เสี่ยวเชี่ยนเข้าไปในห้องครัว ศาสตราจารย์หลิวเดินเข้าไปในห้องหนังสือก็เห็นอวี๋หมิงหลางกำลังเดินหมากอยู่กับสามีเธอ
“แฟนผมล่ะครับ?” เสี่ยวเฉียงเห็นศาสตราจารย์หลิวเข้ามาจึงถามขึ้น
“ไปชงกาแฟ จริงสิ ฉันลืมบอกเสี่ยวปืนเหล็กไปเลยว่าเพิ่งซื้อเครื่องชงกาแฟมาใหม่ ไม่ค่อยเหมือนเครื่องเก่า—”
ศาสตรจารย์หลิวยังพูดไม่ทันจบก็เห็นเสี่ยวเฉียงนั่งตัวแข็งเหมือนถูกไฟช็อต จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปพลางบ่นพึมพำ
“เมียจ๋า อย่าเพิ่งทำลายอนาคต!”
“จึ๊ๆ เด็กสมัยนี้นี่รักกันปานจะกลืนกิน จะต้องตัวติดกันเกือบตลอดเวลา เหลือเกินจริงๆ” สามีศาสตราจารย์หลิวส่ายหน้าพลางขโมยตัวหมากที่เสี่ยวเฉียงเพิ่งกินไปกลับมาวางที่เดิม
ขากลับเสี่ยวเชี่ยนได้หนังสือมามากมาย ศาสตราจารย์หลิวให้เธอยืมตำราเกี่ยวกับการสะกดจิต
“เรื่องสืออวี้ต้องบอกเฉียวเจิ้นไหม?” เสี่ยวเฉียงถามเสี่ยวเชี่ยนตอนรถติดไฟแดง
เสี่ยวเชี่ยนเปิดหนังสือเล่นแล้วเงยหน้ามองสัญญาณไฟแดง “ไม่ต้องหรอก ให้สืออวี้ตัดสินใจเอาเอง”
เสี่ยวเฉียงรู้ว่าเธอยังคาใจกับเรื่องสะกดจิตในครั้งนี้อยู่ ไม่เพียงแต่จะไม่ยอมแพ้ให้คนที่มาท้าทายตัวเอง และยังรู้สึกโกรธแทนเพื่อน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มาหาศาสตราจารย์หลิวเพื่อถามข้อมูลดึกขนาดนี้
เห็นเธอดูสนใจหนังสือในมือมากเสี่ยวเฉียงก็สังหรณ์ใจว่าคืนนี้เธอต้องอยู่อ่านจนดึกดื่นแน่นอน ซึ่งมันไม่ใช่ภาพที่เขาอยากเห็น มันไม่ดีต่อสุขภาพ
ครั้นแล้วเขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณกับสืออวี้ก็กล้ามากเลยนะ สมุดโน้ตประจำตัวยังกล้าเอาให้คนอื่นดู เมียจ๋า ผมว่าจะบอกนานละ ของสำคัญแบบนั้นทำไมคุณถึงได้พกไปทุกที่เลยล่ะ? ถ้าไม่งั้นก็ซื้อเครื่องPDAมาใช้เขียนแทนแล้วก็ใส่รหัสล็อคซะ ดีกว่าเขียนในสมุดอีก”
ยุคสมัยนี้ไม่มีแท็บเล็ต เทคโนโลยีต่างๆก็ยังไม่ก้าวหน้ามาก เครื่องPDAจึงเป็นตัวเลือกต้นๆของบรรดานักธุรกิจ ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากแล้ว
“ฉันไม่ชอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มันทำให้ฉันรู้สึกตายด้าน ไม่มีแรงบันดาลใจ”
เสี่ยวเชี่ยนชอบขีดๆเขียนๆบนกระดาษมากกว่า อักษรที่เขียนจากความคิดของตัวเองที่เปลี่ยนไปเรื่อยมันทำให้สมองเธอแล่น
“งั้นถ้าอีกหน่อยมีคนอยากขโมยสมุดโน้ตคุณอีกล่ะจะทำไง?”
เสี่ยวเชี่ยนทำเสียง หึหึ “แสดงว่านายยังไม่เคยอ่านเนื้อหาในสมุดของฉันใช่มะ?”
“ของส่วนตัวแบบนั้นผมจะไปแอบอ่านได้ไง?”
ถึงทั้งสองคนจะเป็นสามีภรรยากัน แต่เสี่ยวเฉียงก็รู้ว่าของสิ่งไหนแตะต้องได้ สิ่งไหนไม่ควรยุ่ง คู่รักต่อให้รักกันมากกว่านี้ก็ต้องให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนตัว
“นายอ่านดูก็จะรู้เอง”
เสี่ยวเชี่ยนหยิบสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดหน้าช่องทางการติดต่อด้านหลัง พอเสี่ยวเฉียงอ่านก็ขำออกมา
“เมียจ๋า นี่คุณให้ค่าลิขสิทธิ์ผมยัง?”
ด้านหลังที่ไว้เขียนช่องทางการติดต่อมีตัวเลขที่ไม่เกี่ยวข้อง มีเรื่องงานที่ออกแนวประหลาดถูกเขียนไว้ หรือแม้กระทั่งบางข้อความก็เป็นแค่สัญลักษณ์
มิน่าล่ะเธอถึงไม่แคร์เรื่องสมุดโน้ตถูกขโมย เพราะในนั้นมีโค้ดลับที่เธอรู้อยู่คนเดียว ต่อให้มีคนได้สมุดเล่มนี้ไปก็อ่านไม่เข้าใจ นอกจากวิธีติดต่อของสุ่ยเซียนที่ถูกเขียนไว้อย่างเปิดเผย ของคนอื่นถูกปิดเป็นความลับหมด
สาเหตุที่เมื่อกี้เสี่ยวเฉียงถามว่าให้ค่าลิขสิทธิ์เขาหรือยัง เพราะวิธีนี้เขาเคยใช้กับเธอเวลาเขียนจดหมายให้ในช่วงแรกๆ ตอนนั้นทั้งสองคนยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน เสี่ยวเฉียงกลัวคนในครอบครัวเสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าเขามาจีบเธอจึงใช้วิธีใช้โค้ดลับแบบนี้
แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวข้อมูลจะรั่วไหล และเธอก็จะได้ไม่ลืมเขาด้วย คนที่ทำตัวได้เป็นเอกลักษณ์ยากจะลืมแบบนี้ก็มีแค่อวี๋เสี่ยวเฉียงมนุษย์พิสดารนี่แหละ เสี่ยวเชี่ยนเห็นแล้วก็เลยขอเอาวิธีนี้มาใช้บ้าง
“โค้ดลับในนี้บางอันต้องไปหาในหนังสือที่ฉันอ่านวันนั้น บางอันเป็นแค่สัญลักษณ์ที่มีแต่ฉันเข้าใจ ฉันเปลี่ยนหนังสืออ่านไปเรื่อย สัญลักษณ์ที่ใช้ก็ใช่ว่าจะเหมือนกันตลอด ดังนั้นนอกจากฉันแล้วก็ไม่มีใครหรอกที่จะถอดรหัสพวกนี้ได้ ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมคนพวกนี้ถึงได้โง่ขนาดนี้ คิดเหรอว่าวิธีแบบนี้จะล้มฉันได้”
“คุณจะปล่อยคนๆนั้นไปแบบนี้เหรอ?” อวี๋หมิงหลางหมายถึงคนที่อยากซื้อสมุดโน้ตของเธอ
“เขาไม่มีค่าอะไรให้ฉันสนใจแล้ว”
ถึงคนบงการที่อยู่เบื้องหลังจะทำตัวอวดดี แต่ก็มีคำพูดหนึ่งที่เขาพูดถูก
เขาก็แค่มาขอซื้อสมุดบันทึก ถ้าไปแจ้งตำรวจก็ไม่ได้เกิดผลดีอะไรกับเสี่ยวเชี่ยนเท่าไร
นักบำบัดจิตใจสามารถกำหนดราคาได้อย่างอิสระ ทางการไม่ได้เข้ามาควบคุม แต่ลูกค้าของเธอมีแต่บุคคลระดับที่ต้องเก็บเป็นความลับทั้งนั้น ถ้าไปแจ้งตำรวจจริง เงินค่ารักษาจำนวนมากขนาดนี้หากเป็นคดีขึ้นมาก็จะลือกันไปใหญ่จนควบคุมได้ยาก ข้างนอกมีคนที่ชอบทำตัวเป็นแม่พระจอมปลอมแทรกอยู่เยอะแยะ ถ้าเรื่องบานปลายไปจนต้องเปิดเผยข้อมูลของลูกค้าเธอ มันก็จะมีแต่เสียกับเสีย
“ในเมื่อไม่อยากใช้ช่องทางกฎหมาย แล้วคุณให้ไป๋จิ่นมาถ่ายรูปไปทำไม?”
“อีกหน่อยอาจได้ใช้ นายวางใจเถอะ ต่อให้ฉันไม่อาศัยกฎหมายเอาผิด ฉันก็ไม่ใช้วิธีผิดกฎหมายล้างแค้นตาแก่เฮงซวยนั่นหรอก”
เธอจะใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองปกป้องศักดิ์ศรี
“ผมไม่ได้สนเรื่องนั้นคุณก็รู้” ตอนนี้เขาไม่กังวลเรื่องเสี่ยวเชี่ยนจะใช้วิธีสุดโต่ง ถ้าขนาดเธอยังไม่รู้จักหนักเบา โลกนี้ก็ไม่มีใครน่าเชื่อถืออีกแล้ว
“ทำหน้าเครียดทำไม ฉันไม่ใช่คนที่จะยอมเสียเปรียบสักหน่อย วางใจเถอะ ก่อนฉันจะเริ่มการแก้แค้นอย่างเป็นทางการ ฉันจะใช้วิธีทำให้พวกมันแตกคอกันเองก่อน หมอนั่นพอกลับไปเจ้านายก็ไม่ไว้ใจเหมือนเดิมแล้ว อีกอย่างระหว่างที่พวกนั้นกำลังแตกคอกัน ฉันก็จะอาศัยเวลาช่วงนี้ศึกษาเรื่องสะกดจิตจิตให้เข้าใจ—”
สายตาเสี่ยวเชี่ยนมุ่งมั่น เธอต้องทำให้หมอนั่นได้รับผลกรรมเสียบ้าง!
“ให้พี่ใหญ่ลงมือเถอะ ยังไงเขาก็ว่างอยู่”
“ฉันอยากใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองเอาชนะ แต่ฉันต้องใช้เวลา”
เสี่ยวเชี่ยนยังไม่นึกถึงเรื่องจะให้พี่ใหญ่แก้แค้นแทน ในใจเธอมีแผนบ้าระห่ำระยะยาว มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีทางอาชีพ
คนพวกนั้นใช้ความรู้ในสาขาเดียวกันตบหน้าเธอ ความแค้นนี้ก็ต้องใช้ความรู้ตบกลับไป เพียงแต่มันจำเป็นต้องใช้เวลา
เธอต้องพยายามให้มากกว่าเดิม
ถ้าให้พี่ใหญ่ช่วยล้างแค้นให้เห็นผลไวกว่าก็จริง แต่มันสะใจน้อยกว่ากันเยอะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีล้วนๆ
“คนดวงซวยที่น่าสงสาร…” อวี๋หมิงหลางส่ายหน้า
“ชีอวี่เซวียนพูดไว้ถูกอยู่ประโยคนึง ทำลายศัตรูต้องเอาให้สิ้นซาก คราวก่อนฉันใจอ่อนเกินไป แค่เอาเรื่องลูกชายเขาไปบอกฝ่ายหญิง เลยเหลือโอกาสให้เขาหันกลับมาเล่นงานฉัน”
บทเรียนในครั้งนี้เสี่ยวเชี่ยนได้สรุปเอาไว้สั้นๆ จะไม่มีครั้งหน้าอีก
คนพวกนี้ได้ทำลายความเมตตาในใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่า บีบให้เธอต้องจัดการขั้นเด็ดขาดชนิดที่ไม่ต้องเหลือที่ไว้ให้ยืน!
ประโยคเดียวของชีอวี่เซวียนได้เปลี่ยนแปลงเสี่ยวเชี่ยนไปมาก ถึงแม้ตัวเธอเองจะไม่อยากยอมรับ แต่นี่ก็เป็นความจริง
ชักธงรบแล้วจะไม่มีทางถอยหลัง เธอไม่เชื่อหรอกว่าหากไม่มีชีอวี่เซวียนเธอจะล่อผู้ชายที่ใช้นามแฝงว่าแมวหลีฮวาไม่ได้!
ก็แค่ไม่รู้ว่าองค์กรลับที่อาจารย์พูดถึงเกี่ยวข้องอะไรกับตาแมวหลีฮวานี่หรือเปล่า?
เดี๋ยวกลับไปค่อยให้สุ่ยเซียนสืบ ดูซิว่าคนระดับสุ่ยเซียนจะสามารถล่อให้องค์กรลึกลับนั่นเคลื่อนไหวได้ไหม
เสี่ยวเชี่ยนเตรียมปิดหนังสือ ในขณะที่หนังสือกำลังจะถูกปิดเข้าหากันนั้น ทันใดนั้นสายตาเธอก็เหลือไปเห็นข้อความบรรทัดหนึ่ง
“เสี่ยวเฉียง เปิดไฟในรถหน่อย!”