มะพร้าวที่คุ้นเคย 1.2
???
สภาพอากาศของยุคนี้ไม่ได้ร้อนเหมือนซ้อมตกนรกแบบในชาติเดิม ทำให้การถางหญ้าที่ควรจะกินเวลาทั้งวันก็หดสั้นลงมาเหลือแค่บ่ายคล้อย เพราะพีรพลทำงานไวจนเขียดถึงกับเอ่ยปากชม
“ข้าก็นึกว่าคนอ่อนแอเช่นเอ็งจักร้องไห้กลับกระท่อมไปเสียแล้ว”
พีรพลไม่อยากจะโม้ นี่ถ้ายังอยู่ในร่างเก่า หญ้าสูงแค่นี้เขาถางแค่ครึ่งวันก็เสร็จแล้วเถอะ แต่เพราะข้อจำกัดของร่างเดิมเขาจึงทำได้เท่าที่เห็น แต่มันก็ต้องแลกมากับรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามแขนขาพอให้ระคายผิวเนียน
พีรพลไม่ได้แต่งตัวเหมือนเขียดที่นุ่งเพียงโจงสั้นตัวเดียว เพราะเขามีทั้งโจงยาว เสื้อแขนสั้นทรงกระบอก และผ้าโพกหน้า เสื้อผ้าเหล่านี้เป็นของที่ปิ่นทองเคยให้ยายจันทร์ไว้ตอนที่ยังเป็นคุณนายเรือนเจ้าพระยา ซึ่งหลังจากที่ฟื้นขึ้นมายายจันทร์ก็นำกลับมาคืนให้ ส่วนเสื้อผ้าที่เคยใช้ตอนอยู่เรือนเมียบ่าวไอ้อีพวกนั้นมันเอาไปแบ่งกันหมดแล้วไม่เหลือสักชิ้น
“เราเอาของพวกนี้ซ่อนไว้ที่นี่แหละ ยังไงขากลับก็ต้องผ่านทางนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” พีรพลแนะนำเมื่อเห็นเขียดแบกมีดพร้ากับจอบมุ่งหน้าไปทางท่าน้ำเล็กที่มีเรือพายผูกอยู่
“ก็จริงดังเอ็งว่า ข้านี่มันโง่จริง ๆ”
เขียดด่าตัวเองแล้วก็เดินไปวางของบนบ่าลงใต้ต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง พีรพลจึงเดินตามไปแล้วปลดของลงไปวางไว้ด้วยกัน จากนั้นจึงไปหอบต้นหญ้าที่ถางไว้ก่อนหน้านี้มาสุมเพื่อไม่ให้สะดุดตาอีกที
“เอ็งหิวหรือไม่”
ระหว่างเดินไปท่าน้ำเขียดก็หันกลับมาถามด้วยความเป็นห่วง เพราะมื้อกลางวันเขากินได้เพียงนิดเดียว
“ข้าวเหนียวที่เอ็งกินมันแข็งนัก เดี๋ยววันที่ข้าเอามะพร้าวไปส่งที่เรือนใหญ่ ข้าจักแอบไปขอข้าวสารมาให้เอ็งไว้หุงกิน ข้าสนิทกับบ่าวที่เฝ้ายุ้งฉาง ขอแบ่งปันมาสักหน่อยมันคงมิสงสัยดอก”
“ขอบใจมากนะเขียด”
พีรพลไม่รู้จะตอบแทนเพื่อนคนนี้ยังไงดี เพราะตอนนี้ตัวเองก็ยังไม่เอารอด เลยได้แต่คิดว่าถ้าเริ่มทำเงินได้แล้วจะแบ่งปันให้มันบ้างรวมถึงยายจันทร์ด้วย
เขียดพาเขามาถึงริมน้ำ ตรงนี้มีท่าไม้ไผ่ยื่นลงไปพอให้พ้นแนวต้นกกและมีเรือพายเก่าคร่ำคร่าผูกอยู่ลำหนึ่ง ในลำเรือมีพายอยู่สองอันเขาจึงช่วยมันพายเพื่อให้ข้ามแม่น้ำได้ไวขึ้น เมื่ออยู่กลางแม่น้ำเขาลองชะโงกลงไปดูก็เห็นว่าน้ำใสกว่ายุคที่จากมา แล้วดูเหมือนว่าปลาจะชุกชุมด้วย
“คลองเล็กหลังกระท่อมเอ็งก็แยกไปจากแม่น้ำนี้แล ปูปลาก็พอมีบ้างแต่ไม่ชุมเท่า ปลาที่ยายจันทร์ทำให้เอ็งกินก็มาจากคลองนั้นแล”
เขียดที่นั่งอยู่ด้านหลังเห็นเขาสนอกสนใจจึงบอกกล่าวเพิ่มเติม
“อืม” พีรพลพยักหน้ารับ นี่คือสิ่งที่เขาชอบที่สุดในยุคนี้ เกือบทุกอย่างสามารถหาได้จากธรรมชาติ เรียกได้ว่าในน้ำมีปลาในมีข้าวอย่างแท้จริง
หลังจากออกแรงพายเรือกันจนข้ามแม่น้ำมาถึงอีกฟากแล้วเขียดก็เอาเรือไปผูกรวมกับของคนอื่นที่มาถึงก่อนหน้าทันที ที่ตรงนี้เป็นท่ารวมสำหรับชาวบ้านและบ่าวไพร่ ส่วนของเจ้าขุนมูลนายจะอยู่ถัดไปอีกเล็กน้อยและมีขนาดใหญ่โตโอ่โถงกว่าหลายเท่า ซึ่งมันก็ไม่ได้ใหญ่แค่ท่าน้ำเสียด้วยเพราะเรือโดยสารก็วิจิตรงดงามจนพีรพลอ้าปากค้าง
“หรูหราหมาเห่าแท้ แม่งเอ้ย อย่าให้กูรวยมั่งนะมึง”
“ไปกันเถิด เดี๋ยวมืดค่ำแล้วจักกลับลำบาก”
เขียดไม่สนใจพีรพลที่ยืนอ้าปากค้าง พูดจามิรู้ความ เพราะเขาเห็นเรือเหล่านั้นมาตั้งแต่เกิด แต่ก็เพียงแค่เห็นเพราะคิดว่ามีวาสนาได้เป็นบ่าวเฝ้าสวนก็ดีถมถืดแล้ว ดีกว่าเป็นไพร่สักเลขของทางการเป็นไหน ๆ
เส้นทางที่เขียดพาเขาเดินไปจะเรียกว่าตลาดก็ไม่เชิง เพราะถ้าเทียบกับยุคที่จากมามันก็เหมือนถนนเส้นหนึ่งที่มีร้านรวงตั้งเรียงรายตลอดสองฝั่ง ยาวไปจนกระทั่งจรดกำแพงวัด ถัดจากวัดเป็นวังของสมเด็จเจ้าพระยาพระองค์หนึ่งซึ่งเขียดบอกว่าจำชื่อไม่ได้
จำได้ก็แปลกแล้ว…แต่ละชื่อยาวพอ ๆ กับชื่อเต็มของกรุงเทพมหานครขนาดนั้น เป็นเขา เขาก็ไม่จำ!
ระหว่างทางที่เดิน พีรพลก็สำรวจที่ทางทำกินไปด้วย รวมถึงประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ส่อแววไปทางรุ่งริ่งมากกว่ารุ่งโรจน์ เพราะถนนเส้นนี้มีขายเกือบทุกอย่าง สากกะเบือยันเรือสำเภา ดังนั้นเขาจึงต้องสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องไปแย่งส่วนแบ่งกับใคร
อันที่จริงความรู้จากโลกเก่าเขาก็มีติดตัวหลายอย่าง แต่ถ้าจะให้ทำทุกอย่างก็คงไม่ไหว ดังนั้นจึงเลือกทำเฉพาะสิ่งที่ตนถนัดมากที่สุดเท่านั้น
และที่สำคัญ วัตถุดิบฟรี! รวมถึงมีให้ใช้อย่างเหลือเฟือ!
เออ หยิบยืมมาเลี้ยงชีวิต เดี๋ยวถางหญ้าเป็นค่าแลกเปลี่ยนให้ละกัน
พีรพลเริ่มวางแผนในหัวว่าจะต้องทำสิ่งไหนก่อนหลัง สิ่งไหนมี สิ่งไหนขาด คงจะต้องร้องขอให้เขียดกับยายจันทร์ช่วยเหลือด้วย เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะหาเก็บหาซื้อมาจากที่ไหน สิ่งที่รู้ตอนนี้มีเพียงต้องเริ่มอาชีพให้ไวที่สุด ไม่งั้นก็คงใช้ชีวิตต่อไปลำบาก เขาคงไม่จมปลักอยู่แค่ในท้องร่องของผู้อื่นไปตลอดชีวิตหรอก
?
“นี่เขียด เราจะหาดินเหนียวได้จากที่ไหน”
พีรพลถามคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า มือมันก็แกว่งซ้ายทีขวาทีเพื่อให้ไม้ยาวที่ถืออยู่คอยช่วยไล่สัตว์มีพิษ เพราะยามนี้เป็นเวลาผีตากผ้าอ้อมแล้ว พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่ฟากกระโน้นเพลินไปหน่อย รู้ตัวอีกทีก็เย็นย่ำ จึงรีบแจ้นกลับเรือแล้วจ้ำอ้าวข้ามฟากมา ขึ้นถ้าปล่อยให้มืดกว่านี้จะเดินกลับลำบาก ต่อให้มีคบไฟแต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะต้องเดินลัดท้องร่อง ข้ามคูน้ำเล็ก รวมถึงต้องคอยระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอต่าง ๆ อีกด้วย
“เอ็งจักเอาดินเหนียวไปปั้นหม้อ ปั้นไห เพิ่มเรอะ”
“ใช่ จะทำเตาเผาด้วย”
“เช่นนั้น วันมะรืนข้าจักพาเอ็งไปขุด ที่ตรงนั้นเป็นดินเหนียวที่บ่าวเรือนใหญ่มักจะมาขุดไปปั้นเตาในเรือนครัว”
“ขอบใจนะ”
“อืม”
เขียดมันเริ่มติดการขานรับคำเดียวแบบเขาแล้ว และเขาเองก็เริ่มสนทนาด้วยภาษาของที่นี่ด้วยเช่นกัน จะว่าไปมันก็ไพเราะและไม่ซับซ้อนดี คำไหนที่ไม่รู้จักก็อาศัยเออออตามไปก่อนแล้วค่อยไปหาความหมายในภายหลัง และคิดในแง่ดีว่าต่อให้เป็นคำด่าเขาก็ไม่เจ็บใจเพราะยังไงก็ฟังไม่รู้เรื่อง
ว่ะ ฮะ ฮ่า
?
“ฮึบ”
ปึก
เสียงหนัก ๆ ดังขึ้นเมื่อก้อนดินจำนวนหนึ่งถูกทิ้งลงบนกองที่มาถึงก่อนหน้า พีรพลแบกห่อดินจากบ่อขุดกลับมาที่กระท่อมเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็จำไม่ได้ ร่างกายที่เล็กบางเป็นอุปสรรคอย่างมากเมื่อต้องแบกของหนักไปมาเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นบ่าวใต้ผู้หลงยุคก็ไม่เคยย่อท้อ
พีรพลทำเช่นนี้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พักกินข้าวกินน้ำพอให้หายหิวแล้วเริ่มต้นทำใหม่ ใช้เวลาอยู่เกือบสิบวันจึงได้ดินเหนียวกองเท่าภูเขาย่อม ๆ กองหนึ่ง
หลังจากนั้นก็เริ่มปั้นเตาเผาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองเมตรขึ้นมาหนึ่งลูก หาไม้มาทำเสาทำหลังคาเพื่อกันฝน เสร็จแล้วก็ไปเก็บลูกมะพร้าวแห้งที่ใช้ไม่ได้มาใส่จนเต็มแล้วเริ่มจุดไฟเพื่อเผาให้เตามีความแข็งแรง จากนั้นก็เริ่มต้นทำลูกถัดไป วนเวียนจนกระทั่งครบห้าลูกตามที่ต้องการ
ระหว่างที่รอเตาพร้อมใช้งาน พีรพลก็ปั้นหม้อ ปั้นไห ปั้นชาม ปั้นทุกสิ่งอย่างไว้ใช้งานภายในกระท่อม ถึงจะมีกะลาไว้ใช้ แต่มันก็เล็กเกินไปในบางครั้ง
อยากจะได้ของใหญ่ เขียดบอกว่าต้องไปซื้อที่ตลาดหน้าวัง ที่นั่นมีหม้อดินเผาให้เลือกมากมาย อยากได้แบบไหนมีหมด
จะว่าไปมันก็น่าไปเที่ยวไปซื้อหาอยู่หรอก เผื่อจะมีช่องทางทำกินเพิ่มเติมด้วย แต่ว่าตอนนี้เขายังไปไหนไม่ได้ ไปซื้อของที่ตลาดฝั่งตรงข้ามยังทำไม่ได้เลย!
ก็ในเมื่อเขาจนกรอบแกรบ ไม่มีเงินติดตัวเลยสักอัฐ!
กระเป๋าแบนแฟนถีบหัวส่งของแท้
เห้อ…คิดแล้วเศร้า
*****