บทที่ 469 มือไหนที่ทำ ข้าจะหักมันทิ้งเสีย
ทุกครั้งที่เขากลับมาบ้าน ก็มาแค่จะเอาอาหารไปเท่านั้น และเวลาที่เขากลับมาบ้านเขาก็จะตบตีนางหลัวราวกับนางเป็นศัตรูคู่อริของเขา ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากหนิงเมิ่งเหยา
แต่ตอนนี้หญิงผู้นั้นกลับยังสบายดีอยู่ ดูการแต่งตัวของนางกับข้าสิ ยิ่งนางหลัวคิดเรื่องนี้มากเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกเกลียดมากเท่านั้น
นางเคยไปหางานทำที่โรงงาน แต่คนที่นั่นบอกว่านางเคยขโมยของ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถทำงานในโรงงานได้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นางหลัวรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก พวกเขาเป็นใครจึงมาบอกว่านางทำงานที่นี่ไม่ได้
“ข้าฆ่านางหรือ หากไม่ใช่เพราะนางทำตัวไม่ดีและสมคบคิดกับคนที่ไม่ควรคบ จนถูกพวกเขาเขี่ยทิ้ง ถ้าไม่ใช่เพราะอย่างนั้นหยางซิ่วเอ๋อร์จะตายหรือ ไม่หรอก มีคำกล่าวว่า นิสัยของลูกขึ้นอยู่กับคนเป็นพ่อแม่ ผลที่เกิดขึ้นกับนางในวันนี้ล้วนมาจากพ่อแม่ของนางเอง” นางไม่ชอบหยางซิ่วเอ๋อร์เอาเสียเลย
เดิมทีนางไม่ต้องการจะเพ่งเล็งใคร แม้จะมีใครทำอะไรผิด นางก็พร้อมที่จะให้อภัยหากพวกเขายอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่นางหลัวนั้นแตกต่างกัน นางได้ยินว่านางหลัวแอบขโมยน้ำปรุงรสที่กำลังผลิตอยู่ในโรงงานออกมา การกระทำเช่นนั้นทำให้ลุงเจี่ยงไม่พอใจมากจนขับไล่นางออกไป
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แต่ทำไมเจ้าไม่ยอมรับข้าทำงานเล่า เจ้าตั้งใจใช่ไหม” ตราบใดที่นางได้ทำงานในโรงงาน นางก็ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าคนไร้ประโยชน์ผู้นั้นจะกลับมาหรือไม่
หนิงเมิ่งเหยายิ้มอย่างดูถูก “ถ้าข้าจำไม่ผิด ลุงเจี่ยงเคยให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่วันแรกที่เจ้าไปทำงาน แล้วกลับบ้านในตอนบ่าย เจ้ากลับแอบขโมยน้ำปรุงรสจากโรงงานมาไม่ใช่หรือ” นางหลัวหาเรื่องใส่ตัวเอง แต่ตอนนี้ยังกล้ามาพูดจาไร้สาระกับนางอยู่อีก ช่างหน้าไม่อายเหลือเกิน
สีหน้าของนางหลัวพลันเปลี่ยนไป นางมั่นใจว่าหนิงเมิ่งเหยาต้องไม่รู้เหตุการณ์ลักขโมยที่เกิดขึ้นแน่ แต่นางคาดไม่ถึงเลยว่าผู้ดูแลโรงงานจะเล่าเรื่องนี้ให้หนิงเมิ่งเหยาฟังด้วย ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมมอบโอกาสให้เจ้า ข้าเคยมอบให้แล้ว แต่เจ้ากลับไม่รักษามันไว้ให้ดีเองต่างหาก”
“คุยกับหญิงต่ำช้าเช่นนี้ไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมาหรือ ไปกันเถอะ เดินมานานถึงเพียงนี้แล้วเจ้าคงเหนื่อยน่าดู” เฉียวเทียนช่างนิ่วหน้า วันนี้พวกเขาเดินกันมานานมากพอแล้ว ตอนนี้นางคงจะรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว
ก่อนหน้านี้ ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเท้านางก็ระบมแล้ว แต่วันนี้นางกลับเดินอยู่ข้างนอกมาเกินกว่านั้น นางคงทนไม่ไหวแล้วแน่นอน
หนิงเมิ่งเหยาเองก็รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวเท่าใดนัก นางหันไปพยักหน้ากับเฉียวเทียนช่าง “ไปกันเถอะ”
นางหลัวมองทั้งสองเดินผ่านตัวเองไป นางรู้สึกโมโหมากที่โดนพวกเขาด่า นางจึงผลักหลังหนิงเมิ่งเหยาอย่างแรงโดยไม่ลังเล
หนิงเมิ่งเหยาสะดุด แต่โชคดีที่เฉียวเทียนช่างพยุงนางไว้เป็นอย่างดี มิฉะนั้นนางคงล้มลงกับพื้นแน่
เขาหันหน้าไปจ้องนางหลัวด้วยดวงตาโหดเหี้ยม ในเสี้ยววินาทีเขาก็คว้ามือที่นางหลัวใช้ผลักหนิงเมิ่งเหยาได้ เขาเอ่ยเตือนขึ้นด้วยเสียงอันเย็นเฉียบว่า “มือไหนที่เจ้าใช้ผลักนาง ข้าจะหักทิ้งเสียให้หมด” ว่าแล้วเขาก็หักมือของนางหลัวโดยไม่คิดจะออมแรง นางกรีดร้องขึ้นมาเสียงดัง
“เฉียวทียนช่าง ปล่อยข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาทำร้ายข้า เจ้าต้องชดใช้มาให้ข้า” นางหลัวอดทนต่อความเจ็บปวดบริเวณแขนของตน แล้วเรียกร้องค่าเสียหายอย่างโกรธเกรี้ยว นางรู้สึกขุ่นเคืองที่โดนคนมาทำร้ายเช่นนี้ ถ้าหากเขาไม่ยอมจ่ายเงินมาให้ เช่นนั้นนางจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงแน่นอน
เฉียวเทียนช่างหัวเราะใส่นางหลัว “เจ้าอยากได้เงินหรือ ข้าไม่มีเงินให้หรอก แต่ข้าสามารถทำให้เจ้าได้พบกับลูกสาวอีกครั้งได้โดยไม่คิดเงิน และยังทำให้เจ้าได้เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่นางเคยประสบกับตัวได้ด้วย ข้าว่าในคุกน่าจะยังพอมีที่ว่างสำหรับเจ้าอยู่นะ” เฉียวเทียนช่างว่า ในน้ำเสียงไม่มีความห่วงใยเลยแม้แต่น้อย
เมื่อนางหลัวได้ยินดังนั้น ร่างกายก็สั่นไปทั้งร่าง บุตรสาวของนางถูกฆ่าตายในคุก นางไม่กล้าเสี่ยงแน่
นางหลัววิ่งโซซัดโซเซหนีกลับบ้านโดยที่กุมแขนข้างที่เจ็บของตัวเองเอาไว้ เมื่อนางมาถึงบ้าน นางรีบใส่กลอนประตูจากด้านใน เพราะกลัวว่าเฉียวเทียนช่างจะตามนางมา
เฉียวเทียนช่างยิ้มเยาะ นางคิดจริงๆ หรือว่าเรื่องมันจะจบลงเพียงเท่านี้ แขนของนางหลัวไม่มีทางรักษาได้
แน่นอนว่าเมื่อนางหลัวออกไปหาหมอในวันนั้น หมอทุกคนล้วนแต่บอกว่ามือของนางไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ว่ากันตามจริงคือนางจะต้องกลายเป็นคนพิการ นางหลัวตกใจมากเมื่อรู้ดังนั้น นางไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“เป็นไปไม่ได้ แขนข้าจะพิการได้อย่างไร” นางหลัวตะโกนใส่หน้าหมอ หากแขนของนางพิการ เช่นนั้นแล้วชายผู้นั้นก็จะมีข้ออ้างในการทิ้งนางไป
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ นางหลัวก็ตัวสั่น นางคงไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปได้
ข้าจะต้องไปหาเฉียวเทียนช่าง
บทที่ 470 คนไร้ยางอาย
เมื่อมีความคิดเช่นนั้น นางหลัวก็รีบออกไปโดยที่ยังไม่ได้จ่ายค่าปรึกษาหมอ หมอผู้นั้นนิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ เขาคิดในใจว่า หากในวันหน้าหญิงผู้นี้มาหาเขาอีก ถึงจะรักษานางได้ แต่เขาก็คงไม่ช่วยแน่นอน
นางหลัวกลับมาถึงบ้าน นางไม่ได้วิ่งตรงไปที่บ้านของเฉียวเทียนช่าง
แต่นางกลับเลือกอย่างชาญฉลาดว่าจะไปหาพวกเขาหลังเวลาโรงงานเลิกแทน
นางหลัวรออยู่ที่บ้านจนเกือบถึงเวลา จากนั้นนางจึงวิ่งไปที่บ้านของหนิงเมิ่งเหยาพร้อมกับร้องตะโกนไปด้วยว่า “โอ้ สวรรค์ ได้โปรดเปิดตาแล้วจัดการกับคนไร้ยางอายอย่างเฉียวเทียนช่างและหนิงเมิ่งเหยาด้วยเถิด”
ชาวบ้านในโรงงานล้วนแต่รังเกียจนางหลัว แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่านางต้องโชคร้ายและต้องทุกข์ทรมานถึงเพียงใด พวกเขาก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ว่าแต่นางหลัวมาที่นี่เพื่อข่มขู่เฉียวเทียนช่างกับภรรยาของเขาหรือ
หยางอี้เดินออกมาจากฝูงชน เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “นางหลัว เจ้ามาทำอะไรที่หน้าประตูบ้านคนอื่นกัน”
สถานะภายในหมู่บ้านของหยางอี้นั้นมีการยกระดับขึ้น เมื่อก่อนเขาเคยดูแลโรงผสมพันธุ์ปศุสัตว์ด้วยตัวคนเดียว แต่ตอนนี้เขาเป็นถึงผู้ดูแลอีกคนหนึ่งของโรงงาน และหากบวกกับเงินพิเศษที่เขาได้รับในแต่ละเดือน เขาจะมีรายได้อย่างต่ำถึงยี่สิบสองตำลึงเงิน อีกทั้งยังได้เรียนรู้อะไรเพิ่มมาอีกหลายอย่าง เรียกได้ว่าเขาเป็นคนงานผู้ซื่อสัตย์ของหนิงเมิ่งเหยาเลยทีเดียว
เขาไม่พอใจเมื่อเห็นนางหลัวมาหาเรื่องที่นี่ หญิงผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือ
นางหลัวตัวสั่นงันงกพลางกอดแขนข้างที่บาดเจ็บเอาไว้แน่น นางตะคอกใส่หยางอี้ว่า
“หยางอี้ เจ้ามันก็เป็นคนใจจืดใจดำเช่นกัน เจ้ากล้าเรียกข้าด้วยชื่อเฉยๆ หรือ ข้าเป็นถึงผู้อาวุโสเชียวนะ แม่เจ้าไม่ได้สอนเจ้าหรือว่าต้องรู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่”
เมื่อได้ยินนางหลัวด่าไปถึงมารดาของตน หยางอี้จึงโกรธขึ้นมาในทันที แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรขึ้น นางเฉียวกลับเดินออกมาและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หากเจ้าจะพูดเรื่องนี้ ข้าถามหน่อยว่าจะมีใครผิดไปกว่าเจ้าอีกหรือ หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่รู้วิธีสั่งสอนลูกตัวเองให้ดี ตอนนี้เจ้าก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้หรอก”
ทุกคนพยักหน้า เป็นเช่นนั้นจริงๆ นางหลัวหาเรื่องใส่ตัวเอง นางสูญเสียลูก สามีก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน แล้วตอนนี้นางยังคิดจะมาขู่กรรโชกคนอื่นอีก มีคนอย่างนางอยู่ในหมู่บ้านนี้ได้อย่างไร
ในจำนวนหมู่บ้านต่างๆ มากมาย หมู่บ้านไป๋ซานในเวลานี้นั้นนับว่าเป็นที่เลื่องชื่อยิ่งนัก หญิงชายที่มีอายุถึงวัยแต่งงานจากหมู่บ้านต่างๆ ล้วนอยากแต่งงานกับคนในหมู่บ้านแห่งนี้กันทั้งนั้น ตอนนี้หมู่บ้านไป๋ซานมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง แม้ชาวบ้านคนอื่นๆ อยากจะทำงานที่นี่ แต่พวกเขาก็ยังต้องได้รับการแนะนำจากผู้อาวุโสในโรงงานเสียก่อน มิฉะนั้นจะไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าทำงานโดยเด็ดขาด
“พวกเจ้าทุกคนได้รับส่วนแบ่งจากพวกมัน เพราะอย่างนั้นพวกเจ้าเลยช่วยพวกมันใช่ไหม เจ้าคนโหดเหี้ยมอย่างเฉียวเทียนช่างมันหักแขนข้าแล้วยังไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยให้ข้าสักแดงเดียว หมอก็บอกว่ารักษาแขนข้าไม่ได้ พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันทังนั้น” เมื่อเห็นว่าหลายคนไม่ยอมเชื่อนาง นางหลัวจึงทุบพื้นด้วยมือข้างที่ยังดีอยู่แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดังอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
กิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาถึงเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่คนภายในบ้านจะไม่สังเกตเห็น เฉียวเทียนช่างเดินออกมา
เมื่อเห็นสภาพสกปรกโสมมของนางหลัว มุมปากของเขาก็เหยียดขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา “นางหลัว ถ้าเจ้าไม่ผลักเหยาเหยา แล้วข้าจะไปหักแขนเจ้าหรือ”
ทันทีที่ชาวบ้านได้ยินดังนั้น สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปในทันที หนิงเมิ่งเหยาท้องได้เจ็ดแปดเดือนแล้ว น้ำคร่ำนางอาจจะเดินโดยไม่คาดคิดได้ แต่คนผู้นี้กลับจงใจผลักนาง นางคิดจะฆ่าหนิงเมิ่งเหยาหรือไร ทุกคนมองนางหลัวด้วยสายตาประณามหยามเหยียด
“นางหลัว เจ้ากล้ามาโวยวายถึงนี่ได้อย่างไร เจ้าสมควรที่จะต้องพิการแล้ว” ชาวบ้านที่ยืนอยู่ด้านข้างอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนาง ทุกคนล้วนพูดขึ้นอย่างโกรธเคือง
“จริงด้วย เจ้าทำตัวเองชัดๆ”
“ใช่แล้ว นางหลัว นี่เป็นเพราะว่าสามีไม่ต้องการเจ้าอีกแล้วหรือ เลยทำให้เจ้ากล้าขนาดนี้” นางช่างเป็นคนที่ชั่วร้ายนัก ถ้ามีคนต้องเจ็บตัวเพราะนางขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร
ทุกคนต่างเริ่มดุด่าว่ากล่าวนางทีละคน สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสร้างความอับอายให้แก่นางยิ่งนัก แล้วจู่ๆ หยางอี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “หมู่บ้านไป๋ซานมิอาจทนคนชั่วร้ายเช่นนี้ได้” ตอนนี้หมู่บ้านของพวกเขามักจะมีรถม้าจากผู้มีฐานะร่ำรวยแวะเวียนมาที่หมู่บ้านของพวกเขาเพื่อซื้อสินค้าอยู่บ่อยครั้ง หากคนพวกนั้นถูกหญิงผู้นี้ทำอะไรล่วงเกินเข้า จะไม่กระทบต่อโรงงานพวกเขาหรือ
“ข้าเห็นด้วย”
“เอาตัวนางไปพบหัวหน้าหมู่บ้านกับพวกผู้อาวุโส”
หยางอี้มีความเป็นผู้นำสูง ดังนั้นเมื่อเขาเอ่ยขึ้นเพียงคำเดียว ชาวบ้านก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย
เมื่อเห็นว่าคนพวกนั้นกำลังจะขับไล่นางออกไปจากหมู่บ้าน นางหลัวพลันร้อนใจขึ้นมาทันที “ข้าผิดไปแล้ว”