วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก ตอนที่ 9

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0009

บทที่ 4 การเริ่มต้นอันเร่าร้อน

* * *

“โซฮี”

ใครบางคนเดินเข้ามาหาชาโซฮีผู้กำลังทำความสะอาดห้องน้ำ ไม่ใช่ใครนอกจากสมาชิกทีมวิจัย คิมซอจินผู้เพิ่งกลับจากงานนอกสถานที่ สืบเนื่องจากทั้งสองต้องทำงานร่วมกันบ่อยครั้ง พวกเธอจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน

“มีอะไร”

“เธอหาตัวอย่างสามชนิดจากต่างโลกมาได้จริงๆ …”

“อ้อ… ใช่”

“สุดยอดมาก”

งานที่ชาโซฮีได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงอย่างง่ายดาย และแผนกที่รับผิดชอบการวิเคราะห์ตัวอย่างคือทีมวิจัย

“ทุกชิ้นน่าสนใจมาก”

“จริงหรือ?”

“ใช่ กิ่งไม้ที่พ่นน้ำเมื่อโดนความร้อน เป็นการค้นพบที่น่าทึ่งมาก… เธอคงเคยได้ยินคำขวัญของบริษัทเราใช่ไหม? ผสานสิ่งของจากต่างโลกเข้ากับวิถีชีวิตสมัยใหม่ ลงล็อกพอดี… เบื้องบนสนใจเรื่องนี้มาก พวกเขาบอกว่ามันคือสปริงเกอร์ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ”

“ฮะฮะ…”

“แต่ฉันสงสัยว่า คุณไปหาผลไม้สีแดงกับเขี้ยวหมาป่าสคาเวนจากไหน?”

“รายละเอียดทั้งหมด ฉันเขียนใส่รายงานไปแล้ว”

แน่นอน นั่นเป็นรายงานเท็จ

เพราะตัวอย่างทั้งหมด เธอได้รับจากคังซอนฮู

เจ้าหน้าที่แผนกวิจัยยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นก็เดินเข้ามาใกล้พลางกระซิบ

“หรือว่า… เธอรู้จักฮาวนด์?”

“หือ?”

“ตอนแรก ทีมบริหารต่างสงสัยว่าคุณแอบจ้างฮาวนด์ลับๆ การทำแบบนั้นถือว่าผิดกฎบริษัท แต่ว่า… หลังจากนั้นไม่นานก็พวกเขาเลิกคาใจ เพราะตรวจสอบในฐานะข้อมูลแล้วไม่พบประวัติที่น่าสงสัย อีกอย่าง พวกฮาวนด์ไม่น่าจะรับงานเล็กๆ จากพนักงานบริษัทโดยตรง”

“อาฮะ…”

“ฉันก็เลยสงสัยว่า บางทีเธออาจจะรู้จักฮาวนด์เป็นการส่วนตัว หรือไม่ก็ฮาวนด์ในตลาดมืด”

“เฮ้อ…”

ชาโซฮียิ้มพลางโบกมือ

“ไม่ใช่แบบนั้น เธอก็รู้นี่”

“ก็จริง ใครบางคนกล่าวไว้ว่า ต่อให้เป็นญาติสนิทแต่ห้ามเชื่อใจฮาวนด์เด็ดขาด นอกจากนั้น ในเกาหลีใต้ไม่มีฮาวนด์คนใดทำงานของเธอเสร็จในหนึ่งสัปดาห์ได้”

อันที่จริงชาโซฮี ก็นึกสงสัยในประเด็นเดียวกัน

แม้จะเป็นแค่รอบนอก แต่ป่าเบอร์มิวด้าก็เต็มไปด้วยอันตราย ทางการยังไม่เคยสำรวจภายในอย่างจริงจังแม้แต่ครั้งเดียว เพราะตัวป่าเต็มไปด้วยความพิสดารจนมิอาจเข้าไปตั้งรกราก

นั่นคือเหตุผลที่คังซอนฮูตำหนิบริษัท และเป็นเหตุผลที่เธอเชื่อใจเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสลัดความกังวลได้ไม่หมด

ทว่า ราวกับจะเยาะเย้ยความกังวลของชาโซฮี คังซอนฮูนำตัวอย่างทั้งหมดกลับมาในหนึ่งวัน เป็นใครก็ยากจะเชื่อลง

มนุษย์ผู้ดำรงชีวิตในต่างโลกไม่ต่ำกว่าหกปี

ได้ยินแค่นี้ก็น่าทึ่งแล้ว แต่ถ้าลงลึกในรายละเอียด เธอเริ่มตระหนักว่าอีกฝ่ายอาจยิ่งใหญ่กว่าที่เธอเข้าใจ

“นี่! โซฮี!”

“หา?”

“เธอยังไม่ลืมใช่ไหมว่าวันนี้กำหนดต้องไปต่างโลก? ควรออกเดินทางได้แล้วนะ วันนี้คนค่อนข้างแน่น ขั้นตอนอาจจะใช้เวลานานกว่าปรกติ”

“จริงด้วย… ฉันต้องรีบไปแล้ว”

“เฮ้อ… ดูแลตัวเองด้วยล่ะ เสร็จงานแล้วก็ตรงกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องมาที่นี่”

“เยส! ขอบคุณนะ!”

“อย่าดีใจออกนอกหน้าขนาดนั้น ยัยเบื๊อก”

“ฮะฮะ…”

“เลิกเล่นได้แล้ว รีบไปซะ”

“ไปก่อนนะ!”

ชาโซฮีพยักหน้ารับ โบกมือลารุ่นพี่และรีบออกจากสำนักงาน

งานครั้งนี้คือการเดินทางไปยังต่างโลก แต่มิได้อันตรายเท่าคราวก่อน เพราะปลายทางไม่ใช่ดินแดนทุรกันดาร แต่เป็นเบสแคมป์*ในต่างโลก

(*Base Camp)

เธอจึงขึ้นแท็กซี่โดยปราศจากความกังวล ระหว่างทางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น

[ฉัน: นี่] 1

[ฉัน: นายปิดเครื่องอีกแล้ว?] 1

[ฉัน: นี่นี่นี่นี่นี่นี่นี่!] 1

[ฉัน: โบนัสออกแล้ว ฉันจะเลี้ยงเหล้าเอง] 1

[ฉัน: ข้อความถูกลบ] 1

[ฉัน: รูปภาพ] 1

[ฉัน: วิดีโอ] 1

[ฉัน: โซฮีส่งของขวัญและข้อความ ขณะนี้…] 1

“เฮ้อ…”

ผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์หลังจากได้รับตัวอย่างจากคังซอนฮู แต่คังซอนฮูกลับไม่อ่านข้อความของเธอเลย มือถือไม่แม้แต่จะถูกเปิด

หรือว่าจะทิ้งมือถือไว้ที่บ้านอีกแล้ว?

เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นพวกรักษาระยะห่าง ชอบสร้างกำแพงล่องหนรอบตัวเสมอ การติดต่อจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

เธอจึงคิดว่าคราวนี้ก็คงเหมือนกัน ถึงในใจลึกๆ จะรู้สึกแปลกๆ ก็ตาม

“ถึงแล้วครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

รู้ตัวอีกที จัตุรัสประตูมิติที่โครงสร้างคล้ายสถานีรถไฟก็โผล่ขึ้นในทิวทัศน์

“ถูกส่งไปทำงานต่างโลกหรือครับ”

“ใช่ค่ะ”

“คงลำบากแย่เลย ลูกสาวของผมก็ทำงานที่นั่นเหมือนกัน ทุกสิ่งยังใหม่มาก กฎหมายยังไม่ครอบคลุม… ลำบากไม่น้อยทีเดียว… บริษัทของคุณมั่นคงไหม?”

บริษัทมั่นคงไหม

เป็นคำถามที่ได้ยินบ่อยมากในยุคสตาร์ตอัปเฟื่องฟู

“ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ”

“คุณคนขับก็สู้ๆ นะคะ”

เธอยิ้มให้พร้อมกับเก็บกระเป๋าลงจากรถ ผ่านระเบียบขั้นตอนสักพักก่อนจะเดินเข้าไปในประตูมิติ หลังได้สติจากผลข้างเคียงขณะเดินทาง เธอเดินซวนเซเข้าไปในอาคารเหมือนกับทุกคน

ทิวทัศน์เบสแคมป์ของต่างโลกฉายเข้ามาในการมองเห็น เป็นภาพของหมู่บ้านในยุคกลางที่ค่อนข้างกว้างขวาง

สำหรับใครบางคน ที่นี่คือจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ แต่สำหรับชาโซฮี ที่นี่คือห้องทำงาน

“เฮ้อ…”

ความคิดเกี่ยวกับคังซอนฮูถูกสลัดไปจากหัว

งานของเธอคือการเจรจากับคู่ค้าในต่างโลก

ต้องเข้าพักในโรงแรมที่พวกฮาวนด์ชอบใช้เป็นจุดนัดพบ

เมื่อคิดว่าต้องรับมือกับฮาวนด์ที่ปิดกั้นตัวเองและมีทัศนคติแปลกประหลาด เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว

ระหว่างกำลังก้าวขา หญิงสาวสัมผัสถึงบรรยากาศแปลกประหลาด

“ต้องเอาของพวกนี้ไปส่งที่ไหน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

“เอ่อ… ได้ยินว่ามีชายคนหนึ่งกางเต็นท์อยู่ด้านนอกเบสแคมป์”

“เต็นท์? ไปแคมปิ้งหรือไง?”

“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าทำที่นั่นเป็นสำนักงานด้วย”

พนักงานขนของส่ายหน้าพลางเข็นรถ แค่มองผิวเผินก็บอกได้ทันทีว่าสัมภาระเหล่านี้มีไว้สำหรับก่อสร้าง

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในเบสแคมป์จะมีการก่อสร้างอาคาร เพราะ OWIC มักส่งสถาปนิกมาที่นี่บ่อยๆ

ทว่า ท่าทีตอบสนองของพนักงานค่อนข้างแปลก

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่…”

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเนื่องจากมีเวลาเหลือเฟือ ชาโซฮีตัดสินใจเดินตามไปดู

รถเข็นแล่นไปตามถนนของหมู่บ้านจนกระทั่งพ้นขอบรั้ว หลังจากผ่านระยะทางที่ไกลพอสมควร รถเข็นหยุดลงในบริเวณที่เป็นรอยต่อระหว่างหมู่บ้านและธรรมชาติภายนอก

“…?”

ชาโซฮีไม่กล้าขยับตัวหรือส่งเสียง รอจนกระทั่งพนักงานขนของลงและกลับไป

ภายในเต็นท์ชั่วคราวสูงราว 2.5 เมตรที่สร้างขึ้นลวกๆ ชายคนหนึ่งกำลังนอนบนเก้าอี้พลางใช้หมวกปิดหน้า โดยมิได้แยแสสัมภาระที่ถูกส่งมาถึงเลยสักนิด

ความเยือกเย็นระดับนี้ เธอมั่นใจทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“คังซอนฮู?”

ชายคนดังกล่าวเลิกหมวกด้วยท่าทีเกียจคร้าน

“มาจ้างงานหรือครับ”

“…จ้างงาน?”

เธอเพิ่งจะเหลือบไปเห็นป้ายหยาบๆ ด้านข้าง

<สำนักงานกิลด์นักสำรวจ>

“นี่มันอะไร? กิลด์…?”

“ขอแจ้งให้ทราบว่า ค่าจ้างจะขึ้นอยู่กับเนื้องานที่นำมาปรึกษา”

“นี่!”

“เฮ้อ… ง่วงจัง”

คังซอนฮูนำหมวกปิดหน้าและนอนลงไปอีกครั้ง

* * *

ฉันไม่คิดว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้นได้ในหนึ่งสัปดาห์

ไม่ใช่แค่ปัญหาจุกจิก แต่หัวหน้าใหญ่ของหน่วยรักษาความปลอดภัยช่วยฉันแทบทุกเรื่อง

“อยากเปิดสำนักงานที่ต่างโลก? ผมช่วยได้นะ”

หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยช่วยเดินเอกสารให้ในเวลาอันสั้น ได้แต่นึกสงสัยว่า ผลงานในคราวก่อนของฉันคงน่าประทับใจไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่ลงทุนทำขนาดนี้

“ว่าแต่ ทำไมคุณถึงไม่เปิดสำนักงานที่โซล แต่เป็นต่างโลก…”

“ค่าเช่าที่ในกรุงโซลแพงมาก”

“จริงด้วย…”

หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยพยักหน้ารับ ดินแดนในต่างโลกกว้างใหญ่ไพศาล รัฐบาลไม่มีสิทธิ์อ้างตัวเป็นเจ้าของ

หากไม่นับขอบเขตในรั้วหมู่บ้าน ใครก็ตามที่จับจองดินแดนด้านนอกได้ก่อน ก็จะถือเป็นเจ้าของโดยปริยาย

ฉันถือวิสาสะใช้ที่นี่เป็นฐานทัพทันที

“ถ้าตั้งสำนักงานที่ต่างโลก แม้ปริมาณงานจะลดลงมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย นอกจากนั้นฉันยังมีฐานทัพส่วนตัวในต่างโลกด้วย”

อันที่จริง ฉันชอบบรรยากาศของหมู่บ้าน มันรู้สึกดีเหมือนได้กลับชนบท

หากอยู่ที่นี่ ฉันสามารถสำรวจต่างโลกไปพร้อมกับทำเงินก้อนโต

ทั้งปลอดภัยและสะดวกสบาย แตกต่างจากการดิ้นรนเอาตัวรอดตามลำพังในป่า

หลังจากได้ฟังสถานการณ์ ชาโซฮีเปิดปากพูดเป็นนัย

“ยังไม่เบื่ออีกหรือ? การสำรวจน่ะ”

“…”

คงต้องยอมรับว่า มันกลายเป็นสันดานของฉันไปแล้ว

ช่างน่าขัน สิ่งที่ฉันเลือกทำระหว่างพักผ่อน คือการดื่มด่ำไปกับชีวิตนักสำรวจ

“ด้วยความสัตย์จริง ฉันเคยเบื่อต่างโลกเต็มทน แต่ท้ายที่สุด การได้ใช้ชีวิตที่นี่เป็นเวลานานทำให้ลืมความคิดดังกล่าว”

ความรู้สึกรังเกียจต่างโลกเลือนหายไป ความคุ้นเคยเข้ามาแทนที่

“ตอนนี้ฉันมั่นใจว่า ตัวเองไปไหนมาไหนได้อย่างปลอดภัย”

“สรุปก็คือ นายเปลี่ยนใจแล้ว?”

หงึก

“…เมื่อลองคิดดู มันน่าตื่นเต้นมากทีเดียว”

เนื่องจากยังคงซ่อนใบหน้าไว้ใต้หมวก ฉันจึงไม่รู้ว่าชาโซฮีกำลังมองมาด้วยสายตาแบบใด

“แม้แต่แผนที่ลุ่มแม่น้ำแอมะซอนก็ถูกวาดจนสมบูรณ์แล้ว ไม่เหลือสถานที่ใดในโลกให้ฉันสำรวจอีกต่อไป ส่วนจุดที่ยังเป็นปริศนาก็อันตรายเกินกว่าจะลุยเข้าไปด้วยมือเปล่า”

นี่คือโอกาสอันดี ที่จะนำความรู้สึกช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดกลับสู่ร่างกายอีกครั้ง ยุคสมัยที่มนุษย์เพิ่งเริ่มสำรวจส่วนลึกของโลก

เล่าถึงตรงนี้ฉันเริ่มกระสับกระส่าย

“…”

ชาโซฮีเงียบเกินไป พอฉันเลิกหมวกขึ้นมาดูก็พบว่า เธอกำลังฉีกยิ้มกว้าง

“สมเป็นนายดี”

“งั้นหรือ”

“ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านายมันบ้า”

“หึหึ…”

จากนั้น เธอมองไปทางด้านหลังฉัน

“หืม…”

“ฉันนอนต่อได้หรือยัง”

“โง่หรือไง? นายต้องตื่นตัวตลอดเวลา ถ้าลูกค้าหาเห็นเข้าจะทำยังไง? แล้วคิดเรื่องการตลาดไว้หรือยัง? ประชาสัมพันธ์ล่ะ?”

“ไม่ยากหรอกน่า แค่ติดใบปลิวก็พอ”

“…”

ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่คิดจะสร้างบริษัทสตาร์ตอัปที่ประสบความสำเร็จในต่างโลก แค่อยากอยู่ในที่ที่อากาศดี แสงแดดอบอุ่น และไม่ชื้น

และเหนือสิ่งอื่นใด… มันปลอดภัย…

มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องของใช้จุกจิก และสามารถเดินทางกลับกรุงโซลได้ทุกเมื่อ

“เมื่อลองคิดดูให้ดี… ที่นี่ยังกับสวรรค์เลยไม่ใช่หรือ”

“สวรรค์บ้าบออะไร? นายได้ไปสวรรค์เร็วๆ นี้แน่”

จากนั้น ชาโซฮีถอดแจ็กเกตแขนไว้กับต้นไม้ ตามด้วยถกแขนเสื้อ

“ฉันจะช่วยเอง”

“ทำไมต้องลำบาก?”

“ก็อยากให้นายสะดวกสบายขึ้น แล้วก็…”

ระหว่างนั้น เธอแหงนมองเพดานเต็นท์

“ฉันอาจจะเป็นลูกค้าประจำ การซื้อใจเจ้าของร้านเป็นเรื่องปรกติไม่ใช่หรือ”

ถูกต้อง กลุ่มเป้าหมายของฉันคือคนอย่างชาโซฮี ไอเดียในการตั้งสำนักงานก็ผุดจากคำขอร้องของเธอ

ชาโซฮีเริ่มปรับปรุงเต็นท์อย่างคล่องแคล่ว เป็นความชำนาญระดับเดียวกับเมื่อครั้งสร้างอุปกรณ์ตรวจจับหยาบๆ

“เธอไม่คิดว่างานแบบนี้เหมาะกับตัวเองมากกว่าหรือ?”

ไม่ว่าจะมองมุมใด ชาโซฮีเป็นพวกไม่อยู่นิ่ง ฉันเองก็เหมือนกัน แต่พวกเราต่างกันนิดหน่อย เธอเป็นสายนักประดิษฐ์มากกว่า

“เฮ้อ… สิ่งที่ชอบกับสิ่งที่ต้องทำมันต่างกัน”

เงินคือปัจจัยสำคัญ เป็นการยากที่มนุษย์จะเลี้ยงตัวเองด้วยงานอดิเรก

ฉันไม่รู้ว่าในช่วงสองปีที่หายตัวไป เธอเคยทำอะไรไปบ้าง แต่ตอนนี้ เธอคือพนักงานของบริษัทเกี่ยวกับต่างโลก

ฉันตัดสินใจยืดเส้นยืดสายด้วยการเป็นลูกมือ และนั่นทำให้เต็นท์ถูกซ่อมเสร็จภายในเวลาไม่นาน

วัสดุสำหรับก่อสร้างถูกย้ายไม่ให้เกะกะลูกตา เต็นท์ถูกขึงอย่างถูกต้องเหมาะสม และพื้นที่สกปรกก็ถูกเก็บกวาด

“ถ้าจะทำธุรกิจ นี่คือสิ่งจำเป็น”

“อา…”

ชาโซฮีสวมแจ็กเกตกลับ พลางแหงนมองเพดานเต็นท์

“…น่าสนุกดี”

เป็นสายตาแฝงความอิจฉา พนักงานบริษัททุกคนล้วนปรารถนาอิสรภาพ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปเผชิญหน้าความจริง

“ถ้ามีโอกาส ฉันก็จะเปิดร้านของตัวเองบ้าง”

“ขายไก่ทอดสิ ไก่ทอดเกาหลีน่ะ”

“คงต้องเตรียมซื้อเครื่องทอดแล้วสินะ… เอาล่ะ ขอตัวกลับไปทำงานก่อน จะให้ส่งพวงหรีดตามมาทีหลังไหม?”

“ถ้ามีเงินก็เอาไปซื้อเครื่องทอดเถอะ”

จ้องอยู่สักพัก ชาโซฮีเดินกลับไปทางต้นไม้หน้าเต็นท์และลับสายตาไป

ท่ามกลางเต็นท์ที่ว่างเปล่า ยังไม่มีเครื่องเรือนใดถูกนำมาตกแต่ง

อาศัยแสงไฟสลัวที่ส่องทะลุผ้าหนาๆ ของเต็นท์ ฉันทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น

จากนั้น ฉันใช้นิ้ววาดรูปทรงที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูด

มันคือภาษารูนในรูปแบบ ‘ตัวอักษร’

ช่วงแรก ฉันต้องวาดโดยอิงจากต้นแบบ แต่หลังๆ ถึงจะหลับตาก็ไม่ใช่ปัญหา

หลังจากจบประโยคที่ดูคล้ายกับวงแหวนเวท ฉันพึมพำเสียงแผ่ว

“คาห์สkaahhz”

ถ้าจะให้แปลตรงตัวก็คงประมาณ ‘สตาร์ต’

ในเวลาเดียวกัน ผืนทรายยกตัวขึ้นประหนึ่งคลื่น ก่อตัวเป็นเมืองขนาดเล็ก

จากนั้น ไข่มุกแสงสิบสองจุดที่มีสีสันต่างกัน รายล้อมเมืองทรายไว้เป็นวงกลม

ถัดมา วัตถุคล้ายดาบลอยขึ้นจากใจกลางเมืองและหักเหทิศทาง

“…”

สมัยที่ยังเอาตัวรอดในต่างโลก นี่คือประโยคที่ทำให้ฉันใจเต้นเสมอ

ความหมายของประโยคภาษารูนที่เขียนลงไปประกอบด้วย:

『ข้าฝังดาบแห่งราชันไว้ที่นั่น อาณาจักรแห่งทองคำที่ถูกเทพทอดทิ้ง』

『ชายผู้ถือดาบแห่งราชันไว้ในมือ』

『จักประทับบนบัลลังก์ชั่วนิรันดร์』

เพ่งมองโครงสร้างปริศนาที่กว้างเท่าโต๊ะสักพัก ฉันยกหลังมือซ้ายขึ้นมาดู

บนหลังมือซ้าย รอยสักคล้ายเขี้ยวแหลมกำลังส่องแสงสีแดงสว่าง

รอยสักที่จะเกิดขึ้นชั่วคราวเมื่อกระตุ้นประโยครูนข้างต้น

ถูกสลักไว้ตอนไหน ฉันเองก็จำไม่ได้

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ความสัมพันธ์ระหว่างรอยสักบนหลังมือและไข่มุกแสงรอบเมืองทราย

เพราะหนึ่งในไข่มุกที่ส่องสว่าง มีสีแดงแบบเดียวกับรอยสัก

“…”

รอยสักและไข่มุกกำลังสอดประสาน

พวกมันเชื่อมโยงด้วยพลังที่ยากจะทำความเข้าใจ

ปริศนาของต่างโลก ตัวตนที่แท้จริงของภาษารูน

และรอยสักหลังมือที่ตอบสนองต่อภาษารูน ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าได้มาตอนไหน

เบาะแสของคำตอบทั้งหมด อยู่ใน ‘อาณาจักรทองคำ’

หัวใจของฉันเต้นระรัวอย่างมิอาจควบคุม

มันคือเหตุผลที่ฉันยังไม่ล้มเลิกการสำรวจต่างโลก

“…กิลด์นักสำรวจถูกสร้างขึ้นเพื่อค้นหาขุมทรัพย์ของราชันโบราณ”

การเริ่มต้นอันเร่าร้อน

…แน่นอน ฉันคือสมาชิกเพียงคนเดียวของกิลด์

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก , 고인물은 이계가 너무 쉽다
Score 8.9
Status: Ongoing
อ่านนิยายวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก หลังจากเอาตัวรอดในต่างโลกอย่างยากลำบากเป็นเวลานาน ในที่สุดคังซอนฮู นักผจญภัยมากประสบการณ์ก็มีโอกาสได้กลับมายังโลกมนุษย์ แต่กลับต้องพบว่า เวลาบนโลกเพิ่งผ่านไปเพียงสองปี และการสำรวจต่างโลกนั้นแทบไม่มีความคืบหน้าเลย ผู้คนแทบไม่มีข้อมูลของต่างโลก ไม่เพียงเท่านั้น ภาษารูนที่มนุษย์โลกสรรเสริญประหนึ่งเวทมนตร์ คังซอนฮูกลับใช้มันได้อย่างชำนาญราวกับภาษาแม่ แถมยังมีแวมไพร์สาวสวยปริศนา ผู้สามารถมองเห็น 'โฉม' ของดวงวิญญาณได้อีก ที่ผ่านมา คังซอนฮูใช้ชีวิตแบบใดกันแน่ และสิ่งใดอยู่เบื้องหลังการดิ้นรนเอาชีวิตรอดตลอดหลายปีของเขา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset