หลินหลันนำสัญญาเก็บลงในกล่องสำหรับเก็บสมบัติล้ำค่าโดยเฉพาะของนางด้วยสีหน้าระรื่น
หลี่หมิงอวินยังถือพู่กันค้างพลางนึกย้อนกลับไปถึงแต่ละตัวอักษร แต่ละประโยค ที่เพิ่งตอบรับคำขอของนางไปเมื่อครู่ นางต้องการให้เขาเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งประโยค มีใจความว่า ในภายภาคหน้าตัวอักษรที่เขาเขียน ตลอดจนของขวัญ และเงินเดือนที่เขาได้รับ จะต้องเป็นของนางทั้งหมด…เอ่อ! เช่นนั้นมิใช่หมายความว่าหากเขากระตุกหนวดนางเข้า ก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะต้องสิ้นเนื้อประดาตัวกันเลยทีเดียว? อีกทั้งยังเป็นการสิ้นเนื้อประดาตัวชั่วชีวิตอีกด้วย?
“คือว่า…หลันเอ๋อร์ ข้าคิดว่ามีส่วนหนึ่งที่มันมิค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก…” หลี่หมิงอวินส่งเสียงตะโกนไป
หลินหลันนำสัญญาเก็บเข้าที่เป็นอันเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับมามองพร้อมฉีกยิ้มให้ เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยยิ้มแห่งความสุขที่เปล่งประกายออกมาจากภายใน “เจ้าว่าอะไรนะ มีอันใดไม่เหมาะสมหรือ”
ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นนางดีใจเช่นนี้ หลี่หมิงอวินจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วค่อยๆ ฉีกยิ้มงดงามออกมา “ไม่มีอันใด เจ้าคิดว่าเหมาะสมก็เป็นอันเหมาะสม” ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางรับอนุภรรยาอยู่แล้ว ดังนั้นสัญญาฉบับนี้จะเขียนขึ้นมาหรือไม่ ก็ไม่มีผลอันใดสำหรับเขาอยู่ดี
“ครานี้มาถึงเรื่องของเจ้าบ้าง ท่านพ่อเรียกเจ้าไปพบด้วยเหตุอันใดหรือ” หลินหลันนำเก้าอี้ตัวเตี้ยย้ายมาตั้งข้างเขาแล้วหย่อนตัวลงนั่ง นอกจากนั้นยังคล้องแขนเขาอย่างรักใคร่ในแบบที่ไม่ค่อยปรากฏบ่อยนัก
“ก็แค่เรียกข้าไปลงความเห็นต่อการสอบของพี่ใหญ่ในครั้งนี้ว่าเป็นเช่นไร!” ดูเหมือนหลี่หมิงอวินจะเพลิดเพลินไปกับท่าทีออดอ้อนของนางอย่างยิ่ง เขาเริ่มคิดว่าสัญญาใบหนึ่งแลกกับความสบายใจของนางทั้งชีวิต ช่างเป็นสิ่งที่เกินความคุ้มค่ายิ่งนัก
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าพี่ใหญ่สอบเป็นอย่างไรบ้าง พอมีหวังหรือไม่” หลังจากหลินหลันได้รับยาเสริมความมั่นใจเข้าไปเต็มเปี่ยม ส่งผลให้กระทั่งน้ำเสียงของนางยังฟังดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ
“ความหวังก็ยังพอมีอยู่ สิบข้อเกี่ยวกับหลักมนุษยธรรมถือว่าไม่มีข้อใดผิดพลาด ส่วนเกี่ยวกับนโยบายสถานการณ์ปัจจุบัน…มีข้อหนึ่งตอบได้ไม่เลวทีเดียว อีกสองข้อที่เหลือก็พอไปวัดไปวาได้”
นางฮานหมดสภาพอย่างสิ้นเชิง ความโกรธเกรี้ยวอัดแน่นอยู่เต็มอก เดิมทีหากได้ปิดประตูก่นด่าออกมาสักสามสี่ประโยคก็คงพอช่วยให้รู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าหญิงชราจะมาหาถึงที่แล้วนั่งอยู่ด้วยครึ่งค่อนวัน กล่าวว่ามาปลอบใจนาง ทว่าคำปลอบใจเหล่านั้นไม่ต่างจากการสาดเกลือลงบนปากแผลของนางด้วยซ้ำ ทำเอานางแทบกระอักเลือดเสียตรงนั้น
ไม่ง่ายเลยกว่าหญิงชราจะกลับออกไป นางฮานที่แม้ทีแรกอยากจะก่นด่าก็ด่าไม่ออกเสียแล้ว นางได้แต่กลอกตาขึ้นราวกับจะเป็นลมล้มพับไปอีกรอบ
ชุ่ยจือรินน้ำชาเข้ามาให้ แม่เจียงจึงประคองนางฮานแล้วป้อนน้ำชาให้นางดื่ม ก่อนจะช่วยลูบหลังระบายเลือดลมให้นางอีกครั้ง เนิ่นนานพอตัว นางฮานถึงค่อยๆ กลับมาหายใจหายคอสะดวก
“มิใช่ว่าหลินหลันกำลังรักษาอาการโพรงมดลูกผิดปกติของหลิวอี๋เหนียงอยู่ตลอดหรอกหรือ แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงตั้งครรภ์ขึ้นมาเสียแล้ว” นางฮานครุ่นคิดเป็นร้อยเป็นพันตลบก็ไม่เข้าใจ
แม่เจียงส่งสายตาให้ชุ่ยจือเป็นสัญญาณให้นางออกไป
ชุ่ยจือจึงรีบถอยออกไปทันที
“ฮูหยินเจ้าคะ บางทีอาจเป็นเหตุเหนือความคาดหมายกระมังเจ้าคะ…” แม่เจียงกล่าวปลอบใจนายหญิง และเป็นการปลอบใจตนเองด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นจะให้พูดอย่างไรได้อีกหรือ ดีไม่ดีพวกเราล้วนถูกนายหญิงสะใภ้รองหลอกเข้าให้แล้วก็เป็นได้…หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นก็ยิ่งซวยไปกันใหญ่ เพราะนี่หมายความว่านายท่านรับรู้แล้วว่ามีคนวางยาคนของเขา ยิ่งไปกว่านั้น คือการที่นายท่านรับรู้แล้ว แต่ยังคงอดกลั้นไว้เนิ่นนานเพียงนี้ นางไม่กล้าจินตนาการเลยจริงๆ
“เหตุเหนือความคาดหมาย เป็นเหตุเหนือความคาดหมายจริงๆ หรือ” แววตาทั้งสองของนางฮานฉายความเกรงกลัวอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับความกังวลภายในจิตใจที่ก่อตัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นาทีที่ได้ยินว่าอนุภรรยาหลิวตั้งครรภ์ นางไม่ได้เป็นลมล้มพับไปเพราะความโกรธเกรี้ยว แต่เป็นเพราะความตระหนกตกใจ นางปฏิบัติตามที่หมอท่านนั้นกล่าว ใช้น้ำปรอทปริมาณตั้งเท่านั้นแล้ว จึงเป็นไปมิได้ที่หลิวอี๋เหนียงจะตั้งครรภ์ได้ นอกจากนั้นหลินหลันยังกล่าวอยู่ตลอดว่ากำลังรักษาอาการโพรงมดลูกผิดปกติให้อนุภรรยาหลิว แน่นอนว่ายิ่งไม่อาจตั้งครรภ์เป็นอันขาด ดังนั้นนี่มันหมายความว่าอะไรหรือ
“บางที…ด้วยระยะเวลานานเข้า พิษในน้ำปรอทนั่นอาจเจือจางไปแล้วกระมังเจ้าคะ!” แม่เจียงเข้าใจความนึกคิดของนายหญิงเป็นอย่างดี จึงกล่าวเสริมหลังชะงักไปชั่วครู่ “อีกทั้งเจี่ยนชิวขโมยกากยาออกมาให้ บ่าวเองก็ได้นำไปตรวจสอบดูแล้ว มันเป็นยาที่ใช้ในการรักษาอาการโพรงมดลูกผิดปกติจริงๆ เจ้าค่ะ”
นางฮานครุ่นคิดเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน “อย่างไรก็ระมัดระวังเอาไว้หน่อยจะดีกว่า พรุ่งนี้เจ้าไปเชิญหมอมาสักคน ให้เขาตรวจร่างกายของอนุภรรยาหลิวอย่างละเอียดว่ามีส่วนใดผิดปกติหรือไม่”
“เจ้าค่ะ! พรุ่งนี้บ่าวจะไปจัดการให้แต่เช้าเลยเจ้าค่ะ” แม่เจียงรับคำ
นางฮานอดถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้งไม่ได้ “เรื่องนังอวี๋เหลียนสารเลวยังไม่ทันจัดการให้จบสิ้นไป หลิวอี๋เหนียงก็ดันตั้งครรภ์มารผจญเช่นนี้ขึ้นมาอีก นี่ข้าไปทำเวรทำกรรมอันใดไว้ ถึงได้มีเรื่องมีราวไม่หยุดหย่อนเช่นนี้นะ!”
“บ่าวก็ว่าแล้วว่าอวี๋เสี่ยวเจี่ยะนี่มิใช่ธรรมดาๆ มองดูใสซื่อ ใครว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ใครจะรู้ว่าหันไปอีกทีนางกลับร้องห่มร้องไห้จะผูกคอตายขึ้นมาเสียดื้อๆ แล้วยังหลุดปากเอ่ยถึงหมิงจูเสี่ยวเจี่ยะออกมาด้วย เหล่าไท่ไทก็สนใจแต่ต้องการคำชี้แจงให้สกุลอวี๋ ไม่ได้สนความรู้สึกของฮูหยิน” แม่เจียงกล่าวด้วยความขุ่นเคืองต่อเรื่องราวที่ไม่ยุติธรรม
นางฮานกัดฟันแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว “ข้าล่ะนึกเสียใจจริงๆ ที่เชื้อเชิญนางมา ช่วยอันใดมิได้เลยสักนิด ซ้ำยังคอยควบคุมสารพัด รู้จักแต่สรรหาจะเอ่ยคำพูดคำจาชวนฟัง ทำเป็นกล่าวว่าความน้อยเนื้อต่ำใจของเจ้าแม่เข้าใจดี ภายในใจแม่ก็มีเจ้าเป็นลูกสะใภ้เพียงผู้เดียวมาแต่ไหนแต่ไร…แต่ว่ากันตามจริงแล้ว ภายในใจของนางมีเพียงบุตรชายของนางผู้เดียวเท่านั้นต่างหาก วันๆ เอาแต่พร่ำเอ่ยถึงความยุติธรรมและเท่าเทียม ข้าว่านางนั่นแหละบิดเบี้ยวไร้ความยุติธรรมเป็นที่สุด”
“ก็นั่นสิเจ้าคะ พอได้ยินว่าหลิวอี๋เหนียงตั้งครรภ์ เหล่าไท่ไทก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่” แม่เจียงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เดิมทีคาดหวังว่าเหล่าไท่ไทจะเห็นใจฮูหยิน จะมากจะน้อยก็ช่วยเหลือฮูหยินสักหน่อย แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่านายท่านที่ประพฤติผิดด้วยเรื่องเหล่านั้น เมื่อผ่านฝีปากของนางแล้วล้วนกลายเป็นความชอบธรรมไปเสียดื้อๆ”
นางฮานลูบหน้าอกของตนเอง “แม่เจียง ช่วยข้าคิดหาวิธีส่งแม่สามีผู้นี้กลับบ้านเกิดโดยเร็วทีเถอะ ข้ามิคาดหวังให้นางช่วยอันใดข้าแล้วเช่นกัน ฝากไว้ก่อนเถอะ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าอะไรต่อมิอะไรมันจะย่ำแย่ไปจนสุดปลายทาง”
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น แม่เจียงเรียนเชิญหมอมาท่านหนึ่ง เมื่อไปถึงภายในห้องของอนุภรรยาหลิว ดันเป็นจังหวะเดียวกับที่นายท่านอยู่ด้วย จึงถูกนายท่านขับไล่ออกมาด้วยประโยคหนึ่งว่า…หลังจากนี้ร่างกายและเด็กในครรภ์ของหลิวอี๋เหนียงให้นายหญิงสะใภ้รองเป็นผู้ดูแล ส่วนผู้อื่นมิต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนใจไปด้วย
เมื่อนางฮานได้รับทราบคำบอกกล่าว จึงโกรธเกรี้ยวจนกลืนอาหารมื้อกลางวันไม่ลง
การลงความเห็นของหลี่หมิงอวินถือว่าแม่นยำไม่น้อยทีเดียว การประกาศผลในสามวันต่อมา ปรากฏว่าหมิงเจ๋อสอบผ่านไปได้ด้วยดี มีรายชื่อปรากฏในระดับกลางค่อนไปทางล่าง นางฮานดีอกดีใจยกใหญ่ หลังจากมรสุมประดังประเดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดวันนี้ก็ได้เห็นแสงพระอาทิตย์รำไรเสียที นั่นทำให้นางมีความมั่นอกมั่นใจว่าโชคชะตากำลังแปรเปลี่ยนมาเข้าข้างตนแล้ว จิตใจจึงเบิกบานขึ้นและมองการณ์ไกลยิ่งขึ้น แม่สามีและสามีล้วนเป็นที่พึ่งพิงไม่ได้ มีก็แต่บุตรชายของตนเองเท่านั้นที่น่าพึ่งพิงได้มากที่สุด ขอเพียงหมิงเจ๋อโดดเด่นมีหน้ามีตา แล้วยังต้องหวั่นเกรงหลี่จิ้งเสียนและหลี่หมิงอวินอยู่อีกหรือ ยิ่งอนุภรรยาเหล่านั้นยิ่งมิต้องเอ่ยถึง เมื่อถึงวันนั้น พวกนางก็ไม่ต่างอะไรไปจากตัวตลก
หมิงเจ๋อสอบผ่านการสอบหมิงจิ้ง ลำดับต่อไปจึงต้องเตรียมเข้าร่วมการสอบจากกรมขุนนางอย่างเป็นทางการ หลี่จิ้งเสียนกับท่านเก๋อ ราชเลขากรมขุนนาง มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน ในวันที่สิบเดือนสี่ มารดาของท่านราชเลขาเก๋อจะอายุครบรอบเจ็ดสิบปี นางฮานจึงตัดสินใจว่าจะถือโอกาสนี้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้โดยผ่านเก๋อฮูหยินเพื่อจะได้เปิดช่องทางไว้ให้หมิงเจ๋อ
“ฮูหยินขอรับ หินสีเหลืองทอง[1]ที่ท่านต้องการให้ข้าน้อยหา ข้าน้อยหาพบแล้วขอรับ เนื้อหินอย่างดีสีสันสดใส เป็นหนึ่งในหินสีเหลืองทองชั้นยอดเยี่ยม เป็นของล้ำค่าในร้านจวี๋เป่าจ่ายก็ว่าได้ขอรับ” ผู้ดูแลจ้าวกล่าวรายงาน
นางฮานเอ่ยถาม “เจ้าบอกกล่าวแค่ว่าเขาแจ้งราคามาเท่าใดก็พอ”
ผู้ดูแลจ้าวยื่นมือออกมาสามนิ้ว
“สามร้อยตำลึง?” แม่เจียงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
“ตำลึงทองขอรับ” ผู้ดูแลจ้าวกล่าวเสริม
“แพงถึงเพียงนี้เชียวหรือ ก่อนหน้านี้อักษรภาพก็จ่ายไปแล้วตั้งหนึ่งพันตำลึงเงิน นี่อีกตั้งสามร้อยตำลึงทอง…” แม่เจียงแค่คิดก็รู้สึกปวดร้าวทั้งเนื้อตัวและหัวใจ
“หินสีเหลืองทองชั้นยอดเยี่ยม ราคานี้ไม่ถือว่าแพงหรอกขอรับ มีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อได้เสมอไปด้วยนะขอรับ เถ้าแก่ร้านนั้นรู้ว่าทางจวนพวกเราต้องการซื้อ ถึงได้ตัดใจขายให้ขอรับ” ผู้ดูแลจ้าวกล่าว
“สามร้อยก็สามร้อย ขอเพียงช่วยลูกชายข้าได้ เงินทองเท่าใดก็คุ้มค่าทั้งสิ้น ผู้ดูแลจ้าว เจ้าไปบอกเถ้าแก่ร้านว่าสิ่งของนั้นพวกเราต้องการซื้อ ไว้อีกสองวันจะนำเงินไปจ่ายให้” นางฮานกล่าวอย่างส่งเดช หากเป็นสถานการณ์ปกติ เงินสามร้อยตำลึงทองไม่นับว่าเป็นปัญหาอันใด ปัญหาคือตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง ขนาดเดือนที่แล้วนางยังหยิบตรงโน้นโยกย้ายตรงนี้เพื่อนำมาชำระดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนั้นเงินก้อนนี้ยังต้องคิดหาวิธีทางสักหน่อยว่าจะไปนำมาจากส่วนไหนได้บ้าง
“ฮูหยิน เป็นตำลึงทองนะขอรับ” ผู้ดูแลจ้าวกล่าวย้ำเตือน
นางฮานโบกมือปัดๆ อย่างรำคาญใจ “ข้ารู้แล้ว เจ้าทำเพียงแค่ไปบอกกล่าวตามนี้ก็เป็นพอ”
“ขอรับ…” ผู้ดูแลจ้าวยกสองมือขึ้นคารวะแล้วถอยออกไป
“ฮูหยินเจ้าคะ ของขวัญชุดนี้ทำไปทำมา รวมๆ กันแล้วตั้งห้าหกพันตำลึงเงิน มันมิมากเกินไปหรือเจ้าคะ” แม่เจียงกล่าวหยั่งเชิง ความยากลำบากของฮูหยินนางเข้าใจชัดแจ้งเป็นที่สุด ทว่ามันจำเป็นจริงๆ หรือที่ต้องส่งมอบสิ่งของเหล่านี้ให้ ในเมื่อห้องคลังยังมีสมบัติล้ำค่าอีกจำนวนหนึ่งอยู่
นางฮานกล่าวด้วยความอ่อนใจ “แม่เจียง เจ้าไม่เข้าใจหรอก การสอบขุนนางครั้งนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หากทำคะแนนได้ดีเยี่ยม ผนวกกับเหล่าเหยียช่วยไปวิ่งเต้นให้อีกหน่อย ถึงตอนนั้นการจัดหาตำแหน่งงานดีๆ ก็ง่ายดายขึ้นมาก อีกอย่าง การมอบของขวัญให้มิใช่เพียงราคาสูงก็จะดีพอเสมอไป แต่ยังต้องมอบในสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นเขาพึงพอใจด้วย นี่จึงเรียกได้ว่าซื้อใจคนเขาได้ เช่นนี้ถึงจะทำให้เรื่องราวสำเร็จไปได้เกินครึ่ง ข้าได้สืบถามมาแล้วว่าใต้เท้าเก๋อชื่นชอบงานแกะสลักตัวอักษร ก็เอาตามนี้แหละ ช่วงนี้คงต้องอดทนลำบากเอาหน่อย ทางด้านซานซีนั่นกล่าวว่าเดือนสี่จะมีข่าวดี พวกเราอดทนต่อไปอีกหน่อยแล้วกัน!”
ไม่ผิดที่พูดเช่นนี้ ปัญหาคือจะไปเอาเงินมาจากไหนหรือ แม่เจียงจึงกล่าวย้ำเตือน “เดือนนี้ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้อีกนะเจ้าคะ!”
นางฮานกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม “เจ้าอย่าเพิ่งเอ่ยย้ำเตือนข้าเลย พอเอ่ยถึงดอกเบี้ย สมองข้าเป็นอันต้องรู้สึกคล้ายจะระเบิดออกมาให้ได้”
หลังครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน นางฮานจึงกล่าวขึ้น “ข้าจำได้ว่าโรงเย็บปักถักร้อยร้านนั้นเคยเอ่ยว่าอยากซื้อห้องแถวที่ตงจื๋อเหมิน…”
แม่เจียงตระหนกตกใจขึ้นมาชั่ววูบ “ฮูหยิน ท่านวางแผนจะ…ทว่าห้องแถวนั่นเป็นของเอ้อร์เส้าเหยียนะเจ้าคะ”
นางฮานชักสีหน้าเคร่งขรึม “ของเอ้อร์เส้าเหยียอะไรกัน นั่นมันเป็นของเหล่าเหยียทั้งนั้น เจ้าไปถามไถ่ดูว่าพวกนางยังต้องการซื้ออยู่หรือไม่” หากขายห้องหนึ่งออกไป เรื่องเงินสำหรับซื้อของขวัญและดอกเบี้ยเงินกู้ก็จะได้เป็นเรื่องเล็กน้อยเสียที
“บ่าวเพียงแค่เกรงว่าหากเอ้อร์เส้าเหยียรับรู้เข้าแล้วจะ…” แม่เจียงยังคงลังเลใจ
นางฮานแสยะยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “เขารู้แล้วจะเป็นไรไป หรือจะไปฟ้องร้องว่าข้าขายห้องแถวของเขา? หากเขาคิดจะเผยภาพลักษณ์เช่นนั้นขึ้นมา ก็เชิญไปฟ้องร้องได้เลย ข้าจะดูสิว่าภายภาคหน้าเขาจะมีหน้าอยู่ในราชสำนักอย่างไร”
นางเยี่ยผู้นั้นก็ช่างสับปลับเสียจริง ถึงได้นำห้องแถวจำนวนสิบแปดห้องและพื้นที่ไร่สวนชานเมืองหนึ่งแห่งลงนามไว้ในชื่อของหมิงอวิน สร้างความยุ่งยากให้แก่นางไม่น้อย ทว่า ต่อให้นางเยี่ยวางแผนไว้อย่างไร สิ่งใดก็ตามที่ตกมาอยู่ในมือนางแล้วอย่าหวังเลยว่าจะทวงคืนไปได้ นางจะค่อยๆ จัดการห้องแถวเหล่านี้เสียให้สิ้น หลังจากนั้นก็สร้างกิจการขึ้นมาใหม่โดยทั้งหมดลงนามเป็นชื่อของหมิงเจ๋อ ครานี้คนตระกูลหลี่ยังจะมีหน้าไปสู้ใครได้อีกหรือ
แม่มดชรารวบรวมสิ่งของล้ำค่าจากหลายแห่ง หลี่หมิงอวินและหลินหลันก็รับรู้เรื่องนี้เช่นกัน
“หรือว่าแม่มดชรายังคงมีเงินเก็บเหลืออยู่อีก” หลินหลันเข้าใจจิตใจที่พร้อมทุ่มเทเพื่อบุตรชายของแม่มดชราได้ ทว่านางไม่เข้าใจจริงๆ ว่า แม่มดชราเอาเงินจำนวนมากถึงเพียงนั้นมาจากไหน ทุกๆ เดือนต้องจ่ายดอกเบี้ยสองหมื่นตำลึงก็สร้างความลำบากให้นางมากพอแล้ว ไหนจะค่าใช้จ่ายกองโตภายในบ้านอีก
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างเหยียดหยาม “นางจะไปมีเงินเก็บอันใดได้ นอกจากท่านพ่อนำส่วนของตนเองออกมา ทว่าเท่าที่ข้ารู้ ท่านพ่อมิได้ให้เงินแก่นาง แต่กลับแอบให้เงินหลิวอี๋เหนียงเพื่อดำเนินกิจการสองแห่ง”
หลินหลันตกตะลึง “มองมิออกเลยว่าท่านพ่อจะชื่นชอบหลิวอี๋เหนียงจริงจังถึงเพียงนี้”
หลี่หมิงอวินหัวเราะเยาะแล้วกล่าว “นั่นเป็นสิ่งที่ท่านพ่อให้บุตรชายที่ยังมิได้ลืมตาดูโลกของเขาต่างหาก ส่วนแม่มดชราในตอนนี้ คงกำลังคิดจนสมองแทบระเบิดเพื่อไขว่คว้าเงินจากทั่วสารทิศ ข้าจึงคาดเดาว่านางคงกำลังคิดการใดต่อห้องห้องแถวของข้านั่นแล้วกระมัง”
[1]หินสีเหลืองทอง (田黄石) ได้รับการขนานนามว่า “จักรพรรดิหิน” โดยหินชนิดนี้ผลิตขึ้นในหมู่บ้านโซ่วซาน เมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ส่วนมากจะนำมาแกะสลักเป็นรูปทรงงดงามต่างๆ เพื่อเป็นของประดับตกแต่ง