ไม่นานทั้งสามคนก็มาถึงหน้าประตูโรงเรียน พอดีกับตอนที่เสี่ยวต้านเขอเพิ่งจะลงมาจากรถ แต่หนานกงเฉวียนเป็นคนมาส่งเธอ!
ซูโยวหรานไม่ได้คิดมากเรื่องนี้ แน่นอนว่าเธอไม่รู้เรื่องความบาดหมางระหว่างสองตระกูลเช่นกัน เธอจึงพาเด็กทั้งสองเดินตรงไปหาพ่อลูก จากนั้นจึงบอกให้เด็กๆ ยื่นเค้กให้ “เวลาเจอหน้าคนที่ช่วยตัวเองไว้ต้องทำยังไงคะ ไปเลยค่ะ สุภาพบุรุษตัวน้อยทั้งสองของน้า…”
โม่จื่อเฉินอยู่นิ่งๆ ขณะที่โม่จื่อซียื่นเค้กให้กับเสี่ยวต้านเขอด้วยความจริงใจ
หนานกงเฉวียนงุนงงขณะที่ลูกสาวส่งสายตามาให้คล้ายไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี
ชั่วขณะต่อมา หนานกงเฉวียนก็เอ่ยขึ้นในที่สุด “รับมาสิลูก…”
“คุณคะ คุณสอนลูกสาวมาได้ดีเลยนะคะ”
หนานกงเฉวียนมองซูโยวหรานและเดาว่าเธอคงเป็นผู้หญิงที่มีทักษะการต่อสู้ที่น่าทึ่ง หลังจากมองเธออย่างครุ่นคิด เขาก็หยิบเค้กที่เสี่ยวต้านเขอถืออยู่ก่อนจากไป
ซูโยวหรานงุนงงกับการพบเจอกันครั้งนี้ ดังนั้นในขณะที่ขับรถกลับมาที่บ้านของฝาแฝด เธอจึงต่อสายหาถังหนิง เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลังจากได้ยินเรื่องจากซูโยวหราน ถังหนิงก็หัวเราะออกมา “เธอคงไม่ทันสังเกตหรือไม่รู้ว่าเขาเป็นใครสินะ ช่วงนี้เขาปรากฏตัวหน้ากล้องบ่อยเลยล่ะ เขาเป็นประธานกรรมการบริหารของชุนชิว หนานกงเฉวียน…
“เขาเป็นศัตรูกับตระกูลโม่”
“มิน่าล่ะ” ในที่สุดซูโยวหรานก็เข้าใจ “ถ้าอย่างนั้น ครั้งหน้าฉันก็ไม่ควรทักทายเขาเพื่อเลี่ยงความอึดอัดใจสินะคะ”
“ไม่จำเป็นหรอก เราเป็นคนที่มีเรื่องกับเขา ไม่ใช่เธอสักหน่อย” ถังหนิงหัวเราะ
“เขาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเลยนะคะ”
นี่เป็นความประทับใจแรกที่ซูโยวหรานมีกับหนานกงเฉวียน ชายซึ่งดูมืดมนและหดหู่ที่คุยด้วยยาก
แต่มันจะสำคัญอะไรละ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้องอะไรกันอยู่แล้ว…
…
แน่นอนว่าซูโยวหรานไม่ใช่เพียงคนเดียวที่รู้สึกอึดอัด คืนนั้นหลังจากกลับมาที่บ้าน หนานกงเฉวียนอุ้มเสี่ยวต้านเขอขึ้นมาบนตักก่อนเอ่ยถาม “เสี่ยวต้านเขอ พูดกับพ่อมาตรงๆ นะครับ หนูชอบเด็กผู้ชายสองคนนั้นหรือเปล่า”
“พ่อขา…” เสี่ยวต้านเขอว่าขึ้น
“ต้านเขอ พ่อไม่อยากห้ามไม่ให้หนูมีเพื่อนหรอกนะ แต่หนูจะประมาทเวลาอยู่กับเด็กผู้ชายพวกนั้นไม่ได้นะครับ ลูกต้องรู้จักปกป้องตัวเอง”
“โอเคค่ะ” เสี่ยวต้านเขอพยักหน้ารับ
หากไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อน เขาอาจจะเล็งหนึ่งในฝาแฝดให้เป็นลูกเขยของเขาไปจริงๆ แล้วก็ได้
ทว่าในตอนนี้…
“พ่อขา พ่อไม่ได้บอกว่าจะหาแม่ใหม่ให้หนูเหรอคะ ทำไมหนูยังไม่เห็นแม่เลยละ”
“หนูอยากได้แม่ยังไงละครับ แบบไหนดี อยากได้คนสวยๆ หรือว่าคนที่เล่นกับลูกได้ดีละ” หนานกงเฉวียนถามอย่างคิดหนัก
เหตุผลเดียวที่เขาต้องการจะแต่งงานใหม่คืออยากมอบครอบครัวที่สมบูรณ์ให้กับเสี่ยวต้านเขอ เขาจึงไม่ได้คิดจะหาคนที่ตัวเองชอบ เพียงต้องการใครสักคนที่เสี่ยวต้านเขอพึงพอใจเท่านั้น
“คนอย่างพี่สาวคนนั้นค่ะ ตอนที่เธอยิ้มมันอบอุ่นมากเลยนะคะ”
“พี่สาวคนไหนนะ”
“พ่อก็รู้นี่ คนนั้นไง…”
ตอนนั้นเองที่หนานกงเฉวียนนึกถึงสายตาของเสี่ยวต้านเขอที่ส่งไปให้พี่เลี้ยงของฝาแฝด คนที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ มีหน้าตาสดใสและสะอาดสะอ้าน
“คนอื่นไม่ได้เลยเหรอครับ”
“หนูคิดว่าพี่สาวคนนั้นดีมากเลยค่ะ! หนูชอบเธอ!”
ในเมื่อเสี่ยวต้านเขอชอบในตัวเธอ เขาจะทำอะไรได้ ดังนั้นในช่วงกลางดึก หนานกงเฉวียนสั่งในคนของเขาสืบประวัติของซูโยวหราน ดูเหมือนว่าในครั้งนี้เขาจะไม่มีทางเลือกนอกจากแย่งตัวคนของโม่ถิงมา
ในขณะที่ซูโยวหรานซึ่งนอนอยู่ที่บ้านไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าตัวเองได้ถูกเล็งเอาไว้แล้ว…
…
หลังจากที่ถังหนิงตัดสินใจที่จะคุยกับชิวจิ่น โม่ถิงจัดการให้มันเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามชิวจิ่นมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง เขายินดีที่จะพบกับถังหนิงแต่ห้ามโม่ถิงไปกับเธอด้วย ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาพูดอะไรกันอีก
“ท่านประธานครับ คุณต้องระวังตัวไว้นะครับ!” ลู่เช่อเอ่ยเตือน “คุณผู้หญิงไปตามลำพังมันจะอันตรายเกินไปนะครับ”
“ชิวจิ่นแค่บอกว่าห้ามฉันไปที่นั่น แต่ไม่ได้พูดว่าถังหนิงต้องไปคนเดียวสักหน่อย” โม่ถิงเล่นแง่กับคำพูดของชิวจิ่น “พอถึงเวลาก็พาคนไปคอยปกป้องเธอด้วย”
“ชิวจิ่นให้ไปเจอที่ไหนละครับ”
“สุสาน!”
ด้วยวันครบรอบวันตายของภรรยาและลูกของเขากำลังจะมาถึง สถานที่เดียวที่ชิวจิ่นยอมนัดพบกันคือที่สุสานเท่านั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางยุติสงครามของพวกเขาได้
ในท้ายที่สุดถังหนิงจึงตัดสินใจยอมลงให้ อย่างไรเสียเธอก็เป็นคุณแม่ลูกสามแล้ว เทียบกับโม่ถิง เธอไม่ได้มีเกียรติยศให้ต้องยึดถือมากมากนัก การที่เธอไปพบกับชิวจิ่นจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
อย่างไรก็ตามข่าวเรื่องการนัดพบกันลอยไปถึงหูของหนานกงเฉวียนอย่างรวดเร็ว
“ตระกูลโม่ต้องการเจรจากับลุงชิวและสะสางความขัดแย้งในอดีต แต่พวกเขาไม่รู้จักลุงชิวอย่างที่ผมรู้ คำเดียวที่อธิบายตัวตนของเขาได้ก็คือความทรมาน!”
“นายคิดว่าโม่ถิงจะอยากเจรจาเพราะเขายอมประนีประนอมจริงๆ เหรอ” หนานกงเฉวียนถาม “เขากับภรรยาก็แค่อยากคุยดีๆ ก่อนที่จะใช้กำลัง!”
“อย่างนั้นก็นั่งลงแล้วดูการแสดงเถอะครับ” ผู้ช่วยของหนานกงเฉวียนตอบ
“นายทำตามที่ฉันสั่งไว้หรือยัง” หนานกงเฉวียนเงยหน้าขึ้นและเอ่ยถาม “ได้ส่งนามบัตรไปให้ครอบครัวซูเพื่อแจ้งว่าฉันจะไปหาแล้วหรือยัง”
“ท่านประธานครับ พวกเขาจะไม่อึดอัดเพราะตัวตนของคุณเหรอครับ”
“ตัวตนอะไรละ” หนานกงเฉวียนถามกลับ
“ผมขอโทษครับ ผมพูดผิดไปแล้ว!”
“นายตามสืบประวัติของครอบครัวซูโยวหรานมาแล้ว ครอบครัวของเธอทำกับเธอย่างกับของบูชายัญ นายคิดว่าพวกเขาจะปฏิเสธฉันไหมล่ะ”
ผู้ช่วยของเขาส่ายหน้าและแค่นหัวเราะออกมา
“นายไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยดีกว่า หรือไม่ก็ไสหัวไปซะ”
แม่ของซูโยวหรานส่งเธอไปเป็นทหารเพราะไม่ต้องการให้ลูกสาวของเธอถูกรังแก แม่ของเธอพิการและถูกคนในครอบครัวซูทำเมินเฉยใส่อยู่บ่อยครั้ง หากแต่เธอก็ไม่ยอมหย่า ด้วยเหตุนี้จึงต้องติดอยู่กับพ่อของซูโยวหรานจนกระทั่งตอนนี้
ในเวลาเดียวกันพ่อของเธอไม่ได้ต้องการเสียเวลาในชีวิตไปกับการดูแลหญิงพิการ จึงจ้างคนมาดูแลเธอในขณะที่เขาหาความสุขอยู่นอกบ้าน
ชีวิตซูโยวหรานยากลำบากขนาดนี้แต่เธอก็ยังยิ้มได้อย่างสดใส ใครเป็นคนที่มอบความอบอุ่นให้เธอกันนะ
หนานกงเฉวียนอาจจะทำตัวไม่ถูกกับคนที่อบอุ่น ฉะนั้นนอกจากมันจะเป็นความคิดของเสี่ยวต้านเขอ เขาก็ไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของซูโยวหราน ที่เขาตัดสินใจเข้าไปหาครอบครัวซูโดยไม่ให้ซูโยวหรานรู้ เพื่อให้ครอบครัวของเธอรู้จักเขาและจะได้เกลี้ยกล่อมซูโยวหรานได้ง่ายขึ้น
ก่อนหน้านี้เพื่อเอาใจเสี่ยวต้านเขอ เขาได้เตรียมรายชื่อเหล่าคนดังหญิงมาหลายคน หากแต่คนที่เสี่ยวต้านเขอชอบกลับเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่สดใสคนหนึ่งเท่านั้น
เขาจึงสะสางตารางงานและตัดสินใจไปรับส่งเสี่ยวต้านเขอที่โรงเรียนทุกวันเพียงเพื่อจะได้เจอซูโยวหราน
“พ่อคะ ช่วงนี้พ่องานไม่ยุ่งจริงๆ เหรอคะ”
“ต้านเขอ ลูกไม่ได้บอกว่าอยากได้แม่เองเหรอ ถ้าพ่อเอาแต่ทำงาน จะไปหาแม่ให้หนูได้ยังไงละ” หนานกงเฉวียนถามพลางจับมือลูกสาวไว้
เสี่ยวต้านเขอหัวเราะและเข้าในเจตนาของพ่อตัวเอง “ลุยเลยค่ะพ่อ! พ่อคะ พ่อเยี่ยมไปเลย!”
จังหวะนั้นเองที่ซูโยวหรานพร้อมฝาแฝดเดินผ่านพ่อลูกไป…