บทที่ 536 ความโศกเศร้าของฟู่เจวี๋ยเย
ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่นั้น วันเวลาก็ได้ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงวันที่สิบห้าเดือนสองแล้ว
ในเวลาเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้ไปที่สำนักศึกษาและคิดจะสอนอย่างเต็มที่
บรรดาลูกศิษย์ล้วนถาโถมเข้ามาในสำนัก ทำให้หลี่ชุนเฟิงตื่นตกใจเป็นอย่างมากจากนั้นเขาจึงพาฟู่เสี่ยวกวนออกไปทางด้านประตูหลัง
บทเรียนนี้มิสามารถศึกษาต่อไปได้ แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยเรื่องน่ายินดีให้ลูกศิษย์ได้รับทราบกันแล้วว่า
วันที่สามเดือนห้า ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้จัดสอบคัดเลือกข้าราชการไปประจำอยู่ที่ว่อเฟิงเต้าโดยมีฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้คัดเลือก ผู้มีความสามารถหลายร้อยคนจะได้รับตำแหน่ง !
เมื่อราชโองการได้แพร่งพรายออกไป ทำให้ให้ศิษย์ในสำนักและบุรุษทั่วทั้งแคว้นให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จึงพากันเดินทางมาเข้าร่วมการสอบแข่งขันที่จินหลิง
ฟู่เจวี๋ยเยจะเป็นผู้คัดเลือกด้วยตนเองทั้งสิ้น !
หลักการคัดเลือกของฟู่เจวี๋ยเยเปิดกว้างมากยิ่งนัก !
มิกีดกันเรื่องอายุ มิสนเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ ในที่นี้ทุกคนมีฐานะเท่าเทียมกัน !
หากได้ทำงานภายใต้อำนาจของฟู่เจวี๋ยเยคงเป็นบุญวาสนายิ่งนัก !
ช่างเป็นบุญที่ได้รับใช้อาจารย์ฟู่ เขาเป็นผู้ที่สร้างคุณงามความดีไว้มากมายหลายประการ !
ศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักล้วนให้ความสนใจ แม้กระทั่งชาวเมืองทั่วไปก็ยังให้ความสนใจ
คุณชายฟู่ยืนอยู่ด้านบนสุดของว่อเฟิงเต้า ภายใต้การปกครองของเขาย่อมทำให้มณฑลใหม่เจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน เนื่องจากฝ่าบาทมีพระราชโองการเรื่องการย้ายถิ่นฐาน นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีในการแสวงหาความเจริญรุ่งเรืองแก่หน้าที่การงานมิใช่หรือ ?
เริ่มต้นจากแม่น้ำฮวงโห ราษฎรจำนวนมากพวกเขาเชื่อมั่นในฟู่เสี่ยวกวนจึงพากันอพยพไปยังว่อเฟิงเต้า
ทันใดนั้น เส้นทางคมนาคมของราชวงศ์หยูก็เต็มไปด้วยคนเดินทางด้วยรถม้า เวลานั่งพักล้วนเกาะกลุ่มกันเป็นฝูงชน ใบหน้าของผู้คนเหล่านั้นดูมีความสุขยิ่ง ถึงแม้จะมิรู้จักนามกันก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังคงเอ่ยถามกันว่า “ไปว่อเฟิงเต้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! ท่านตาก็จะไปว่อเฟิงเต้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มองดูแล้วพวกเจ้าล้วนเป็นผู้มีการศึกษา เหตุใดจึงมิไปยังจินหลิง ไปทำอันใดที่ว่อเฟิงเต้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้ามิขอปิดบังท่านตา ข้านั้นจะไปทำการค้าขายที่ว่อเฟิงเต้า”
……
……
เจียงหนานตงเต้า ผู้เฒ่าตระกูลซือหม่าได้รับจดหมายจากซือหม่าหนาน 1 ฉบับ
หลังจากผู้เฒ่าตระกูลซือหม่าได้อ่านจดหมายฉบับนี้อย่างละเอียดแล้ว เขาจึงเรียกประชุมเป็นคราแรกของปีขึ้นภายในจวน
จากนั้น บุตรคนโตของตระกูลนาม ซือหม่าหนาน ได้พาบุตรคนโตและรองของตนนามซือหม่าฮุ่ยกับซือหม่าเทา พร้อมด้วยผู้คุ้มกัน 10 คนไปยังที่ราบสีหม่า
บุตรชายคนรองของตระกูลนาม ซือหม่าอัน ได้พาพ่อบ้านนาม ซือหม่าจือ เดินทางไปยังจินหลิง จุดประสงค์เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับหุ้นที่ธนาคารซื่อทง
วันต่อมา บุตรสาวของตระกูลพร้อมสาวใช้ได้แปลงกายเป็นชาย แอบนำจดหมายออกไปจากจวนซือหม่าเพื่อส่งไปยังจินหลิง
หลังจากที่ตระกูลหลักทั้งห้าของราชวงศ์หยูทราบข่าวว่าฟู่เจวี๋ยเยเข้ารับตำแหน่งเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้า พวกเขาจึงส่งผู้นำของแต่ละตระกูลเดินทางไปยังเมืองต้าชิว
เมื่อข่าวนี้ลอยไปถึงหูของฟู่เสี่ยวกวน เขาถึงกับผงะ เขากำลังคิดว่าต้องใช้เงินจำนวนเท่าใดในการย้ายถิ่นฐานของราษฎร มิมีผู้ใดอยากย้ายจากถิ่นฐานบ้านเกิดหากที่ใหม่นั้นมิดีจริง ๆ
แต่บัดนี้กลับมีผู้คนจากทั้งสิบสามมณฑลยอมย้ายไปว่อเฟิงเต้าด้วยความเต็มใจ แม้ช่วยคลายปัญหาเรื่องจำนวนคนที่ต้องการได้แล้ว แต่ทว่าก็ได้นำความทุกข์หนึ่งมาเยือน
เขามิมีเงินมากพอที่จะแจกจ่ายให้กับผู้คนเหล่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จนถึงตอนนี้ยังมีเขาเป็นผู้บัญชาการเพียงคนเดียว ยังเป็นไปมิได้ที่จะส่งเจ้าหน้าที่ไปดูแลเรื่องการตั้งถิ่นฐานให้กับคนเหล่านี้
เกิดอันใดขึ้นกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในกรมการค้า เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นหลี่ฉายเดินถือรายงานเข้ามา จากนั้นก็ยิ้มขึ้นที่มุมปาก พลางคิดไปว่า ยังมีปัญหาใดอีก ในใต้หล้านี้อีกกัน ที่มิสามารถเอาชนะมันได้ ?
กระดาษปึกหนานี้มีค่ามากยิ่งนัก !
กระดาษเหล่านี้ประกอบไปด้วยรายละเอียดของขอบเขตด้านกฎหมายการค้าทั้งสามฉบับ และการวางแผนจัดตั้งสำนักงานกรมการค้าขึ้นในสามเมือง นอกจากนี้ยังเอ่ยถึงหน้าที่และขอบเขตที่กรมการค้าสามารถแตะต้องได้
กล่าวถึง อำนาจในการแก้ปัญหาข้อพิพาททางการค้านอกเหนือจากศาล การควบคุมตลาดสินค้า ฯลฯ
กล่าวได้ว่า แคว้นใดก็ตามที่สามารถดำเนินการนโยบายดังกล่าวได้สำเร็จตามระเบียบในหนังสือเล่มนี้ ก็จะสามารถควบคุมทิศทางของการค้าได้ ยับยั้งการแข่งขันที่มิเป็นธรรม และสามารถสร้างเส้นทางการค้าที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้
ดังนั้น ในมุมมองของหลี่ฉาย นี่มิใช่แผน แต่เป็นหนังสือสำคัญทางการค้า !
ฟู่เจวี๋ยเยสามารถเขียนสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ แต่ทว่าเขาก็ยังคงแสดงอาการราวกับอมทุกข์เอาไว้ในท้อง หลี่ฉายจึงรู้สึกแปลกใจมากยิ่งนัก “เจวี๋ยเย ท่านกำลังกังวลเรื่องใดอยู่กัน ? ”
“เฮ้อ…” ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ “ ข้ามินึกว่าจะมีผู้คนไปยังที่แห่งนั้นมากถึงเพียงนี้ ! ”
เป็นเช่นนี้นี่เอง หลี่ฉายหัวเราะออกมาราวกับสุขใจอย่างถึงที่สุด ฟู่เจวี๋ยเยเป็นผู้ก่อตั้งกรมการค้าขึ้นมาแต่กลับมิสามารถห้ามผู้ใดให้เดินทางไปยังว่อเฟิงเต้าได้
“เรื่องนี้ต้องจัดระเบียบเท่านั้น ผู้คนกำลังย้ายไปยังว่อเฟิงเต้า แต่ทว่าที่นั่นมิมีแม้แต่กระท่อมไว้รองรับราษฎร เนื่องจากว่อเฟิงเต้ามีพื้นที่สามเขตซึ่งอยู่ใกล้กับเขตที่องค์ชายใหญ่ปกครองอยู่ นายท่านเองก็เป็นถึงราชบุตรเขย เหตุใดจึงมิส่งสาส์นไปถึงองค์ชายใหญ่แล้วให้พระองค์ส่งองครักษ์มาคุ้มกันราษฎร เรื่องนี้คงมิใช่ปัญหาใหญ่อันใดนี่”
ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเป็นประกายขึ้นมาทันพลัน “ความคิดของเจ้าดียิ่ง คิดได้มิเลวเลย กรมการค้าต้องการคนจำนวนมาก ผู้ที่ถูกคัดเลือกจะถูกส่งไปประจำที่สำนักงานการค้าในท้องถิ่น พวกเขาจะต้องเข้ารับการอบรมเป็นเวลา 2 เดือน พวกเขาจะต้องเข้าใจกฎหมายเหล่านี้ เข้าใจมุมมองของการให้บริการราษฎรและเข้าใจเรื่องของการค้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน”
“เจ้าต้องจำเอาไว้ให้จงดี คนจากกรมการค้าคือคนของราชวงศ์หยู ! กรมนี้มิได้อยู่ภายใต้กรมใด ตำแหน่งเหล่านี้มิใช่หนทางในการแสวงหาเงินเข้ากระเป๋าของตนเอง หากมีผู้ใดทำให้กรมการค้าเสื่อมเสีย จงบอกไปว่าข้าจะถลกหนังของมันผู้นั้นออกมาด้วยมือของข้าเอง ! ”
หลี่ฉายพยักหน้าเข้าใจ “นายท่านโปรดวางใจเถิด หากผู้ใดกล้าล่ะก็ ข้าน้อยจะเป็นผู้จัดการด้วยตนเองโดยมิต้องให้มือของนายท่านได้เปื้อนเลยแม้แต่น้อย ! ”
สำหรับกรมการค้านี้ได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนปลูกฝังแนวคิดของคนรุ่นใหม่ได้สำเร็จ ไม่เว้นแม้แต่หลี่ฉายที่ถูกล้างสมองไปด้วย
ในราชวงศ์หยูกรมการค้าไม่ได้บรรจุอยู่ในอีกหกกรมที่เหลือ ขุนนางในกรมการค้ามักจะมองว่าขุนนางอีกหกกรมที่เหลือชอบวางมาดอวดเบ่งอีกทั้งยังขี้เกียจทำงาน ส่วนขุนนางเหล่านั้นมักจะมองขุนนางจากกรมการค้าว่าเป็นพวกไร้ความสามารถ วัน ๆ มิทำอันใด
ถ้ามิได้คนเก่งเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนมาดูแล หลี่ฉายจะไม่สงสัยเลยหากว่าผู้อื่นนึกครหากรมการค้าขึ้นมา
“จงเรียกกงซุนเค่อ ซางเสียง หม่าซิงคง มาพบข้า ต้องหารือกับคนของพวกเราเป็นการส่วนตัวเสียก่อนจึงจะวางใจได้”