หนึ่งร้อยสี่สิบห้า
ให้ผู้อื่นรับกรรมแทน
เสวี่ยเจียเยว่มองแผ่นหลังของสตรีที่เดินจากไปด้วยความเดือดดาล ก่อนจะหันกลับมาถามเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างอดไม่ได้ “นางเป็นใครหรือ”
ในใจเธอเริ่มคาดเดาฐานะของเฉินอ๋าวเหมย แต่น่าเสียดายที่วันนี้เธอได้พบนางเพียงสองครั้ง แล้วจะคาดเดาได้อย่างไร กระนั้นเธอก็คิดว่าสตรีผู้นั้นต้องรู้จักเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะรู้เรื่องที่เธอกับเขาเป็นพี่น้องกันได้อย่างไร และเมื่อครู่นางก็เดือดดาลเพราะเห็นพวกเขาใกล้ชิดกัน
“ข้าไม่รู้” เสวี่ยหยวนจิ้งส่ายหน้า “นอกจากครั้งแรกที่พบนางในเมืองผิงหยางแล้ว ข้าก็ไม่เคยเห็นนางอีกเลย”
แต่เสวี่ยเจียเยว่กลับไม่เชื่อ “ท่านเห็นท่าทางของสตรีเมื่อครู่ใช่หรือไม่ เห็นได้ชัดว่านั่นคืออาการหึงหวง หากนางไม่รู้จักท่าน นางจะหึงที่พวกเราทำเช่นนั้นได้อย่างไร พวกท่านสองคนต้องรู้จักกันแน่ๆ ข้าเกรงว่าพวกท่านต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เธอก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะเอ่ยด้วยความโกรธ “เสวี่ยหยวนจิ้ง! เจ้าโกหกข้า”
ด้วยความเดือดดาล แม้แต่คำว่า ‘ท่านพี่’ เธอก็ไม่เรียก แต่กลับเรียกชื่อของเขาแทน
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้โกรธเด็กสาว เขาเพียงก้มหน้าลงมองอีกฝ่าย นัยน์ตาคู่นั้นเป็นประกายด้วยความอบอุ่น
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเช่นนั้นยิ่งเดือดดาลนัก จากนั้นเธอก็หยิกเอวของเขาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเร่งเร้า “รีบบอกมา เจ้ากับสตรีเมื่อครู่เกี่ยวข้องอะไรกัน”
เป็นเพราะในใจของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ เรี่ยวแรงจึงมีมากกว่าเดิม แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่แม้แต่จะหลบ เพียงปล่อยให้เธอหยิกเช่นนั้น กระทั่งยังโน้มตัวไปข้างหน้าและมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม
“นี่เจ้า… หวงข้าหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อได้สติกลับมาเธอก็รู้สึกเขินอายทันที และรีบเก็บมือกลับมา ไม่คิดจะหยิกเขาต่อ ทว่าก็ยังไม่วายเอ่ยโต้แย้ง
“ข้าหวงเจ้าที่ไหนกัน ข้าไม่ได้หวงเจ้าเลยสักนิด ข้าแค่… ข้าแค่อยากรู้เท่านั้น”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้คาดคั้นเด็กสาวอีก ได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน จากนั้นก็แบกอีกฝ่ายขึ้นหลังแล้วหันกลับไปกล่าว “เยว่เอ๋อร์ เจ้าหวงข้า ข้าดีใจยิ่งนัก”
หากในใจของเสวี่ยเจียเยว่ไม่มีเขา แล้วจะมีความหึงหวงได้เยี่ยงไร
เขาแบกเด็กสาวเดินออกไปข้างนอก ทั้งยังเอ่ยอธิบายขึ้นมาอีก “เจ้าแค่ทำใจให้สบายก็พอแล้ว สตรีเมื่อครู่ข้าไม่รู้จักจริงๆ รวมวันนี้แล้ว ข้าเองก็เพิ่งได้พบนางแค่สองครั้งเหมือนกับเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่ฟังเช่นนั้นก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก กระนั้นเธอก็ยังรู้สึกหงุดหงิดไม่หาย สงสัยว่าสตรีเมื่อครู่นี้จะเป็นหนึ่งในสิบสองหญิงงามหรือไม่ แล้วนางรู้จักเสวี่ยหยวนจิ้งได้อย่างไร
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็บอกว่าเท้าของตนไม่เจ็บปวดแล้ว อยากจะเดินด้วยตัวเอง แต่เสวี่ยหยวนจิ้งยังยืนกรานว่าจะแบกต่อ
“แม้ว่าตอนนี้จะไม่เจ็บแล้ว แต่ถ้าพลิกอีกจะทำอย่างไร ให้ข้าแบกเจ้าจนถึงนอกวัดเถอะ แล้วเราค่อยจ้างรถม้ากลับไป”
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าที่เขาพูดมาก็มีเหตุผล จึงปล่อยให้ชายหนุ่มแบกเธอเดินต่อไป
ทันใดนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็หยุดเดินกะทันหัน แล้วหันกลับไปมองเด็กสาว
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขามีท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมาฉับพลันจึงตกใจไม่น้อย จนต้องรีบเอ่ยถาม “ท่านพี่ เป็นอะไรไปเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่ามีคนกำลังแอบมองพวกเขาอยู่ด้านหลัง แต่พอเขาหันกลับไปแล้วกวาดตามองจนทั่วก็ไม่เห็นใครสักคน เมื่อมองไปที่ประตูหน้าต่างของห้องรับแขกทุกห้องก็เห็นว่าปิดสนิท ใจจริงเขาอยากจะเดินเข้าไปดูให้ทั่ว แต่ตอนนี้เขายังแบกเสวี่ยเจียเยว่อยู่ กลัวว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะทำให้เด็กสาวบาดเจ็บ จึงส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา “ไม่มีอะไร”
เมื่อเขากล่าวจบก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
พวกเขาผ่านวิหารหลังเล็กหลายหลัง จนกระทั่งมาถึงวิหารใหญ่นั่นก็คือสถานที่ที่พวกเขาสักการะขอพรเทพเจ้า
แต่บรรยากาศกลับแตกต่างจากเมื่อครู่ เพราะตอนนี้ในนั้นมีคนกำลังส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย
คุณชายผู้หนึ่งสวมชุดผ้าแพรสีทองอ่อนยืนกางแขนขวางทางแม่นางคนหนึ่งอยู่ แม่นางผู้นั้นดูเหมือนจะโกรธมาก เพราะหลบอยู่หลายครั้งก็หลบไม่ได้ จึงสะบัดมือตบไปที่ใบหน้าของคุณชายผู้นั้นอย่างแรง
ชายหนุ่มไม่ทันระวังตัว เมื่อถูกตบเช่นนั้นเขาก็ถอยหลังไปหลายก้าวและเดือดดาลยิ่งนัก ก่อนจะตะโกนเรียกบ่าวรับใช้ของตน
“นางคนชั้นต่ำ เจ้ากล้าตบข้าอย่างนั้นหรือ พวกเจ้ายังไม่รีบล้อมตัวนางเอาไว้อีก วันนี้ข้าจะทำให้นางรู้ว่าความร้ายกาจมันเป็นอย่างไร”
บ่าวรับใช้เหล่านั้นรับคำสั่งแล้วรีบล้อมนางเอาไว้ และตอนนี้เองเสวี่ยเจียเยว่ก็เห็นใบหน้าด้านข้างของนาง เธอจำได้ทันทีว่านางคือคนที่ด่าตนกับเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อครู่
นี่มันเรื่องอะไรกัน…
สาวใช้ที่ติดตามสตรีผู้นั้นมาด้วยเห็นเหตุการณ์ไม่สู้ดี จึงรีบตะโกนใส่คุณชายที่มีท่าทางเกรี้ยวกราด “เจ้ารู้หรือไม่ว่านายท่านของข้าคือใคร นายท่านของข้าคือผู้ตรวจการเมืองผิงหยาง อีกไม่กี่วันก็จะรับตำแหน่งขุนนางที่เมืองหลวงแล้ว เจ้าทำตัวระรานคุณหนูข้าเช่นนี้ หากนายท่านรู้ เขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้น เขาก็มองพิจารณาเฉินอ๋าวเหมยตั้งแต่ศีรษะจดเท้า จากนั้นเขาคิดจะยกมือเชยคางของนางขึ้น แต่เป็นเพราะหญิงสาวกำลังเดือดดาล นางจึงยกมือขึ้นเพื่อจะตบเขา ทว่าคนที่เพิ่งถูกตบจะยอมให้นางตบอีกได้อย่างไร
เขาไม่เพียงหลบฝ่ามือของเฉินอ๋าวเหมยได้เท่านั้น แต่ยังจับคางของนางด้วยสองนิ้วโดยไม่สนใจการขัดขืน พร้อมกับมองหน้านางทั้งซ้ายและขวา
“พ่อของเจ้าคือผู้ตรวจการแซ่เฉินผู้นั้นน่ะหรือ เมื่อวานเขาเพิ่งมาหาพ่อของข้า ท่าทางของเขาตอนที่อยู่ต่อหน้าพ่อข้า ข้าว่ามันต่ำต้อยยิ่งกว่าสุนัขตัวหนึ่งเสียอีก”
เมื่อครู่เฉินอ๋าวเหมยยังคงดิ้นรนขัดขืน แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้นางก็ถึงกับตะลึงงัน
นางจำได้ว่าเมื่อวานบิดาของตนบอกว่าจะไปคารวะเซี่ยโส่วฝู เมื่อปะติดปะต่อกับคำพูดของคนตรงหน้า…
เซี่ยเทียนเฉิงมองใบหน้าของเฉินอ๋าวเหมยอย่างละเอียด จากนั้นก็จุ๊ปากสองครั้งแล้วกล่าวสรุป “หน้าตางดงามดี นิสัยก็ดูใจร้อน ตรงตามแบบที่ข้าชอบเสียด้วย” เมื่อกล่าวจบเขาก็สัมผัสแก้มของนางเบาๆ
เฉินอ๋าวเหมยทั้งโกรธทั้งกลัว ไม่ว่านางจะเคยเย็นชาและทะนงตัวแค่ไหนในเวลาปกติ แต่ก็ไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้ เมื่อได้ยินคนผู้นี้กล่าวเมื่อครู่ ก็รู้ได้ว่าเขาคือบุตรชายของเซี่ยโส่วฝู นางจะเอาตำแหน่งของบิดาตนมาข่มเขาได้อย่างไร
นางก้าวถอยหลังทันทีเพื่อหลบมือของเซี่ยเทียนเฉิง และตั้งสติก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านพ่อ… ท่านพ่อของเจ้าคือเซี่ยโส่วฝูกระนั้นหรือ”
เซี่ยเทียนเฉิงยิ้มพลางเดินเข้าไปใกล้นาง “เจ้าฉลาดเหมือนกันนี่ เป็นแบบนี้สิถึงจะดี เจ้าคิดว่าฝ่ามือที่เจ้าตบข้าเมื่อครู่นี้ ข้าจะคิดบัญชีอย่างไร”
เฉินอ๋าวเหมยคิดหาวิธีรับมืออย่างรวดเร็ว น้ำเสียงของนางอ่อนลง ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อครู่“ข้า… ข้าน้อยผิดเอง มีตาหามีแววไม่ เดินไม่ระวังจนชนคุณชาย คุณชายได้โปรดเห็นแก่ท่านพ่อของท่านและท่านพ่อของข้าที่มีตำแหน่งขุนนางเช่นกัน ขอท่าน… ขอท่านอย่าถือสาหรือโกรธเคืองข้าน้อยเลยนะเจ้าคะ”
“จะให้อภัยเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” เซี่ยเทียนเฉิงยกมือขึ้นสัมผัสแก้มที่ถูกตบเมื่อครู่ด้วยรอยยิ้ม นิ้วหัวแม่มือของเขานั้นสวมแหวนมรกตแวววาวคล้ายน้ำสีเขียว มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาไม่ใช่น้อย “ข้าโตมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยเห็นสตรีหน้าตางดงามเช่นเจ้าเลย จะบอกว่างามจนล่มบ้านล่มเมืองก็ยังได้ ไหนเลยจะลงโทษเจ้าได้ลงคอ ข้าไม่อาจทำให้เจ้าเจ็บปวดได้”
จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเฉินอ๋าวเหมยพลางจุ๊ปาก ก่อนจะหันไปกล่าวกับพวกบ่าวรับใช้ของตนด้วยรอยยิ้ม “ผิวก็เนียนนุ่มยิ่งนัก อย่างกับน้ำเต้าหู้”
เมื่อบ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ ทั้งยังเอ่ยยกยอเซี่ยเทียนเฉิง
เฉินอ๋าวเหมยเดือดดาลจริงๆ ขณะเดียวกันนางก็หวาดกลัวด้วย ทว่าหญิงสาวเข้าใจดี เซี่ยโส่วฝูคือขุนนางที่มีอำนาจมาก และเป็นจั้วซือ[1] ของบิดานางเช่นกัน ในภายภาคหน้าเส้นทางขุนนางของบิดานางยังต้องขึ้นอยู่กับเขา นางจะล่วงเกินบุตรชายของเขาได้อย่างไร
แต่ตอนนี้เซี่ยเทียนเฉิงกลับทำให้นางอับอายเช่นนี้…
เฉินอ๋าวเหมยแอบกัดฟันและถอยหลังอย่างเงียบๆ สายตาก็สอดส่ายไปรอบๆ เพียงหวังว่าจะสามารถวิ่งหนีไปจากตรงนี้ตอนที่เซี่ยเทียนเฉิงเผลอ และกลับไปบอกเรื่องนี้แก่บิดามารดา
จากนั้นหญิงสาวก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ข้างต้นการบูรที่มีอายุกว่าร้อยปี มองมาที่นางด้วยสีหน้าเย็นชาราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน และเสวี่ยเจียเยว่ก็อยู่บนหลังของเขา เด็กสาวกำลังมองมาที่นางด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาเห็นท่าทางจนตรอกของนางแล้ว ทว่ายืนมองอยู่ตรงนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาห้ามเซี่ยเทียนเฉิงแม้แต่น้อย
เฉินอ๋าวเหมยรู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก มือที่สั่นเทาเพราะความเครียดและหวาดกลัวกลายเป็นกำแน่นด้วยความโกรธทันที
ทันใดนั้นความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาในหัวของนางอย่างรวดเร็ว จึงหันไปกล่าวกับเซี่ยเทียนเฉิง “คุณชายเซี่ย เมื่อครู่นี้ข้ารู้สึกละอายยิ่งนักที่ท่านบอกว่าข้างดงามกว่าใคร ข้าเองก็จะไม่ปิดบังท่าน แม้ว่าเมื่อก่อนนั้นข้าจะรู้สึกว่าใบหน้าของข้างดงาม แต่พอเห็นสตรีนางหนึ่งเมื่อครู่ ใบหน้านางกลับงดงามไม่มีใครเปรียบ ความงามเช่นนั้นต่างหากถึงจะเรียกว่างดงามล่มบ้านล่มเมือง”
เซี่ยเทียนเฉิงคิดว่าความงามของเฉินอ๋าวเหมยถือว่าหาได้ยากยิ่งในใต้หล้านี้ และไม่มีสตรีใดงดงามเท่านางอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเขาจะยอมให้คนตบโดยไม่เอาคืนได้อย่างไร แต่เมื่อได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนั้น เขาก็รีบเอ่ยถาม “จริงหรือ แล้วสตรีผู้นั้นอยู่ที่ใดเล่า”
เฉินอ๋าวเหมยชี้ไปที่เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ “คุณชายเซี่ยเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้ต้นการบูรนั่นหรือไม่ แม่นางที่อยู่บนหลังชายผู้นั้นงดงามหาใครเปรียบเจ้าค่ะ”
เซี่ยเทียนเฉิงรีบหันไปมองทันที แม้ว่าจะเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าสตรีผู้นั้นมีใบหน้างดงามหมดจดไม่น้อย เขาจึงไม่สนใจเฉินอ๋าวเหมยอีกต่อไป และโบกมือเรียกเหล่าบ่าวรับใช้ให้เดินตามไปด้วย
หลิวเอ๋อร์เห็นเซี่ยเทียนเฉิงกับบรรดาบ่าวรับใช้ของเขาเดินจากไปแล้ว ก็คิดจะพาเฉินอ๋าวเหมยไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว ทว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้านายยังยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม และยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
แม้ว่าเฉินอ๋าวเหมยจะไม่ชอบเสวี่ยเจียเยว่ แต่ตอนที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกในร้านซู่ยวี่เซวียน ทั้งที่นางเองก็เป็นสตรี ยังต้องยอมรับว่าแววตาของตนในตอนนั้นมีเพียงความตกตะลึงเพราะเห็นความงาม และคุณชายเซี่ยผู้นี้ก็หน้าตาหล่อเหลา หากเขาเห็นใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แล้ว เขาจะต้องหลงเสน่ห์เด็กสาวจนต้องลงมือแย่งชิงอย่างแน่นอน เขาเป็นถึงบุตรชายของเซี่ยโส่วฝู เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเพียงชายหนุ่มที่ไม่มีอำนาจ เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะปกป้องน้องสาวหน้าไม่อายผู้นั้นอย่างไร
สิ่งใดที่เฉินอ๋าวเหมยถูกใจแต่นางไม่ต้องการแล้ว สิ่งนั้นก็ต้องถูกทำลาย เช่นเดียวกับในยามนี้ นางไม่มีทางปล่อยให้เสวี่ยหยวนจิ้งไปเป็นของคนอื่นเด็ดขาด
[1] คำเรียกหัวหน้าผู้รับผิดชอบดำเดินการสอบไล่ในสมัยจีนโบราณ