บทที่ 461 อิจฉาลูก
ถึงมันจะเป็นเพียงของชิ้นเล็กๆ แต่ก็ทำให้เจี่ยงเฉวียนมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ไร้ขีดจำกัด หลังจากผลิตพวกมันมาพักใหญ่ ยังไม่มีผู้ใดในโรงงานที่ไม่ชอบเลยสักคน ลูกๆ ของคนงานแต่ละคนล้วนแต่มีของเล่นหนึ่งหรือสองชิ้นกันทั้งนั้น ของเล่นพวกนั้นเหล่าคนงานเป็นคนทำให้ลูกๆ หลังจากเสร็จงานของตน
เฉียวเทียนช่างถูกขวางตอนที่เขาเข้าไปด้านใน แต่เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเป็นเขา ก็ปล่อยให้เข้าไป “ท่านแม่ทัพ ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ”
“ใช่ ว่าแต่เจ้าคุ้นเคยกับที่นี่หรือยัง” คนที่ทำหน้าที่รักษาประตูเคยเป็นลูกน้องของเฉียวเทียนช่างมาก่อน
“คุ้นแล้วขอรับ ลูกของข้าก็กำลังเล่าเรียนอยู่ที่สถานศึกษาสถานศึกษาข้างๆ นี่เอง ภรรยาของข้าก็ทำงานในโรงงานนี้ พวกเรากินนอนกันข้างในนี้ มันสะดวกสบายยิ่งนักขอรับ” ข้างในมีทุกอย่างพร้อมสรรพ มีส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัย มีส่วนที่เป็นร้านค้า ร้านขายผัก และยังมีแผงลอยอีกมากมาย ทุกอย่างถูกตั้งขึ้นโดยกลุ่มคนที่ไม่สามารถทำงานภายในโรงงานได้
พวกเขาจะซื้อผักมาจากชาวนาชาวไร่ด้านนอก หรือไม่ก็ซื้อที่ดินซึ่งอยู่ติดกับโรงงานสักสองหรือสามหมู่เพื่อปลูกผัก เลี้ยงสัตว์และนำพวกมันไปขายต่อ และยังมีคนมากมายที่ทำงานในโรงงาน ในหนึ่งเดือนพวกเขาหารายได้ได้เป็นกอบเป็นกำ ชีวิตแต่ละวันของพวกเขาค่อยๆ ดีขึ้นทีละน้อย
เฉียวเทียนช่างฟังสิ่งที่เขาพูดแล้วก็รู้สึกโล่งใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็โล่งใจ”
“ข้าจะเข้าไปดูข้างในหน่อย”
“ขอรับ”
เฉียวเทียนช่างตรงเข้าไปในสถานที่ทำงาน ทุกคนด้านในกำลังยุ่งอยู่ ไม่มีใครอู้งานสักคน
หลังจากยืนตรงทางเข้าอยู่ครู่หนึ่ง เฉียวเทียนช่างจึงมุ่งหน้าไปยังโรงเก็บของ สินค้าด้านในล้วนแต่ถูกคัดแยกประเภทอย่างดี ทุกชิ้นถูกทำสัญลักษณ์เอาไว้ว่ามันเก็บไว้ตรงไหน
หลังจากเดินไปรอบๆ เฉียวเทียนช่างถึงเห็นว่าทุกอย่างถูกบรรจุใส่หีบห่อเป็นอย่างดี เขารู้สึกวางใจ
ตอนที่เขาออกมาจากโรงงานนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว หนิงเมิ่งเหยาเพิ่งจะตื่นตอนที่เขากลับไป นางนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกและกำลังถักเสื้อให้ลูกอยู่
เฉียวเทียนช่างมองชุดในมือนาง เขารู้สึกจนใจ “ไม่ใช่ว่าเสื้อผ้ามีเยอะแล้วหรือ ทำไมเจ้าต้องเย็บเพิ่มด้วย”
“ข้าไม่มีอะไรทำนี่ อันก่อนหน้านี้ข้าเตรียมไว้ให้ลูกตอนเพิ่งเกิด แต่อันนี้ข้าทำเผื่อไว้ตอนที่เขาโตขึ้น” นางตัดสินใจแล้วว่านางจะเป็นผู้เย็บเสื้อผ้าให้กับลูกเอง
เฉียวเทียนช่างรู้สึกเศร้าเล็กน้อย “แล้วของข้าล่ะ พอมีลูกเจ้าก็ลืมข้าแล้วหรือ”
“เจ้าอิจฉาลูกตัวเองหรือ” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกขบขัน นางมองเฉียวเทียนช่าง บนใบหน้ามีรอยยิ้มหยอกเย้าปรากฏขึ้น
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าเคยได้มาก่อน” มันเป็นความจริง ตั้งแต่ที่พวกเขาแต่งงานกัน เสื้อผ้าทั้งหมดของเขานั้นหนิงเมิ่งเหยาจะเป็นผู้เย็บให้ นางไม่เคยปล่อยให้คนอื่นทำเลยสักครั้ง ถึงหนิงเมิ่งเหยาจะไม่ได้เย็บชุดให้ตัวเอง แต่นางก็ไม่เคยลืมเขา
ตอนนี้ชุดของลูกเยอะพอแล้ว นางเตรียมชุดไว้ให้ลูกเสียมากมายขนาดนี้ แต่กลับไม่มีของเขาเลยแม้สักชุด แล้วจะไม่ให้เขานึกอิจฉาได้อย่างไร
พอมองเฉียวเทียนช่าง หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางยื่นมือไปบีบแก้มเขา “เจ้านี่นะ ชุดอยู่ในห้อง เจ้าไปดูเองสิ”
นางจะไม่เตรียมชุดไว้ให้เฉียวเทียนช่างได้อย่างไร นางยังออกแบบเอาไว้เป็นรุ่น เสียด้วยซ้ำ ชุดนี้สำหรับใส่คู่กับลูก ใครบางคนต้องชอบแน่
เมื่อคิดเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยาก็กว้างขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเฉียวเทียนช่างได้ยินเช่นนั้นก็พอใจ เขาเงยหน้าขึ้นหอมแก้มหนิงเมิ่งเหยา จากนั้นจึงลุกขึ้นและก้าวยาวๆ เดินออกไป เมื่อเห็นท่าทางเร่งรีบของเขา หนิงเมิ่งเหยาก็รู้สึกระอา
เมื่อเฉียวเทียนช่างกลับมาที่ห้อง เขาเปิดตู้เสื้อผ้าข้างผนังดู เขาพบว่ามีเสื้อผ้าใหม่หลายชุดแขวนเอาไว้ด้านใน กระทั่งรองเท้าของเขาก็ยังถูกเตรียมเอาไว้ในด้านล่าง
อารมณ์ของเฉียวเทียนช่างพลันแจ่มใสขึ้นหลังจากเห็นชุดและรองเท้าพวกนั้น เขาปิดตู้เสื้อผ้าและลงบันไดไปชั้นล่าง จากนั้นจึงนั่งข้างๆ หนิงเมิ่งเหยาเพื่อพูดคุยกับนาง
พวกเขาเพิ่งกลับมาถึงวันนี้ และยังไม่ได้คิดที่จะออกไปข้างนอกเพื่อเยี่ยมเยียนผู้ใด
เช้าวันถัดมา หนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างออกจากบ้านพร้อมกับของฝากหลายชิ้นในมือ
แน่นอนว่าที่แรกที่พวกเขาไปคือบ้านของหยางจู้
“ลุงหยาง ป้าหยาง พวกท่านวุ่นวายเรื่องอะไรอยู่หรือ”
นางหยางหันหน้าไปมองและตกใจเมื่อเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยากลับมาแล้ว “อุ๊ย เมิ่งเหยา เจ้ากลับมาแล้วหรือ จะคลอดหรือยังล่ะ”
“อีกสองเดือนจึงจะคลอด” หนิงเมิ่งเหยายกมือขึ้นลูบท้องตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มของคนเป็นแม่อยู่บนใบหน้า
นางหยางพยักหน้า “รีบมานั่ง”
หนิงเมิ่งเหยานั่งลง นางมองไปรอบๆ และเห็นว่าบ้านเพิ่งจะต่อเติมใหม่ บ้านนี้ก็มีสองชั้นเช่นกัน แต่ชั้นบนนั้นมีเพียงห้องใต้หลังคาเท่านั้น
“พี่ใหญ่หยางกับคนอื่น ๆ ไปไหนเสียล่ะ”
“สองคนนั้นออกไปทำงานที่โรงงาน ส่วนจื้อเอ๋อร์กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงงานเหมือนกัน”
บทที่ 462 อาชีพชั้นต่ำ
นับตั้งแต่ที่สถานศึกษาและโรงงานถูกสร้างขึ้น หยางจื้อก็เลิกไปเรียนในมือง แต่กลับมาเรียนที่สถานศึกษาใกล้บ้านแทน
หนิงเมิ่งเหยาเข้าใจทันทีหลังจากได้ฟังดังนั้น “การเรียนของจื้อเอ๋อร์เป็นเช่นใดบ้าง”
พวกเขาได้พบกับหยางจื้อตอนที่ชิงซวงแต่งงาน ตอนนั้นเด็กคนนั้นผมยาวขึ้นและสูงขึ้นแล้ว และยังมีท่าทางที่น่าจะพึ่งพาได้ด้วย แต่อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นแค่เด็ก หากได้เล่นสนุกก็จะลืมสิ้นทุกอย่าง
หยางจู้กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “อาจารย์บอกว่าจื้อเอ๋อร์ฉลาดมากและยังเรียนรู้ไวอีกต่างหาก ยังบอกอีกว่าเขาน่าจะเข้ารับการสอบได้ภายในสองปีนี้”
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาได้ยินดังนั้นนางก็เข้าใจได้ในทันที ดูเหมือนหยางจื้อจะไม่เลวเลยทีเดียว มิฉะนั้นครูคงไม่เอ่ยเช่นนั้นออกมา เขามีความสามารถมากพอที่จะเป็นขุนนางได้ หากเขาต้องการ
“เช่นนั้นข้าก็สบายใจ ท่านลุงหยาง เดี๋ยวพวกข้าขอตัวไปเยี่ยมบ้านลุงๆ ท่านอื่นก่อน แต่คงไม่อยู่กับพวกเขานานนัก” หนิงเมิ่งเหยาลุกขึ้นเตรียมจะออกไป
“พวกเจ้าแวะมากินข้าวด้วยกันล่ะ” หยางจู้มองพวกเขาและกล่าวอย่างหนักแน่น
หนิงเมิ่งเหยากับเฉียวเทียนช่างมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าหยางจู้จริงจัง หากปฏิเสธไปจะเป็นการเสียมารยาทเอา ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าและรับคำว่าจะกลับมา “เอาล่ะ หลังจากเอาของฝากไปให้คนที่เหลือเสร็จแล้ว เราจะกลับมา”
“เช่นนั้นก็รีบไปเสีย”
ข่าวการกลับมาของหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างแพร่ไปทั้งหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว หยางฮว๋ายยืนอยู่ที่ประตูและมองดูท้องอันกลมโตของหนิงเมิ่งเหยา ภายในใจรู้สึกไม่พอใจ ส่วนนางเฉินมารดาของเขานั้น กำลังนึกถึงบุตรสาวที่จากไปของตน
นางเฉินไม่อาจห้ามความรู้สึกอันขมขื่นภายในหัวใจของตนได้เมื่อคิดถึงบุตรสาวของตนเองขึ้นมา
“พวกเขากลับมาแล้วมันอย่างไรเล่า มีความจำเป็นต้องป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้กันใหญ่โตเพียงนี้ด้วยหรือ หน้าไม่อายกันจริงๆ” นางเฉินบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ
ไม่ว่านางเฉินจะรู้สึกไม่พอใจหนิงเมิ่งเหยามากเพียงใด หรืออยากจะบีบคอนางให้ตายคามือสักเท่าไหร่ แต่นางก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกเมื่อนางนึกขึ้นมาได้ว่าคนค่อนหมู่บ้านนั้นล้วนทำงานอยู่ในโรงงานของหนิงเมิ่งเหยา
หากนางทำเช่นนั้นลงไปจริงๆ ก็มีแต่จะกระตุ้นความโกรธของคนในหมู่บ้านและดึงความโกรธของทุกคนให้มุ่งมาหาตนอย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่ภาพที่นางอยากเห็น
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหยางฮว๋ายคิดอะไรอยู่ในหัว เมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยาและคนที่เหลือเดินเข้ามา เขาก็เดินออกไปราวกับบังเอิญเดินผ่านมา “เจ้ากลับมาแล้ว”
หนิงเมิ่งเหยามองหยางฮว๋ายราวกับกำลังมองตัวประหลาด ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันขนาดนั้น เอ่อ อันที่จริงต้องบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางแย่มากเสียด้วยซ้ำไป ในอดีตพวกเขาเคยทะเลาะกันเสียเป็นจริงเป็นจัง
“เหยาเหยา ไปกันเถอะ” เฉียวเทียนช่างมองหยางฮว๋าย ไม่เห็นคนผู้นั้นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
“อืม”
หยางฮว๋ายกำหมัดแน่นด้วยความเกลียด เหตุใดหญิงผู้นี้จึงดูถูกเขาเช่นนี้
“หนิงเมิ่งเหยา เจ้าคิดว่าเจ้าสูงส่งเพราะมีเงินมากนักหรือ ในสี่อาชีพ การค้าขายนั้นถือเป็นอาชีพที่ต่ำที่สุด” หยางฮว๋ายเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เขาแค่ไม่อยากให้หนิงเมิ่งเหยาทำเป็นไม่สนใจตน
หนิงเมิ่งเหยาหันหน้ากลับไปมองหยางฮว๋าย “หากข้าจำไม่ผิด พี่ชายของเจ้าก็ทำธุรกิจ และพี่ชายผู้นั้นของเจ้าก็เป็นคนส่งเจ้าเรียน เจ้าดูถูกพี่ชายคนที่จ่ายค่าเล่าเรียนวิชาให้เจ้าหรือ”
คำพูดของเขาตบหน้าตัวเองอย่างจัง ทั้งที่มีคนในตระกูลตัวเองทำการค้าอยู่ แต่เขากลับบอกว่าอาชีพค้าขายนั้นเป็นอาชีพที่ต่ำที่สุด หากพี่ชายและพี่สะใภ้ของเขารู้เข้า ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
หัวใจของหยางฮว๋ายเย็นเฉียบ “ข้าไม่ได้พูดถึงพี่ชายของตัวเอง”
“หรือว่าพี่ชายเจ้าไม่ได้ทำการค้าหรือ” หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้ว
เฉียวเทียนช่างรู้สึกอดรนทนไม่ไหวเมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยากำลังพูดคุยอยู่กับชายแปลกหน้า เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “เหยาเหยา เรายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก เหตุใดเจ้าจึงต้องพูดอะไรให้มากความกับคนไร้ค่าพรรค์นี้ด้วยหรือ”
“เฉียวเทียนช่าง พูดจาอะไรให้มีความเคารพข้าผู้เป็นซิ่วไฉด้วย” เมื่อเทียบกับหนิงเมิ่งเหยา ความเกลียดชังที่หยางฮว๋ายมีต่อเฉียวเทียนช่างนั้นรุนแรงกว่า โดยเฉพาะเมื่อเห็นท่าทางหงุดหงิดและดูถูกตนเช่นนี้ด้วยแล้ว
“ไม่มีใครหรอกที่ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นซิ่วไฉ เจ้าไม่ต้องแบกรับภาระหรือทำอะไรเสียด้วยซ้ำ แล้วชายที่ยังต้องพึ่งพาครอบครัวให้มาคอยหาเลี้ยงตัวเองอยู่เช่นเจ้ามีคุณสมบัติอันใดที่จะมาทำตัวอวดดีใส่พวกข้าได้หรือ” เฉียวเทียนช่างไม่ได้ดูถูกซิ่วไฉ แต่เขาดูถูกเฉพาะซิ่วไฉที่อวดตัวและคิดว่าตนนั้นอยู่สูงกว่าคนอื่นต่างหาก
“เทียนช่าง ไปกันเถอะ ข้าไม่รู้ว่าการอวดว่าตัวเองเป็นซิ่วไฉจะได้อะไรขึ้นมา” กระทั่งฮ่องเต้นางก็เคยเจอมาแล้วด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดนางจะต้องกลัวซิ่วไฉด้วยเล่า