บทที่ 1 ไม่มีโลกที่คุ้นเคยสำหรับผู้หวนกลับ (1)
—แม้แต่การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรถูกมองข้าม
คนทั่วไปอาจคิดว่าเป็นเรื่องปรกติของกาลเวลา แต่ถ้าลองมองลึกลงไปจะพบว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุและผล
ผู้ที่ไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จะถูกคัดออกโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับในนิทานปรัมปรา ที่กบถูกน้ำที่ค่อยๆ ร้อนต้มจนตาย
แต่ก่อน ฉันไม่ค่อยชอบฟังคำสอนทำนองนี้สักเท่าไร เพราะฟังแล้วไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งอะไร
ทว่า นั่นกลับเป็นคำสอนที่ช่วยให้ฉันยังมีชีวิตอยู่
มีหลายครั้งที่ฉันย้อนคิดกลับไป และตระหนักว่านั่นคือสัจธรรม
พวกมันช่วยให้ฉันยังไม่ตาย
“ฮึ้บ!”
เมื่อนึกถึงกวางที่แบกอยู่บนไหล่ ฝีเท้าของฉันพลันเบาหวิว
เนื้อกวางจะทำให้อิ่มท้องไปถึงพรุ่งนี้ ส่วนที่กินไม่หมดยังสามารถนำไปรมควันเพื่อกินทีหลัง
“วิลสัน! วันนี้ฉันได้ของติดมือหลังจากห่างหายไปนาน! เราไม่ต้องกินแมลงกันอีกแล้ว!”
หลังเดินผ่านแนวต้นไม้ที่ปลูกไว้เพื่ออำพราง ฉันมองเห็นค่ายที่ตัวเองแสนจะภาคภูมิใจ
รั้วไม้ที่ล้อมกรอบทุกทิศ ล้วนถูกเคลือบด้วยพิษทุกซอกมุม แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นพิษงูที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดหากสัมผัสโดน
ระหว่างรั้วโรยด้วยขี้เถ้าจากพืช คอยก่อกวนระบบประสาทของบรรดาสัตว์เลื้อยคลาน
ป้อมปราการที่ไม่มีวันถูกบุกรุก
สถานที่ซุกหัวนอนซึ่งเหล่านักล่ายากจะรุกราน
อย่างไรก็ดี สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นของที่นี่ไม่เป็นมิตรสักเท่าไร
“…วิลสัน?”
ค่ายเงียบเงินไป อันที่จริง ฉันสัมผัสถึงกระแสอากาศอันแปลกประหลาดก่อนจะเดินเข้ามา
นั่นเพราะสายลมที่พัดพาพลังเวทของโลกใบนี้ คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาว
ซากกวางถูกวางลง ขวานหินถูกยกขึ้น – อาวุธพิเศษที่สร้างจากคริสตัลสีฟ้า
ทันใดนั้นเอง สายลมที่มีกลิ่นคาวพัดผ่านผิวหนังอีกครั้ง
“วิลสัน… เกิดอะไรขึ้นในตอนที่ฉันไม่อยู่?”
กล่าวจบ ดวงตาของฉันปิดสนิท ประสาทสัมผัสทั้งหมดถูกรวบรวมจนถึงขีดสุด
กรอบแกรบ
ได้ยินแล้ว
เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด
ราวกับพบสิ่งผิดปรกติ ปูตัวหนึ่งโผล่ออกจากกระโจม
ระบุให้ชัดเจนคือปูชายหาด แต่ตัวใหญ่ประมาณเอวคน
หลังจากเฝ้ารออย่างอดทน
“ย่าห์!”
ฉันกระแทกหินสีดำที่ฝังอยู่บนพื้น
ชิ้ง—
ด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ คลื่นแผ่ออกไปทั่วค่าย
ในเวลาเดียวกัน
“กิกิ๊…?”
เถาองุ่นหลายสิบต้นโผล่ขึ้นจากพื้นดิน กวัดแกว่งไปทุกทิศราวกับค้นหาบางสิ่ง ก่อนจะรัดพันปูยักษ์ตัวนั้น
“กิ๊กกิ!”
เปลือกแข็งเริ่มปริแตก จนกระทั่งร่วงหล่นกระจัดกระจาย
แน่นอน พืชเหล่านี้ไม่ใช่พวกพ้องของฉัน
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ศัตรู พวกมันอาศัยฮอร์โมนบางอย่างเพื่อจำแนกฉันจากเป้าหมายอื่น
“ฟู่ว…”
จบสักที หิวจะแย่อยู่แล้ว
ขณะคิดเช่นนั้น ไอ้ปูเวรตะไลที่กำลังจะตาย ดันอาละวาด
“เฮ้ย? เฮ้ย!!”
ก้ามแหลมๆ ของมันขยับไปตัดสายลูกโป่ง
ไม่!
“ว…วิลสัน! กลับมาก่อน! ไม่!!”
ฉันพยายามเอื้อมมือ แต่ก็สายเกินไป
“วิลสันนนนนนนนนนนน!!”
ฉัน คังซอนฮู อาชีพนักสำรวจ
หลังจากถูกพามายังต่างโลก ในที่สุดฉันก็สูญเสียเพื่อนคนสุดท้าย ผู้เป็นที่พึ่งทางใจเพียงหนึ่งเดียว
***
สมัยยังอยู่บนโลก ฉันเป็นนักสำรวจทางไกล แต่ชีวิตก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จสักเท่าไร จึงคอยโพสต์เรื่องราวลงบนบล็อกหรือยูทูปเป็นระยะ
เทปบันทึกที่ถูกอัปโหลดไปส่งๆ เหล่านั้น กลับได้รับความนิยมอย่างมาก บางที ฉันอาจเริ่มต้นอาชีพนักสำรวจเพียงเพื่อปูทางมาเป็นคนดัง
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะฉันเดินทางมายังพื้นที่ห่างไกลในทวีปอเมริกาใต้ ห้วงมิติรอบตัวพลันบิดเบี้ยวและเกิดรอยแยก
ในเย็นวันเดียวกัน หลังจากเห็นดวงจันทร์สามดวง ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความจริงที่ว่า ฉันคงกลับบ้านไม่ได้อีกแล้ว
โลกใบนี้มีอารยธรรมและสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา เช่นเผ่าหูใหญ่หน้าตาดี แถมยังเต็มไปด้วยภาษาอันหลากหลาย
แต่แน่นอน พวกเขาไม่ต้อนรับฉัน มิใช่เพียงเพราะต้นกำเนิดแตกต่างกัน แต่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง
ฉันพยายามเรียนภาษาของพวกเขา จดจำได้หลายคำ แต่ก็ยังสื่อสารกันไม่ได้
ปีแรก
ฉันต้องทุกข์ทรมานอย่างหนัก เนื่องจากมิอาจปรับตัวให้เข้ากับพิษที่แทรกซึมอยู่ทุกมุมโลก ความเจ็บปวดไม่เคยหยุดแล่นแม่แต่วินาทีเดียว
ฉันนอนไม่หลับ ไม่ต่างอะไรกับคนบ้า
“แหะแหะ… พอจะมีเศษเงินบ้างไหม? แค่เศษเงินก็พอ”
“โอ้!! ขอให้พระเจ้าอวยพรท่านผู้ใจบุญ! ขอบคุณมาก… คึคึก… ได้เงินไปซื้อมันฝรั่งทอดแล้ว”
ในสายตาของคนท้องถิ่น ฉันคงไม่ต่างอะไรกับขอทานที่เอาแต่พูดภาษาประหลาด ไม่มีความหวังในการตั้งรกราก เพราะอีกไม่นานก็คงถูกขับไล่ไปนอกเมือง
ลองย้อนนึกกลับไป ฉันภูมิใจมากที่ผ่านมันมาได้
ในปีที่สอง ฉันปรับตัวเข้ากับพิษได้แล้ว จึงเดินทางไปทั่วโลกเพื่อฟื้นฟูตัวเอง
สำหรับโลกใบนี้ ทักษะการอ่านทิศค่อนข้างไร้ประโยชน์ แต่ก็พอจะใช้เอาตัวรอดไปวันๆ
ฉันได้ตระหนักว่า คำว่า ‘จะไม่มีวัน…’ นั้นไม่มีอยู่จริง
สำหรับปีที่สาม ฉันตัดสินใจจะตั้งรกรากและใช้ชีวิตเยี่ยงคนป่า สร้างค่ายและเอาตัวรอดท่ามกลางสิ่งมีชีวิตประจำถิ่น
ระบบนิเวศน์ของโลกนี้สุดโต่งมาก ดังนั้นในช่วงแรก ฉันต้องเอาตัวรอดด้วยการขโมยเหยื่อ หรือไม่ก็เก็บผลไม้กิน
มีหลายครั้งที่เผลอกินพิษเข้าไปจนเกือบตาย รวมถึงการถูกสัตว์ร้ายตัวเท่าบ้านไล่ล่า
หลังจากการดำรงชีวิตในสภาพดังกล่าวสักพัก ป่าทั้งป่าเริ่มจดจำเราได้ สัตว์ป่าที่ไม่อยากเจ็บตัวจึงเริ่มหลีกเลี่ยงการต่อสู้
และในปีที่สี่
“…ปูชนิดนี้ต้องเอาหัวใจออกก่อน เพราะถ้าสารพิษที่สะสมในหัวใจซึมเข้าสู่เนื้อ ต้องโยนสิ้นสถานเดียว”
ฉันเริ่มตระหนักว่า ตัวเองมีคุณสมบัติของผู้อยู่รอด
ผ่านไปหกปี ฉันกลายเป็นผู้ล่าแห่งผืนป่าเต็มตัว
“วิลสัน… ไอ้บัดซบ…”
แต่ตอนนี้ ฉันโกรธมากที่ต้องเสียลูกโป่งไป
แน่นอน ฉันทราบดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
ฉันไม่ใช่ไอ้งั่งที่คิดว่าลูกโป่งสำคัญไปกว่าชีวิต เพียงแต่เจ็บปวดที่สิ่งปลอบโยนจิตใจสุดท้ายได้หายไป
ท่ามกลางพระอาทิตย์ตกดิน ฉันนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
“มอร์สMohs”
เปลวไฟคล้ายหิ่งห้อยลอยขึ้นไปในอากาศ มอบแสงสว่างแก่โต๊ะทำงาน
นั่นคือภาษาถิ่นของโลกใบนี้
คำบางคำที่ฉันเรียนรู้มา สามารถสร้างปรากฏการณ์คล้ายเวทมนตร์เพียงแค่เอ่ยปากพูด
บางที ภาษาของโลกนี้คงมีพลังในตัวเอง
“…ไม่ใช่โลกที่จะใช้สามัญสำนึกได้อยู่แล้ว”
บนสมุดบันทึกล้าสมัย ฉันลงมือเขียนด้วยหมึกดำที่ได้จากการละลายถ่าน
สมุดบันทึกที่บังเอิญพบในกระเป๋า จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหยิบใส่มาตอนไหน
ฉันเริ่มเขียนไดอารีหลังจากพบว่า ตัวเองสามารถดำรงชีวิตที่นี่ได้
สิ่งที่ได้เรียนรู้ สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ และสิ่งที่รู้สึก
ทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในนี้
[ ไม่ได้นับแล้วว่าผ่านมากี่ปี
หลังจากใช้ชีวิตท่ามกลางความยากลำบากมาเป็นเวลานาน ฉันได้ตระหนักถึงสัจธรรมหนึ่งข้อ
จิตใจสำคัญกว่าร่างกาย
มันสำคัญมากที่จะคิดถึงแต่สิ่งดีๆ แม้ในยามเผชิญสถานการณ์เลวร้าย
ต่อให้เป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างตำนานขุมทรัพย์บนต่างโลก ก็ยังดีกว่าการคิดแง่ลบเป็นร้อยเท่า ]
แต่นั่นคือบทสุดท้ายแล้ว เพราะฉันไม่รู้วิธีทำกระดาษ และการเขียนบนแผ่นหนังก็ลำบากเกินไป
“เฮ้อ…”
เสียวิลสัน กระดาษก็หมด
ลองใช้ประโยชน์จากช่องว่างที่ยังเหลือให้มากที่สุดก็แล้วกัน
ฉันเริ่มเขียนด้วยความระมัดระวัง
จนกระทั่งไม่มีที่เหลือให้เขียนอีก
เปรี้ยะ—
“…หือ?”
เปรี้ยะ—!
รอยแยกเปิดออก ณ ใจกลางกระท่อม
ใช่รอยแยกเดียวกับที่ส่งเรามาไหม?
“อะ… อ๊าาาาา!”
* * *
“อ๊ะ…!”
ฉันลืมตาขึ้นหลังจากได้ยินเสียงคนตกใจ
การใช้ชีวิตในต่างโลกช่วยให้โสตประสาทของฉันก้าวข้ามขอบเขตของมนุษย์
ในยามเพ่งสมาธิ ฉันจะได้ยินแม้กระทั่งเสียงตั๊กแตนเดิน
สำหรับเหตุการณ์ตรงหน้า เราไม่รู้ว่าควรตอบสนองเช่นไร จึงทำเพียงจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเหม่อลอย
‘มนุษย์…?’
ประโยคดังกล่าวล่องลอยอยู่ในความคิด
อีกฝ่ายไม่ใช่พวกเวรตะไลเมือง และไม่ใช่พวกสัตว์ร้ายขนดกขี้สงสัย
แน่นอนว่าต่างโลกก็มีมนุษย์ แต่ท่าทางแบบนี้ เครื่องแต่งกายแบบนี้…
“ที่นี่คือโลกหรือ?”
“ใช่… คุณทำให้ฉันตกใจนะ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้?”
ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าฉันจะดีใจกับการถูกคุณป้าผมหยิกทักเรื่องเครื่องแต่งกายมากขนาดนี้
“อะ…อะ…”
“มีอะไร? พูดดังๆ หน่อย ฉันไม่ได้ยิน”
“อ๊าาาาาาาาา!!”
“ให้ตายสิ ฉันตกใจนะ!”
ได้กลับโลกสักทีโว้ย
* * *
“เอ่อ…”
นี่มันเรื่องอะไร?
ผู้หญิงผมดำขลับ ยาวสลวย กำลังมองหน้าฉันด้วยความกระอักกระอ่วน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
《OWIC จำกัดมหาชน / R&D สำนักงานใหญ่ / ผู้จัดการ จินซอยอน》
หลังจากเห็นชุดสูทและป้ายชื่อ ฉันเริ่มตระหนักว่าเธอคงเป็นคนของสักองค์กร
“อะ…องค์กรของคุณ…”
“ไม่ไม่! ไว้ค่อยคุยหลังจากคุณกินเสร็จ ค่อยๆ กินก็ได้ค่ะ”
ฉันกลับมาสนใจบะหมี่ถ้วยอีกครั้ง รสชาติผงชูรสเข้มข้นจนทำให้สมองเบลอ
ฉันเกือบจะเป็นลมเพราะมัน ไม่ได้ล้อเล่นเลยนะ อารยธรรมของมนุษย์พัฒนามาถึงจุดนี้ได้ยังไง?
หลังจากฉันกินบะหมี่สามถ้วยรวด จินซอยอนเปิดปากพูด
“ชื่อคังซอนฮูใช่ไหมคะ?”
“ครับ”
“ทางเราเพิ่งระบุตัวตนของคุณได้ มีรายงานว่าคุณหายตัวไปเมื่อสองปีก่อน”
“…สองปี?”
เหลวไหล! เท่าที่ฉันนับได้ก็อย่างน้อยหกปีแล้ว ยังไม่รวมที่เลิกนับไปอีก
จริงอยู่ หนึ่งวันในต่างโลกอาจไม่เท่ากับโลก แต่ก็คงไม่แตกต่างกันขนาดนั้น
“ทางเราต้องการสอบปากคำเบื้องต้น เกิดอะไรขึ้นบ้างคะ?”
“…”
ในต่างโลกเต็มไปด้วยอารยธรรมของหลากหลายสายพันธุ์ สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นไม่ต่างจากสัตว์ประหลาด
จะให้เล่าได้ยังไงว่าฉันถูกปฏิบัติราวกับคนบ้า?
เมื่อเห็นฉันเงียบ จินซอยอนเอ่ยในประเด็นที่คาดไม่ถึง
“คุณข้ามประตูมิติไปใช่ไหมคะ?”
“เอ๋?”
“ชุดที่คุณสวม ทำจากหนังหมาป่าสคาเวน เปลือกในกระเป๋าของคุณเป็นกระดองปูเรดาร์”
หมาป่าสคาเวน? ปูเรดาร์? นั่นคือชื่อที่พวกมันถูกเรียก?
ไม่สิ การที่พวกเขารู้จักสัตว์เหล่านั้น…
อาจเป็นเพราะสีหน้าของฉันค่อนข้างซับซ้อน จินซอยอนเปิดปากอีกครั้ง
“เมื่อสองปีก่อน โลกทั้งสองใบเชื่อมต่อกัน พวกเราเคยคิดว่าคุณคังซอนฮูถูกคลื่นระลอกนั้นกลืนกินไปแล้ว”
* * *
เมื่อสองปีก่อน ประตูมิติเปิดออก
แต่ค่อนข้างผิดคาด ไม่มีเหตุการณ์จำพวกสัตว์ร้ายรุกรานโลกและเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นขุมนรก
บางครั้งมนุษย์ก็เข้มแข็งเกินกว่าจะทำความเข้าใจ กองทัพของแต่ละประเทศเข้าควบคุมประตูมิติและรักษาเสถียรภาพอย่างรวดเร็ว
สำหรับมนุษย์ ต่างโลกถือเป็นโอกาส เหมือนกับสมัยโคลัมบัสค้นพบทวีป
ผู้คนเริ่มจินตนาการความฝันของตัวเองที่นั่น
“…คำตอบล่ะคะ?”
“ถ้าจะให้สรุป… ก็ใช่ครับ”
ฉันพยักหน้ารับคำพูดจินซอยอน
ต่างโลกเปรียบดังดินแดนแห่งใหม่
ดูเหมือนว่าระยะเวลาเพียงสองปี ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนเลิกหวาดกลัว ใครหลายคนเพ่งเล็งต่างโลกตาเป็นมัน
“ผ่านมาแล้วสองปี แต่พวกเราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นั่นเลย จนป่านนี้ก็ยังไม่มีการสำรวจอย่างจริงจัง”
“ทำไมถึงยังไม่สำรวจ? ไหนว่าเป็นโอกาส?”
“ความเสี่ยงสูงกว่าค่าตอบแทนที่จะได้รับ แถมยังไม่รับประกันว่าจะค้นพบสิ่งมีค่า… ได้ไม่คุ้มเสียน่ะค่ะ หากก้าวพลาดเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกเล่นงานด้วยพิษหรือไม่ก็ปรากฏการณ์ประหลาด รวมถึงผู้คนของที่นั่นก็ยัง… คุณก็ทราบดีสินะคะ?”
พวกมันเป็นสัตว์ประหลาด
ย้อนนึกกลับไป ฉันอดไม่ได้ที่จะขนลุก
กลุ่มนักวิจัยจ้องฉันด้วยสายตาแปลกประหลาดตลอดเวลา คล้ายมีคำถามมากมาย
“ว่าแต่… คุณคังซอนฮู”
“ครับ”
“คุณอาศัยอยู่ที่นั่นสองปีจริงหรือ? หรือว่าจะอยู่ในเมือง…”
“ไม่ครับ ในเมืองมีแต่พวกเวรตะไล”
“แล้ว…?”
“หลังจากถูกขับไล่ ผมก็ใช้ชีวิตในป่ามาตลอด เคยดูสารคดีของแบร์·กริลล์ไหม?”
“…ตลอดสองปี?”
ต้องไม่ใช่สองปีอยู่แล้ว แต่ฉันขี้เกียจอธิบาย
“คุณรอดมาได้ยังไง…”
สีหน้าซับซ้อนของเธอค่อนไปทางชื่นชม เฉกเช่นทีมนักวิจัยโดยรอบที่กำลังแอบฟัง
มนุษย์อยู่รอดในป่าต่างโลกเป็นเวลาสองปี
ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เป็นไปไม่ได้
…ฉันก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน
ถัดมา ฉันถูกพาตัวไปยังห้องพยาบาล รอจนกว่าผลตรวจจะออก
เตียงสะอาด อากาศแห้งสบาย
และ
“สมาร์ตโฟน…!”
หลังจากถูกดูดไปยังต่างโลก อุปกรณ์ถ่ายภาพทั้งหมดที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตถูกทิ้งไว้กลางทาง แต่โทรศัพท์มือถือถูกห่อเก็บไว้ในกระเป๋าเป็นอย่างดี
นั่นเพราะฉันหวังว่า หากวันใดมีกระแสไฟฟ้า จะได้นำมันกลับมาใช้อีก
เทียบกับสมัยนั่งกินเนื้อตากแห้งในกระท่อม ที่นี่เปรียบดังวังหลวง เตียงนอนอันอ่อนนุ่มและผ้าห่มที่เรียบเนียนทำเอาฉันขนลุก
ฉันเสียบสายชาร์จเข้ากับโทรศัพท์
ตอนนี้โลกหมุนไปถึงไหนแล้วนะ?
หลังจากหลังอุ่นและท้องอิ่ม ความสนใจก็จดจ่ออยู่กับกรอบสี่เหลี่ยมตรงหน้า
เมื่อพลังงานเริ่มขับเคลื่อน แสงสว่างอันน่าอึดอัดเสียดแทงเข้ามาในดวงตา
ช่องยูทูปของฉันเป็นยังไงบ้างแล้ว…
<บัญชีนี้ไม่มีความเคลื่อนไหว>
วิดีโอจำนวนน้อยนิดยังอยู่ครบ แต่เมื่อเห็นจำนวนผู้ติดตามลดลง ฉันอดไม่ได้ที่จะขำแห้ง
ไม่มีความอาลัยอาวรณ์หลงเหลืออยู่กับช่องยูทูปเก่า ไม่ใช่เพราะฉันไม่เสียดาย แต่เพราะตอนนี้กำลังขอบคุณสวรรค์ที่ได้กลับมาแบบยังมีชีวิต
นอกจากนั้น ฉันยังสงสัยว่าโลกก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว
วิธีที่ดีที่สุดคือการเปิดเข้ายูทูป
จากนั้นก็ไปที่หมวดหมู่ ‘มาแรง’
<ถิ่นของซัคคิวบัสที่เคยได้ยินแต่ในเรื่องเล่า! ฉันค้นพบแล้ว!>
<เมืองในต่างโลก สามารถมองผ่านกล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์ได้ไหม? >
“…?”
หากอ่านแค่ชื่อคลิป คงแยกไม่ออกว่าที่นี่คือยูทูปหรือเน็ตฟลิกซ์
อย่างไรก็ดี นี่คือความจริง
ฉันหวนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของพวกนักวิจัย
ต่างโลกไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาส
ฉันสุ่มกดเข้าไปดูวิดีโอ
<ความลับของภาษารูน ตอนที่ 2: มนุษย์สามารถใช้เวทมนตร์ได้หรือไม่? >
ยูทูเบอร์ที่ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เริ่มเกริ่นด้วยท่าทีตื่นเต้น
「ชาวต่างโลกใช้ภาษาที่ชื่อว่า ‘ภาษารูน’
เรื่องที่น่าตกตะลึงก็คือ ภาษาดังกล่าวมีพลังในตัวเอง
บางที ต่างโลกอาจเป็นที่ซ่อนความลับในการเป็นจอมเวทก็ได้นะครับ!
หากเรียนรู้ภาษาดังกล่าว พวกเราก็สามารถใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? 」
…ภาษารูน? เวทมนตร์?
สถานที่ที่ยูทูเบอร์อยู่ เป็นต่างโลกอย่างแน่นอน
ถึงเราจะไม่รู้จัก แต่ก็… ไม่มีวันลืมทิวทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์นั่น…
「ผมค้นพบคำหนึ่งที่น่าสนใจครับ!
ในการทดลองวันนี้ ผมจะใช้เวทมนตร์ด้วยภาษารูนได้หรือไม่ ตอนนี้ผมพร้อมแล้ว! มาชมกันเลยครับ!
ชีรึม! ทีรึม! ทวีรึม! ชวีรึม!
เฮ้อ… ไม่ได้สินะครับ ออกเสียงไม่ถูกหรือเปล่านะ? 」
วิดีโอยังคงดำเนินต่อไป แต่ความสนใจของฉันไม่ได้อยู่บนหน้าจอเลยสักนิด
“…”
ฉันหันไปทางแก้วเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะฝั่งซ้าย จากนั้นก็แหย่นิ้วลงไปในปากแก้ว
“ชีรึมthir”
หยดน้ำจำนวนหนึ่งก่อตัวภายในแก้ว
ไม่กี่วินาทีถัดมา แก้วกระดาษเต็มไปด้วยน้ำ