วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0006
บทที่ 3 แม้โลกจะเปลี่ยนไป แต่ผู้คนยังเหมือนเดิม (1)
* * *
“ตอนนี้หลายฝ่ายพยายามแย่งตัวนายจนวุ่นวายกันไปหมด ทุกคนจ้องนายตาเป็นมัน”
“จะใช่แน่หรือ?”
สำหรับสถิติหนึ่งชั่วโมงยี่สิบเอ็ดนาที ฉันไม่เคยรู้ว่ามันพิเศษจนกระทั่งได้ยินชาโซฮีเอะอะโวยวาย
“กฎที่บอกว่า ถ้าสอบผ่านภายในสามชั่วโมงจะไม่ต้องสอบรอบพิเศษ ทำให้นายตั้งใจสอบเป็นพิเศษใช่ไหม?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“แต่สถิติของนายคือหนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาที น่าจะเป็นสถิติที่ดีที่สุดแล้ว ไม่มีทางที่พวกบริษัทใหญ่จะไม่น้ำลายไหล”
“งั้นหรือ…”
ชาโซฮีที่จ้องฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รีบกล่าวต่อประหนึ่งไม่ชอบท่าทีเฉยเมยของฉัน
“เผื่อนายยังไม่ทราบ บริษัทที่ต้องการตัวนาย ไม่ใช่บริษัทที่คุมสอบ แต่เป็นสถาบันระดับชาติ”
“หา…?”
“OWIC ที่เคยเล่าให้ฟังเมื่อคราวก่อนไง… สถาบันที่ได้รับทุนจากรัฐบาล แทบจะเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่แล้ว”
“โอวิคนี่เอง”
เป็นชื่อที่ได้ยินบ่อยมาก
ถ้าจะพูดให้เกินจริงก็คงประมาณ บริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์แห่งวงการประตูมิติ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอยู่บนจุดสูงสุด แถมยังมีรัฐบาลคอยสนับสนุน เพื่อแลกกับการทำงานให้ประเทศ
นอกจากนั้น ตัวฉันที่ยังไม่รู้จักโลกดี แต่กลับมีสายสัมพันธ์บางๆ กับบริษัทที่ชื่อ OWIC ไปเรียบร้อยแล้ว
“คนที่คอยดูแลในวันที่ฉันกลับจากต่างโลก คือนักวิจัยของ OWIC”
“ก็คงใช่ พวกเขาไม่ต่างอะไรกับหน่วยงานรัฐ ตอนนี้คงมีข้อมูลของนายในระดับหนึ่งแล้ว… นายจะทำยังไงถ้าพวกเขาชวนไปทำงาน?”
ในตอนนั้น ฉันพูดบางสิ่งไว้กับนักวิจัยที่ชื่อจินซอยอน และปัจจุบันก็ยังไม่เปลี่ยนใจ
“ฉันจะไม่ทำงานให้พวกเขา”
“หา? นั่นคือบริษัทใหญ่ระดับชาติเชียวนะ… ถึงแม้ข้างในจะค่อนข้างคลุมเครือก็เถอะ”
“ฉันอาจจะเปลี่ยนใจทีหลัง แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
ไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม ชาโซฮีรู้จักฉันดีมาตั้งแต่เด็ก
“ฉันไม่ชอบการถูกผูกมัด”
ฉันเป็นของฉันแบบนี้มานานแล้ว และช่วงเวลาที่ต้องเอาตัวรอดตามลำพังในต่างโลก ได้หล่อหลอมให้ความรู้สึกดังกล่าวแรงกล้ายิ่งกว่าเก่า
“ฉันจะกลับไปพัก ตอนนี้นายว่างอยู่ใช่ไหม? เชิญพักผ่อนไปจนกว่าจะเบื่อ”
“แล้วถ้าฉันไม่เบื่อ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็พักไปจนตายเลย”
ฉันกับชาโซฮีหัวเราะคิกคัก
“นอกจากนั้น ฉันมีบางสิ่งที่อยากทำ”
“สิ่งที่นายอยากทำ? อะไร?”
“ไว้จะอธิบายให้ฟังถ้ามีโอกาส มันค่อนข้างซับซ้อนน่ะ”
ฉันที่นอนมองเพดาน ค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับหยิบกิ่งไม้ที่วางอยู่บนพื้น
ชาโซฮีมองฉันด้วยความสนใจ
“นั่นอะไร”
“หยิบติดมือมาตอนสอบ”
“จากต้นไม้ในต่างโลก? ตอนนำออกมา ผู้คุมสอบไม่ว่าอะไรหรือ”
“ก็ไม่เห็นจะพูดอะไร”
เดิมที มันต้องถูกยึดกลับไป แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเอาแต่ยืนเหม่อด้วยความทึ่ง
หรือบางที พวกเขาอาจจะมองเป็นแค่กิ่งไม้ธรรมดา
“แล้วนายนำกลับมาทำไม”
“เป้าหมายในภารกิจการสำรวจของเธอคืออะไร”
“นำตัวอย่างจากป่าเบอร์มิวด้าในต่างโลก กลับมาสามชนิด”
“นี่ไง ชิ้นแรก”
“…?”
ชาโซฮีเดินเข้ามาใกล้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“สนามสอบคือป่าเบอร์มิวด้า? เป็นไปไม่ได้”
“นี่คือต้นไม้ในป่าเบอร์มิวด้า เพราะฉันไม่เคยเห็นต้นไม้แบบนี้ในต่างโลกมาก่อน”
“หืม…”
ชาโซฮีกำลังคิดไม่ตก
ฉันพอจะเข้าใจเหตุผลอยู่
“สมมติว่ามันคือกิ่งไม้จากป่าเบอร์มิวด้าจริงๆ แต่ตัวอย่างจากการสำรวจ ก็ควรจะเป็นสิ่งที่ดูมีคุณค่ามากกว่านี้ไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่จะหยิบหินหรือดินขึ้นมาจากพื้นแล้วบอกว่าเป็นตัวอย่าง”
ไม่มีทางที่ฉันจะไม่รู้เรื่องนี้
ทันใดนั้น ฉันหยิบไฟแช็กที่ซื้อเตรียมไว้ขึ้นมา ตามด้วยกระตุกส่วนปลาย
“อะ…?”
กิ่งไม้หมุนไปรอบๆ พร้อมกับพ่นน้ำประหนึ่งสปริงเกอร์ แม้จะเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่ก็สามารถบอกได้ว่า นี่เป็นการตอบสนองของพืชที่รุนแรง
“ต้นไม้พวกนี้คือกลไกสำหรับป้องกันไฟไหม้ป่า จริงอยู่ กิ่งไม้กิ่งเดียวอาจดูไม่มีค่า แต่มันมาจากลำต้นที่ใหญ่เท่าอะพาร์ตเมนต์”
“ไม่เคยรู้มาก่อน… มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ”
“สรุปก็คือ มันเหมือนกับสปริงเกอร์ฉีดน้ำของป่า”
ป่าในต่างโลก ไม่ได้เกิดจากการรวมตัวแบบสุ่มของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก
ตัวป่าคือหนึ่งสิ่งมีชีวิต มีอุปนิสัยเพียงหนึ่งเดียว และจัดเตรียมกลไกต่างๆ เพื่อปกป้องตัวเองอย่างรอบคอบ
นี่คือเหตุผลว่าทำไมป่าถึงมี ‘หัวใจ’
“แบบนี้พอใช้ได้ไหม?”
“ได้… น่าจะได้ ไม่สิ เหลือเฟือเลยล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้หนึ่งตัวอย่างแล้ว”
“อา บริษัทของฉันน่าจะให้ผ่าน”
ถ้าอย่างนั้น ก็เหลือที่ต้องหาอีกแค่สองตัวอย่าง
และในเมื่อมีใบอนุญาตชั่วคราว ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งรออยู่เฉยๆ
“ฉันจะออกเดินทางวันนี้ เพื่อหาอีกสอง”
“หือ? ทันทีเลยหรือ”
“ฉันไม่อยากเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ รีบสะสางงานแล้วรับเงินดีกว่า”
หากมีช่องทาง ก็ควรรีบจัดการโดยเร็วและกลับมาพักผ่อน นั่นคือแนวทางการใช้ชีวิตของฉัน
ฉันตัดสินใจจัดกระเป๋าทันที
อันดับแรก ขวานหินคริสตัล
มันเป็นสมบัติที่อยู่กับฉันมาหลายปี สมัยยังเล่นเกมเอาตัวรอดในต่างโลก
ประโยชน์ใช้สอยหลากหลายมาก ในบางแง่มุม มันมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าอุปกรณ์สมัยใหม่เสียอีก
ถัดมา อวัยวะรับสัมผัสของฟาร์มมิ่งเวิร์ม
ฉันไม่ได้นำมาจากต่างโลก แต่ได้มาในวันแรกที่พบกับชาโซฮี
ชาโซฮีแสดงความสนใจทันที
“นั่นอะไร”
“ขวาน”
“คิดว่าฉันโง่หรือไง อันที่นายถืออยู่ต่างหาก”
“อวัยวะรับสัมผัสของฟาร์มมิ่งเวิร์ม”
“หา?”
ชาโซฮีลุกขึ้นและเดินเข้ามาใกล้
“จากเหตุการณ์รถบรรทุกพลิกคว่ำเมื่อตอนนั้น? นายเอามาทำไม?”
“หลังนำออกมาจากซาก มันยังใช้งานได้หลายเดือน… หากตรวจพบสิ่งมีชีวิตในละแวกใกล้เคียง มันจะปล่อยสัญญาณไฟฟ้าตามระดับของสิ่งที่ตรวจพบ สมัยที่ฉันอาศัยในต่างโลก แค่ถือไว้เฉยๆ ก็ช่วยชีวิตได้มากแล้ว”
“สัญญาณไฟฟ้า? หมายถึงไฟฟ้าช็อต?”
“ถึงจะรู้สึกแย่ แต่ชีวิตต้องมาก่อน”
ทำไมต้องดูโมโหขนาดนี้?
แต่ความกังวลของเธอ ไม่นานก็หายไป
“มีโทรศัพท์มือถือที่ไม่ได้ใช้ไหม?”
“ไม่มี ทำไม?”
“แล้วอย่างพวก… จอยเกม?”
“อยู่ในลิ้นชักตรงนั้น”
“ไม่ได้ใช้แล้วใช่ไหม?”
“ใช่ ปุ่มมันหลุดหายไป ถามทำไม?”
“รอสักครู่”
หลังจากค้นลิ้นชัก ชาโซฮีเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานพร้อมกับอวัยวะรับสัมผัสและจอยเกม
เธอเริ่มสร้างบางสิ่งด้วยเครื่องมือบนโต๊ะของฉัน
ฉันมองด้วยความสนใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
“เสร็จ!”
“ไปเรียนวิธีสร้างของแบบนี้มาจากไหน?”
“ฉันจบคณะวิศวกรรม… ยื่นแขนมา”
ฉันผูกแถบยางรัดเข้ากับแขน
“แขนนายบึกบึนขึ้นเยอะเลยนะ… ว่าแต่ เจ้านี่เป็นยังไงบ้าง”
ครืด
กรอบพลาสติกที่ใส่อวัยวะรับสัมผัสของฟาร์มมิ่งเวิร์มไว้ด้านใน แทนที่จะเป็นกระแสไฟฟ้า มันส่งแรงสั่นเล็กน้อยมายังแขนของฉัน
นี่คงเป็นสัญญาณเตือน หลังจากมันตรวจพบชาโซฮีในห้อง
“ยังรู้สึกแย่อยู่ไหม”
“เธอทำได้ยังไง”
“ฉันทำลายวงจรที่ไม่จำเป็นทิ้ง และนำอุปกรณ์การสั่นของจอยเกม มาเชื่อมกับตัวส่งกระแสไฟฟ้าจากอวัยวะ มีสวิตช์เปิด-ปิดและถ่านสองก้อนในตัว… น่าจะใช้ได้สักเดือนนึง”
“…ที่ผ่านมา เธอไม่ได้เป็นแค่คนตกงานหรอกหรือ?”
“…ค*ย”
“ได้ยินแบบนี้ค่อยชื่นใจ”
ชาโซฮีที่กำลังหัวเราะ ตรวจสอบเครื่องตรวจจับอีกครั้ง
“หลังจากนี้ถ้ามีเวลา ฉันจะแก้ไขให้มันดูดีขึ้น… สำหรับตอนนี้ หวังว่านายจะใช้มันในสภาพนี้ได้”
เป็นความแตกต่างทางแนวคิด
ฉันต้องใช้สติทั้งหมดไปกับการเอาตัวรอด ตรงข้ามกับคนบนโลกที่ไม่ได้สิ้นหวังเท่าฉัน และมีเวลาสำหรับประดิษฐ์คิดค้น
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นี่มันดูดีเลยทีเดียว มือของฉันมีอิสระ และไม่ต้องกังวลว่าจะเสียสมาธิไปกับการถูกช็อตแรงๆ
อีกทั้งยังราคาถูกมาก…
ไม่สิ อวัยวะรับสัมผัสของฟาร์มมิ่งเวิร์มราคาเท่าไร?
ช่างปะไร ของแบบนี้จะหาเมื่อไรก็ได้
“ฉันต้องไปแล้ว เธอจะอยู่ที่นี่ต่อไหม? ฝากล็อกประตูด้วย”
“นายล็อกเองสิ เราจะออกไปด้วยกัน ฉันต้องไปส่งนายที่ประตูมิติ… ค่าแท็กซี่ฉันเลี้ยงเอง”
พวกเราเรียกแท็กซี่และออกเดินทางทันที
“ประตูมิติสินะ…”
ได้แต่สงสัยว่ามันจะหน้าตาเป็นอย่างไร
* * *
“…”
ฉันทำได้เพียงยืนจ้องทิวทัศน์ตรงหน้า
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ประตูมิติ’ คนส่วนใหญ่จะจินตนาการฉากที่ใกล้เคียงกัน
อาจแตกต่างกันในเชิงรายละเอียด เช่นบางคนเห็นพลังงานที่น่ากลัว บางคนเห็นออร่าที่งดงาม แต่อย่างน้อย บรรยากาศโดยรอบก็ต้องรกร้างและเปล่าเปลี่ยว เต็มไปด้วยอันตราย
แล้วนี่มันอะไร?
“บ้าน่า…”
“นายไม่เคยเห็นประตูมิติมาก่อนหรือไง”
“ไม่เคยกับผีน่ะสิ… ฉันไม่ได้ตกใจเพราะเรื่องนั้น”
อาคารและลานกว้างที่สร้างขึ้นอย่างประณีต ดูคล้ายกับจุดนัดพบของวัยรุ่นเสียมากกว่า
ฉันเห็นบางคนยืนถ่ายรูปที่ระลึก ด้านข้างมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ที่ดูพลุกพล่าน
ดูเหมือนกับ สถานีรถไฟหรือสนามบิน
นั่นสินะ บางครั้งมนุษย์ก็แข็งแกร่งกว่าที่จินตนาการไว้มาก ไม่มีความเกรงกลัวที่จะถูกประตูมิติกลืนกินแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม มนุษย์ทำการพิชิต ควบคุม และใช้ประโยชน์จากมัน
「ประกาศจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมการจราจร ระเบียบขั้นตอนกำลังจะเริ่มขึ้น หากท่านใดต้องการผ่านประตูมิติ กรุณารอที่ประตูหมายเลขสอง」
“…ทำใจให้ชินไม่ได้เลย”
ในต่างโลก ฉันอาจเป็นมนุษย์ที่ฝ่าฟันความตายมากกว่าใคร
ในแต่โลกปรกติ ฉันเป็นแค่ไอ้บ้านนอก
“ผู้โดยสารทุกท่าน! หากกรอกเอกสารเสร็จก่อนที่จะถึงคิวของตัวเอง ขั้นตอนก็จะเร็วขึ้นครับ!”
“ไปกันเถอะ ฉันจะช่วยนายเอง”
แม้ชาโซฮีจะพูดเช่นนั้น แต่เธอไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
นี่เรากำลังไปต่างประเทศหรือไง? ต้องแสดงใบอนุญาต ยืนยันตัวตน และลงนามในบันทึกข้อตกลง
<หนังสือสาบานตน>
เป็นเอกสารที่ระบุว่า สิ่งใดบ้างที่ไม่ควรทำในต่างโลก
ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นไปตามหลักสามัญสำนึก แต่มีอยู่หนึ่งข้อที่น่าสนใจ
[⊙ ห้ามนำข้อมูลของโลก ไปเผยแพร่กับสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาในต่างโลก]
กล่าวคือ มนุษย์รู้เรื่องต่างโลกได้ แต่ชาวต่างโลกไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องของมนุษย์
“…เห็นแก่ตัวชะมัด”
ฉันบรรจงเซ็นอย่างตั้งใจ
“เสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมดแล้วครับ! พวกเรากำลังจะเข้าไป! ทุกคนมารวมตัวทางนี้!”
เดินมาถึงจุดที่ฉันสามารถมองเห็นประตูมิติ
มันใหญ่กว่าที่ฉันคิดไว้มาก เกือบเท่าตึกสิบชั้นเห็นจะได้
“นี่คุณลุง”
เมื่อหันกลับไปมอง ฉันเห็นผู้ชายร่างผอมบาง ตาแหลม บุคลิกโผงผาง หน้าตาค่อนข้างไม่เป็นมิตร กำลังจ้องมา
“ครั้งแรกหรือ”
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของฉันก็คือ อุปกรณ์ที่เขากำลังถือ
อุปกรณ์สำหรับถ่ายหนัง? แต่ดูไม่เหมือนคนของสถานีโทรทัศน์
อ้อ ยูทูปเบอร์สินะ
ว่าแต่ ทำไมฉันถึงถูกมองด้วยสายตาดูแคลน?
“เอาอุปกรณ์ไปแค่นี้จะไหวหรือ? คุณลุงได้เหนื่อยแน่”
ฉันพกมาแค่เป้สะพายหลังใบเดียว
เมื่อลองมองไปรอบๆ ทุกคนทำตัวเหมือนกำลังจะย้ายบ้าน ขั้นต่ำคือกระเป๋าเดินทาง
“อา… ผมพกมาน้อยๆ เพราะแค่จะไปเดินเล่นน่ะ”
ยูทูเบอร์หัวเราะหลังจากได้ยินคำตอบของฉัน
“อารมณ์ขันดีนี่… ตรงนั้นมีอุปกรณ์ขายนะ ร้านค้าเพียบเลย แต่แพงกว่าปรกติห้าเท่า ตอนที่ผมมาครั้งแรกก็…”
“ประทานโทษนะคะ…”
ชาโซฮีข้างๆ ที่ทนฟังไม่ไหว ถลึงตาและเตรียมกล่าวบางสิ่ง
“ก…ก็ได้ ก็ได้ ขอโทษครับ”
เสียงหัวเราะคิกคักของชายคนดังกล่าว เงียบไปก่อนที่ชาโซฮีจะถึงจุดเดือด
“เราจะเปิดให้เข้าประตูแล้วนะครับ!”
ฉันเคยจินตนาการไว้ว่า ประตูเหล็กหน้าประตูมิติ จะถูกเปิดด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม
แต่พอรู้ตัวอีกที ตรงหน้าฉันก็กลายเป็นประตูมิติที่ส่องแสงห้าสี
“เตรียมของมาครบใช่ไหม? ตรวจสอบให้ละเอียด”
“…”
“นายประหม่าหรือ? ไว้ค่อยไปวันหลังไหม?”
“อ้อ…”
ดูเหมือนว่าชาโซฮีจะกังวลเกี่ยวกับฉัน คล้ายกับเป็นห่วงว่าฉันจะมีแผลใจกับต่างโลก
“ไม่จำเป็น”
“แล้วนายเหม่ออะไร?”
“เผลอหลับน่ะ”
“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว รีบตรวจสอบสัมภาระเร็วเข้า ถ้านึกขึ้นได้ตอนที่ข้ามไปแล้ว นายคงหงุดหงิดน่าดู”
ฉันเหม่อด้วยเหตุผลอื่น
ผลไม้สีแดงที่ยูทูเบอร์คนนั้นเคยถือ ทันทีที่ฉันเหลือบไปเห็น เขารีบใช้แขนซ่อนไว้
“…”
นั่นเป็นผลไม้จากป่าในต่างโลกแน่นอน
มันสามารถดึงดูดพวกป่าเถื่อนในต่างโลก
ทำไมเขาถึงพกของแบบนี้มาด้วย?
…คิดจะถ่ายวิดีโอเนื้อหาแบบไหน?
“เข้าไปได้!”
เสียงคำรามของคนนำทางดังขึ้น
“ระวังตัวด้วยล่ะ”
หงึก
แต่ความสนใจของฉันยังคงอยู่ที่ยูทูเบอร์รายนี้