ตอนที่ 541 นอกศาลา
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่ยี่สิบ เดือนสอง
ถนนเจี้ยนหนานตง เมืองเจี้ยนโจว ด้านนอกของศาลา
ท้องฟ้าเริ่มสว่าง สุริยากำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า ความหนาวเหน็บของฤดูใบไม้ผลิยังทำร้ายผู้คน
หยูเวิ่นชูยืนอยู่ตรงทางเดินของศาลา สองมือไพล่ไว้ด้านหลังแล้วมองออกไปยังภูเขาที่ถูกคลื่นหมอกยามเช้าโอบล้อม
ยามนี้ นักบุญเฉินจั่วจวินแห่งลัทธิจันทรา กำลังนั่งอยู่ในศาลาแต่เพียงลำพัง นางกำลังต้มสุรา
สุราที่นางต้มมีกลิ่นหอมชวนให้ดื่มยิ่งนัก ควันลอยคลุ้งไปตามภูเขา ป่าและถนนของศาลาเก่าแห่งนี้
สถานที่แห่งนี้เงียบสงบมากยิ่งนัก บางคราก็จะปรากฏนกสีเขียวบินมาเกาะบนหลังคาของศาลาแล้วส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเกือกม้าดังขึ้นมา แต่ทว่าเป็นเสียงที่ไม่เร่งรีบราวกับว่ากำลังเที่ยวเล่นชมนกชมไม้อย่างผ่อนคลาย
หยูเวิ่นชูละสายตาจากสิ่งที่มองอยู่ แล้วหันไปมองยังถนนเส้นยาวแทน
เสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มีสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวราวหิมะ
นางสวมอาภรณ์สีแดงสด มีผ้าพันคอและหมวกสีแดงขนาดใหญ่ แม้แต่รองเท้าก็ทำจากผ้าสีแดง
ร่างกายของนางขยับไปมาในจังหวะเดียวกับที่ม้าเคลื่อนตัว ช่างดูอ่อนโยนและบอบบางมากยิ่งนักราวกับว่าร่างของนางสามารถปลิวไปกับสายลมได้ทุกเมื่อ
นางเข้าใกล้หยูเวิ่นชูมากขึ้นเรื่อย ๆ และหยูเวิ่นชูเองก็ได้เห็นว่าใบหน้าของนางถูกแต่งเต็มด้วยแป้งสีขาวอมชมพู
ใบหน้าของนางดูอ่อนโยนยิ่ง แต่ทว่าคิ้วตั้งตรงราวกับดาบ !
แต่เยี่ยงไรเสีย ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยประกายแวววับใสยิ่งกว่าดวงดาราในยามราตรีเสียอีก !
นางคือสีฮวา !
ฮูหยินของท่านนายพล สีฮวา !
นายเคยศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาจี้เซี่ย ในปีไท่เหอที่สี่สิบแปด ได้ยินมาว่าหลังจากนางสมรสกับเซวี๋ยติ้งชานแล้ว ฮ่องเต้ได้มอบตำแหน่งสีฮวาให้แก่นาง !
ปีนี้ นางอายุ 32 ปีแล้ว แต่ทว่าใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์ราวกับอายุเพียง 23 ปีเท่านั้น
รูปร่างของนางยังคงอวบอิ่มมีน้ำมีนวล ใบหน้ายังคงความงาม ราวกับวันเวลามิมีผลกับนางเลยแม้แต่น้อย
สีฮวามิได้ชื่นชอบดอกไม้ นางชอบสีแดง นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้นหลังจากได้อันดับหนึ่งจากการแสดงร่ายรำ ทุกคนในเมืองจินหลิงจึงเรียกนางว่า หงเหนียงจื่อ
แต่นางได้จากจินหลิงไปหลายปีแล้ว ดูเหมือนว่าผู้คนจะลืมไปแล้วว่าคราหนึ่งในจินหลิงเคยมีหงเหนียงจื่อที่ยอดเยี่ยมอยู่
หยูเวิ่นชูค่อย ๆ เดินเข้าไปหา หยุดยืนตรงอาชาสีขาวตัวนั้น สีฮวาพลิกตัวแล้วกระโดดลงจากหลังม้า ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาให้เห็นแววตาสีรัตติกาลของนาง “ทัพของหยูชุนชิวหันหลังกลับแล้วหรือยัง ? ”
หยูเวิ่นชูทำความเคารพนาง “กลยุทธ์ของท่านลุง หลานรู้สึกเลื่อมใสยิ่ง ! วันนี้มีรายงานว่าหยูชุนชิวถอยทัพกลับแล้ว”
“เยี่ยงนั้น… ด่านชีผานถูกยึดแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! ” รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของสีฮวา นางก้าวเข้าไปในศาลา แล้วค่อย ๆ นั่งลง พลางจ้องมองเฉินจั่วจวินด้วยสายตาเย็นชา
“ข้าขอให้ผู้มีฝีมือระดับสูงของลัทธิจันทราเดินทางไปด่านชีผานตั้งแต่วันที่สิบหก เดือนสอง เหตุใดจึงล่าช้าไปถึง 3 วัน ? ”
เฉินจั่วจวิน รีบตอบว่า “เหตุเพราะเฟ่ยอันส่งกองกำลังป้องกันเมืองทุกหนแห่งจึงทำให้การเดินทางล่าช้าไปถึง 3 วัน”
“ฮ่า ๆ… ” สีฮวาหัวเราะออกมา เสียงนั้นทำให้เฉินจั่วจวินตกอยู่ในภวังค์ นางไม่ได้กล่าวอันใดกับเฉินจั่วจวินอีก ทว่ากลับมองไปทางหยูเวิ่นชูพร้อมถือจอกสุราไว้ในมือ “หากทหารจำนวน 150,000 นายมาถึงด่านชีผานแล้ว จะออกเดินทางต่อหรือไม่ ? ”
หยูเวิ่นชูโค้งคำนับแล้วตอบว่า “ท่านนายพลคาดการณ์ว่าทหารของหยูชุนชิวจะปักหลักที่ทางสายเก่าจินหนิว ทางสายนี้คับแคบยิ่ง หากหยูชุนชิววางปืนใหญ่ดักเอาไว้ กองกำลังมากกว่าหนึ่งแสนนายคงบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ดังนั้นจึงยังเดินทางไปมิได้”
สีฮวาได้ยินดังนั้นก็บันดาลโทสะ ปาจอกสุราลงกับพื้นเสียงดัง ‘เพล้ง… ! ’ เศษกระเบื้องแตกกระจายบนพื้น “โง่เง่า ! ”
ทันใดนั้นนางก็เริ่มสั่งการหยูเวิ่นชูทันที “เจ้ารออยู่ที่นี่ กองทัพน่าจะเดินทางมาถึงในอีก 3 วัน เมื่อมาถึงแล้วให้พวกเขาเดินหน้าต่อโดยเร็ว อย่ามัวหลบอยู่แต่ในด่านชีผาน ! ”
“หลานน้อมรับคำสั่ง ! ”
“นอกจากนี้ ต้องคุ้มกันเสบียงไว้ที่ด่านชีผานให้ดี ข้าจะมอบทหารให้เจ้า 20,000 นาย เจ้าต้องดูแลตนเองด้วย ด่านชีผานต้องมิโดนชิงคืน ! ”
หยูเวิ่นชูอ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ เขาสงสัยว่าในเมื่อกองทัพกำลังจะไปยังทางสายเก่าจินหนิว เสบียงเหล่านี้มินำไปแนวหน้าด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?
เหลือไว้ที่ด่านชีผานเพื่ออันใดกัน ?
สีฮวามิได้ตอบคำถามแต่ทว่าลุกขึ้นไปขี่หลังอาชา หวดแส้ในมือไปหนึ่งที แล้วออกเดินทางไปพร้อมกับผู้คุ้มกันอีกสองคน เหลือทิ้งไว้เพียงร่างอาภรณ์ในความทรงจำ
หยูเวิ่นชูสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบอารมณ์ พอสงบแล้วก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามของเฉินจั่วจวิน
“หงเหนียงจื่อผู้นี้อารมณ์ร้อนมากยิ่งนัก”
“หุบปาก ! ” หยูเวิ่นชูเอ่ยตำหนินาง พอเฉินจั่วจวินเห็นว่าเขากำลังเดือดดาลจึงเงียบปากลงทันที
“ถ้ามิใช่เพราะความล้มเหลวของลัทธิจันทรา ท่านลุงคงมิต้องใช้จดหมายเลือดเพื่อถ่วงเวลาหยูชุนชิวหรอก ! เจ้าช่างโง่เขลายิ่ง แผนเดิมของท่านลุงคือให้กองทัพจินหลิงเปิดประตูเมืองเสียก่อน แต่เป็นเพราะเรื่องความล่าช้าที่ด่านชีผานจึงทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงแผนการ เจ้ารู้หรือไม่ว่าลัทธิจันทราทำให้พวกเราเสียหายมากถึงเพียงใด ? ”
“พวกเรามิเคยล้มเหลว พวกเรามีแต่ความสำเร็จเท่านั้น ! ”
“แล้วทหารจากราชวงศ์อู๋ที่จะเดินทางมายังราชวงศ์หยูอยู่ที่ใด ? ข้ายังมิเห็นออกมาจากทางเดินฉีซานเลยสักกองทัพ มิหนำซ้ำยังถูกสตรีเยี่ยงอู๋จ้าวจัดการ ข้าปวดหัวมากยิ่งนัก วางแผนกันมานานหลายปี แม้แต่สตรีที่เพิ่งคลอดลูกยังรับมือมิได้ ! ”
“แล้วเจ้ามิได้บอกว่าแคว้นอี๋จะส่งทหารมาช่วยพวกเราหรอกหรือ ? แล้วทหารของแคว้นอี๋อยู่ที่ใดกันเล่า ? ”
“ข้าเองก็มิเห็นแม้แต่เงาของทหารแคว้นอี๋เช่นกัน เพราะรัชทายาทแสนโง่เขลาพ่ายแพ้ให้กับฟู่เสี่ยวกวน น่าขายหน้ายิ่งนัก ! ”
“เดิมทีท้องพระคลังต้องร่อยหรอ แต่บัดนี้กลับมีเงินเข้ามาถึง 180 ล้านตำลึง ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเงินจำนวน 180 ล้านตำลึง มีค่ามากมายถึงเพียงใด ? เงินจำนวนนี้สูงเท่าภูเขาลูกหนึ่งเชียวนะ !
เงินจำนวนมากขนาดนั้น เพียงพอที่จะฟื้นฟูทุกอย่างขึ้นมา มากพอที่จะทำให้ฮ่องเต้กล้าปะทะกับท่านนายพล !
แต่ทว่ายังมีแคว้นฮวง ได้ยินว่าบัดนี้ท่าป๋าเฟิงได้รวบรวมกำลังทหารชั้นยอดมากถึง 400,000 นาย ได้ยินว่าจะมุ่งหน้าไปทางใต้มิใช่หรือ ? ”
หยูเวิ่นชูถอนหายใจออกมาอย่างหนักเมื่อเห็นเฉินจั่วจวินเมาหลับไปบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“ข้ามิเข้าใจยิ่ง ลัทธิจันทราก่อตั้งมานานกว่าสองร้อยปี แต่เหตุใดกลับมิพัฒนาความคิดเอาเสียเลย”
เขายกจอกสุราขึ้นดื่มหนึ่งอึก ฉายยิ้มเยาะออกมา “ช่างโง่เขลายิ่ง ! ”
……
……
ทางสายเก่าจินหนิว หุบเขาต้าเยี่ยน
หยูชุนชิวได้จัดวางปืนใหญ่ไว้ตามกลยุทธ์ของฟู่เสี่ยวกวน ในยามนี้เขาและภรรยาเผิงยวี๋เยี่ยนกำลังยืนอยู่ด้านหนึ่งของภูเขา บัดนี้ทั้งสองมีสีหน้าเคร่งเครียดราวกับกำลังคิดบางอย่างอยู่ พวกเขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติไป
“ฮูหยิน ขันทีเจี่ยบอกว่าข่าวนี้เป็นสีฮวาที่เขียนขึ้นมา… หากนับตามวันเวลาแล้ว วันนี้เซวี๋ยติ้งชานต้องมาถึงที่นี่แล้ว หรือว่า… ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนก็สงสัยเช่นกัน เดิมทีนางจะไปถึงด่านชีผานในอีกไม่กี่วัน แต่เป็นเพราะราชโองการที่ขันทีเจี่ยนำมา ทำให้นางต้องย้อนกลับมาที่นี่ เดินทางโดยมิได้หลับนอนเป็นเวลาสามวันสามคืน หวังว่านางจะมิได้ตัดสินใจผิดไป
ถ้าผิด… นางตื่นตกใจขึ้นมาทันพลันเมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ากลัวว่าสีฮวาจะหลอกพวกเรา”
หยูชุนชิวตกตะลึงงัน “ถ้าสีฮวาคิดทรยศ เช่นนั้นพวกเราต้องเสียด่านชีผานให้เซวี๋ยติ้งชานง่าย ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ท่านพี่”
“อืม”
“ท่านจงอยู่บัญชากองทัพที่นี่”
“แล้วเจ้าเล่า ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนกล่าวว่า “สามีข้าอย่าได้ห่วงภรรยาผู้นี้เลย ข้าเพียงจะไปพบหงเหนียงจื่อเสียหน่อย ! ”