปใหม่… ถึงจะน่าเสียดาย แต่ที่คุณพูดมาก็จริง”
“ขอบคุณที่เชื่อฟังกัน”
จินซอยอนกลับไปยังห้องแล็บและปิดประตู จากนั้นก็ใช้สองมือหยิบโทรศัพท์
ดวงตาแหงนมองไปในอากาศที่กำลังส่องแสงประหลาด ไม่สิ ระบุให้ชัดเจนคือไม่มีแสง
มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อย
“…ไม่อยากเชื่อว่าจะได้เจอกันในที่แบบนี้”
บนจอโทรศัพท์มือถือของเธอ กำลังฉายภาพช่องยูทูปช่องหนึ่ง
เป็นช่องเกี่ยวกับการสำรวจทางไกล เจ้าของช่องไม่ใช่ใครนอกจากคังซอนฮูในอดีต
* * *
“อึก…!”
เพียงจิบโค้กอึกเดียว คอของฉันแทบระเบิด
ฉันแยกไม่ออกเลยว่า น้ำตากำลังไหลพรากเพราะความเจ็บปวด หรือเพราะรสชาติที่หวานจนชวนให้ซาบซึ้งกันแน่
ตลอดทางมาที่นี่ ฉันได้พบผู้คนมากหน้าหลายตา
ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายของวันปรกติ คงเหล่านั้นคงกำลังยุ่งอยู่กับงาน
ย้อนกลับไปสมัยที่ไฟแห่งการสำรวจยังคงลุกโชน ฉันเคยคิดว่าชีวิตประจำวันแบบนั้นช่างน่าเบื่อ ภายในใจปรารถนาเพียง ได้เติมเต็มความอิ่มท้องด้วยเกาลัดน้ำผึ้งแสนอร่อย
หากจะถามว่าในปัจจุบัน ไฟแห่งการสำรวจของฉันดับมอดไปแล้วหรือยัง…
…ไม่เหลือ เบื่อหน่ายจนไม่อยากเชื่อว่า ตัวเองจะผุดคำถามดังกล่าวขึ้นมา
เมื่อมองไปรอบตัว ฉันเห็นทิวทัศน์ของถนนอันเงียบสงบ
ถนนยามบ่ายช่างสงบสุข นานๆ ครั้งจะเห็นรถแล่นผ่านไปสักคัน
ชีวิตประจำวันอันปราศจากความตื่นเต้นและอุบัติเหตุ ชีวิตประจำวันอันเปรียบดังลู่วิ่งที่เราเคยเกลียดชัง ตอนนี้กลับน่ามองว่าทิวทัศน์อื่นใดทั้งหมด
“ฮ้าว—”
ขณะเอนหลังพิงเก้าอี้พลาสติก
แกร่กแกร่ก!
เสียงแหลมที่ไม่ควรได้ยิน เสียดแทงเข้ามาในโสตประสาท
ฉันรีบลุกพรวดพร้อมกับมองไปยังต้นเสียง จนเก้าอี้กระเด็นไปไกลและกลิ้งอีกหลายตลบ
แกร่กแกร่ก—
กระป๋องโค้กในมือถูกขยำจนแหลกโดยไม่รู้ตัว เลือดไหลออกจากฝ่ามือที่ถูกบาด
ไม่มีความเจ็บปวด มีเพียงเลือดที่ไหลออกมาเล็กน้อย
ดวงตาของฉันหรี่ลง โสตประสาทยังคงได้ยินเสียงคล้ายโลหะ
ในเวลาเดียวกัน ประสาทสัมผัสของฉันขยายออกไปนับสิบเท่า
ทันใดนั้นเอง รถบรรทุกเสียหลักชนพุ่งอาคารฝั่งตรงข้าม
ตึง!
โชคดีที่ชนไม่แรงมาก ถ้าคาดเข็มขัดนิรภัยก็คงไม่บาดเจ็บสาหัส
อย่างไรก็ดี ฉันยังไม่วางใจ
เหตุใดรถถึงเสียหลักกะทันหันบนถนนสองเลนโล่งๆ ?
ฉันเริ่มวิเคราะห์เส้นทางที่รถบรรทุกเสียหลัก ตำแหน่งดังกล่าวมีรอยยางล้อรถขูดกับยางมะตอยเป็นทางยาว
ขนานกับรอยล้อรถมีรอยตัดหยาบ
คล้ายกับบางสิ่งแหลมคมในตู้คอนเทนเนอร์ ทะลุพื้นลงมาขูดกับพื้นถนนยางมะตอย
ฉันมองกลับไปที่รถบรรทุกอีกครั้ง
<คำเตือน: รถลำเลียงสินค้าต่างโลกความเสี่ยงสูง>
รอยแผลหยาบบนถนนยางมะตอย
บนรอยตัดดังกล่าว มีคราบสารอินทรีย์สีคราม
กลิ่นคาว
เสียงคล้ายกรรไกรหลายสิบตัวกำลังเสียดสี
เห็นได้ชัดว่านี่คือ…
“ทุกคนถอยไป!”
ฉันรีบออกจากตัวอาคารและตะโกนกับคนเดินถนนด้านนอก
แน่นอน พวกเขาคงไม่เชื่อฉันในทันที เรื่องนั้นทำใจไว้แล้ว
เหตุผลที่ฉันต้องตะโกนเสียงดัง ก็เพื่อดึงดูดความสนใจของ ‘สิ่งนั้น’ ให้มาทางฉัน
เพราะมันอ่อนไหวต่อเสียงสิ่งมีชีวิตมากที่สุด
แกร่กแกร่ก!
เสียง ‘กรรไกร’ ดังชัดเจนขึ้น คล้ายกับมันกำลังจะออกมา
โดยไม่รู้ตัว ฉันพุ่งตัวไปยังด้านข้างรถบรรทุกพร้อมกับประสานสองมือไว้บนอก
ผนังตู้คอนเทนเนอร์แผดเสียงสั่นสะเทือนอันไม่พึงประสงค์ ฟังดูคล้ายเสียงสว่านเจาะโลหะ
ไส้เดือนยักษ์พุ่งออกมาจากรูขนาดเท่าสองศีรษะมนุษย์
“เทอร์มาtterma”
เสียง ‘เปรี้ยะ’ ดังขึ้นพร้อมกับกระแสไฟฟ้าที่สว่างวาบระหว่างมือสองข้าง ฉันกัดฟันเหยียดแขนออกไป
ร่างกายของฉันสั่นสะท้าน กระแสไฟฟ้าอาจไม่รุนแรงนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดอาการช็อก
ไส้เดือนยักษ์ชักกระตุกไปทั่วร่างพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้อง ก้ามจำนวนหลายสิบบนหัวของมัน สั่นระริกอย่างบ้าคลั่ง
เนื่องจากไม่มีดวงตา สัตว์ร้ายที่พึ่งพาประสาทสัมผัสเป็นหลักย่อมอ่อนแอต่อกระแสไฟฟ้า และฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย
วินาทีที่สัตว์ร้ายหมดสติพร้อมกับทรุดตัวลง
เปรี้ยง!
หลังจากทำลายจุดสำคัญ ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“…ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยให้ตายสิ”
ภาษาที่ใช้สร้างกระแสไฟฟ้า
ครั้งแรกที่เผลอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันสลบไปครึ่งวัน
แม้ตอนนี้จะเคยชินกับมันแล้ว แต่อาการไม่พึงประสงค์ยังคงหลงเหลือ
จากนั้น ประตูรถบรรทุกฝั่งคนขับเปิดออก
ชายคนหนึ่งวิ่งมาทางตู้คอนเทนเนอร์ด้วยสีหน้าประหม่า ส่วนสตรีจากฝั่งผู้โดยสารกำลังถือโทรศัพท์พลางกล่าวเสียงร้อนรน
“ห…เหตุฉุกเฉิน! ฟาร์มมิ่งเวิร์มหลุดออกจากสภาวะจำศีล! ดูเหมือนว่ามันจะเจาะรูตู้คอนเทนเนอร์หนีออกไป! ขอกำลังเสริม! ทวนอีกครั้ง ขอกำลังเสริม…”
จนกระทั่งสายตาประสานกัน
“…อะ?”
ผู้ชายจากฝั่งคนขับ ผู้หญิงจากฝั่งผู้โดยสาร
และ
“…เจ้านี่ชื่อฟาร์มมิ่งเวิร์มหรือ?” (Farming Worm)
ฉันกำลังใช้มือข้างหนึ่งถือไส้เดือนยักษ์ สายตาพวกเราประสานกันด้วยสีหน้าแตกต่าง
[ทางเรารับทราบคำขอแล้ว ยืนยันตำแหน่งเรียบร้อย หน่วย QRT จะถูกส่งไปยังตำแหน่งดังกล่าว กรุณารับมือสถานการณ์ตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ]
เสียงหนึ่งดังจากลำโพง
พนักงานที่กำลังนำโทรศัพท์มือถือจ่อปาก จ้องมองฉันด้วยสายตาเหม่อลอยเจืองุนงง
“สถานการณ์สิ้นสุดแล้ว… หน่วย QRT… คงไม่จำเป็น”
[สถานการณ์สิ้นสุด? มีเจ้าหน้าที่ประจำการในจุดเกิดเหตุอยู่แล้วหรือ?]
“ไม่มี… เป็นของเอกชน… ไม่สิ พลเรือน…”
[มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บหรือไม่?]
การแสดงออกเป็นไปอย่างกระอักกระอ่วน
ไม่สิ เหนือสิ่งอื่นใด ฉันรู้จักใบหน้านี้ดี
“ชาโซฮี?”
ขณะจ้องมองเครื่องแบบสนามสีฟ้า ฉันตระหนักได้ทันทีว่า คงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนไป