ปฏิญญาค่าแค้น – ตอนที่ 177 เรื่องที่ไม่มีอยู่จริง

หมิงจูกวาดสายตามองใบหน้าแต่ละคนในกลุ่มนี้ ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นอย่างเนิบช้า “เท่าที่ข้ารู้ พี่สะใภ้รองข้ามิเคยเข้าไปในพระราชวัง”

เว่ยจือเซวียนตวัดสายตามองฉิงฟางอย่างสะใจ ฉิงฟางเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวอย่างไม่ยินยอม “ต่อให้มิใช่เช่นนี้ ทว่าทักษะการรักษาของท่านหมอหลินก็ต้องเป็นที่ล้ำเลิศแน่นอน อี่นั่ว เจ้าว่าใช่หรือไม่”

ฉิงฟางคล้องแขนอี่นั่วประหนึ่งว่ากำลังแสวงหาพันธมิตร

อี่นั่วกล่าว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ฮ่องเต้มิทรงพระราชทานป้ายทองคำสุ่มสี่สุมห้าหรอก”

“ก็นั่นสิ ทักษะการรักษาของท่านหมอหลินเป็นที่ยกย่องกันโดยทั่ว” คนผู้หนึ่งกล่าวเสริม

เว่ยจือเซวียนฉีกยิ้มแล้วกล่าวด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยัน “หมอหลินมาเมืองหลวงแค่ครึ่งปีเท่านั้น หุยชุนถางก็เพิ่งเปิดได้เพียงเดือนกว่าๆ ไอ้ที่ว่าเป็นที่ยกย่องกันโดยทั่วนี่ออกจะเร็วเกินไปแล้วกระมัง! หากจะกล่าวว่าเป็นที่ยกย่องกันโดยทั่ว ร้านยาในเมืองหลวงที่คู่ควรกับคำกล่าวนี้ เห็นทีว่าคงมีเพียงเต๋อเหรินถางแห่งตระกูลฮว๋าเท่านั้นกระมัง!”

“ข้าคิดว่าที่ฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตาประทานให้ เหตุผลกว่าครึ่งหนึ่งคงเป็นเพราะเห็นแก่ความดีงามของพี่รองข้ากระมัง!”

เพียงประโยคเดียวที่หมิงจูเอื้อนเอ่ยออกไป ก็ทำให้ผู้คนล้วนหันมาครุ่นคิดกันอย่างเงียบๆ นั่นสิ! หลี่หมิงอวิน คุณชายรองของตระกูลหลี่เป็นผู้ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เลย เขามีชื่อเสียงดีงามตั้งแต่ยังเล็กจนได้รับคำชมว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ ทุกคนต่างคิดว่าผู้ดำรงตำแหน่งจอหงวนที่เยาว์วัยมากที่สุดในราชสำนักคงต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน แต่แล้วเขากลับหายตัวไปจากเมืองหลวงอย่างไร้ร่องรอยถึงสามปี เมื่อกลับมาเมืองหลวงก็กลายเป็นที่ได้รับความสนใจอีกครั้ง เริ่มจากการปฏิเสธที่จะเกี่ยวดองกับบุตรสาวของตระกูลเว่ย และดื้อดึงต้องการแต่งงานกับสาวชนบทผู้หนึ่งให้ได้ ต่อมาก็สอบติดตำแหน่งจอหงวนเข้าสู่สำนักฮ่านหลินได้อย่างง่ายดาย ตามมาด้วยการเลื่อนขั้นสามระดับในคราเดียวจนกลายเป็นมหาบัณฑิตที่เยาว์วัยที่สุดในประวัติศาสตร์ราชสำนัก เป็นผู้ซึ่งโดดเด่นและหาผู้ใดเทียบทานไม่ได้ พอหันมาคิดเช่นนี้ การที่ฮ่องเต้จะทรงพระราชทานป้ายทองคำให้กับผู้ที่พระองค์โปรดปรานก็คงมิใช่เรื่องที่เป็นไปได้ยากแต่อย่างใด เฮ้อ…แม่นางตระกูลเว่ยผู้น่าสงสาร! หากเรื่องการแต่งงานลุล่วง ยามนี้นางคงได้เป็นฮูหยินจอหงวน ภรรยาของมหาบัณฑิตสำนักฮ่านหลินไปแล้วสินะ! หากแนวโน้มเป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ภายภาคหน้าอาจได้รับพระราชทานยศตำแหน่งระดับสอง จนกลายเป็นคู่สามีภรรยาชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียงดีงามและมีหน้ามีตาอย่างไร้ที่สิ้นสุด! คงไม่ต้องเผชิญสถานการณ์อย่างทุกวันนี้ที่อายุสิบแปดปีเข้าไปแล้ว แต่ยังขายไม่ออกเสียที… ผู้คนจึงพร้อมใจกันมองไปที่เว่ยจือเซวียนด้วยสายตาอันแสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจ

เว่ยจือเซวียนถูกทุกคนมองจนเกิดความรู้สึกอับอายขึ้นมา หรือพวกนางคิดว่าเป็นเพราะนางยังคงเคียดแค้นจึงต้องการพูดให้ร้ายหลินหลัน? เชอะ! นังหญิงสาวชนบทผู้นั้นคู่ควรหรือ เว่ยจือเซวียนจึงกล่าวขึ้นโดยวางมาดบาตรใหญ่ “พวกเจ้ามองข้าทำไมกัน ข้าแค่พูดความจริงเท่านั้น หมิงจูเสี่ยวเจี่ยะนางบอกกล่าวความจริงไปแล้วมิใช่หรือ”

ฉิงฟางเผยรอยยิ้มเหยียดหยามเล็กน้อย “พวกเราก็มิได้ว่าอันใดนี่ เหตุใดพี่เว่ยต้องร้อนรนถึงเพียงนี้ด้วยเจ้าคะ”

แม่นางท่านหนึ่งกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ทักษะการรักษาของท่านหมอหลินเป็นอย่างไรนั้นมิใช่เรื่องที่พวกเราจะตัดสินใจกันได้ ครั้งก่อนข้าเดินผ่านร้านยาหุยชุนถาง เห็นว่าในร้านมีคนมาเข้ารับการรักษาและเลือกซื้อยามากมาย โดยสรุปก็คือหากเจ้าเชื่อในฝีมือนาง ก็ให้นางวินิจฉัยรักษาให้ หากมิเชื่อนาง ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็มีหมอท่านอื่นเช่นกัน ถึงเจ้าจะมิเชื่อในฝีมือนาง ทว่าผู้คนที่เชื่อในฝีมือนางกลับมีให้เห็นไม่น้อยทีเดียว”

“ทักษะการรักษาพี่สะใภ้รองของข้าเป็นเช่นไรนั้นข้าเองก็มิค่อยทราบแน่ชัด ข้ารู้เพียงแค่พี่สะใภ้รองข้าพิถีพิถันต่อเรื่องอาหารการกินอย่างยิ่ง รู้จักรักษาสุขภาพเป็นอย่างดี ทว่า…ยามใดที่ท่านป้าข้าไม่สบายขึ้นมา นางมักจะเรียนเชิญหมอจากด้านนอกมาตรวจดูอาการให้ทุกครั้งแทนที่จะให้พี่สะใภ้รองตรวจรักษา” หมิงจูกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้หรือ” ฉิงฟางกล่าวด้วยความประหลาดใจ

เว่ยจือเซวียนเบ้ปากแล้วหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “นี่ยังต้องถามอีกหรือ แน่นอนว่าคนในครอบครัวกันเองต้องรู้ดีที่สุดว่าจะเชื่อถือฝีมือได้หรือไม่…”

กลุ่มคนดังกล่าวพร้อมใจกันเผยสีหน้าประหลาดใจ หรือว่าแท้จริงแล้วชื่อเสียงของท่านหมอหลินเป็นเพียงคำร่ำลือจอมปลอม?

“ข้าว่าเป็นเพราะใครบางคนมีใจคิดร้ายต่อคนเขาต่างหาก จึงมิกล้าเรียนเชิญท่านหมอหลินให้ช่วยตรวจดูอาการให้! ใครกันบ้างที่จะมิรู้ว่าท่านป้าที่แม่นางหมิงจูท่านนี้กล่าวถึงก็คือแม่เลี้ยงคนหนึ่งนั่นเอง?” เสียงใสชัดแจ๋วดังขึ้นภายใต้คำกล่าวเชิงเหยียดหยามอย่างไร้ความเกรงใจ

ทุกคนหันหน้าไปมองตามๆ กัน เห็นเพียงเผยจื่อชิ่งเดินมาพร้อมกับหญิงสาวอีกท่านหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนปักลวดลายดอกโบตั๋นงดงามเดินตรงเข้ามาอย่างใจเย็น ดวงตาคู่สวยของสตรีผู้นั้นคมกริบ สายตาเรียบเฉยและมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกหยิ่งยโส

มีบางคนที่จำนางได้ ผู้มาเยือนคืออู่หยางจวิ้นจู่ หลานสาวของไท่โฮ่วพระองค์ปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นที่รักใคร่ของไท่โฮ่วอย่างยิ่ง

เพราะน้อยครั้งที่หมิงจูจะออกมาข้างนอกจึงไม่รู้จักอู่หยางจวิ้นจู่ เมื่อนางได้ยินคำพูดคำจาซึ่งฟังไม่รื่นหูด้วยการกล่าวเหยียดหยามมารดา ภายในใจจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง “แม่เลี้ยงแล้วเป็นอย่างไรหรือ เจ้าไม่รู้เรื่องครอบครัวของผู้อื่น มีสิทธิ์อะไรมาพูดจาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้” นางถามเสียงเย็นชา

อู่หยางจวิ้นจู่มองหลี่หมิงจูตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าดูแคลนยิ่งกว่าเดิม แสยะยิ้มออกมาแล้วกล่าวขึ้น “เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะแห่งตระกูลหลี่ แม้ว่าเจ้าเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องในตระกูลหลี่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนของตระกูลหลี่ การได้ฟังผู้อื่นชื่นชมคนของตระกูลเจ้า เจ้าควรดีใจอย่างยิ่งถึงจะถูก ต่อให้ภายในใจเจ้ามิชื่นชอบพี่สะใภ้รองของเจ้า แต่อย่างน้อยๆ ก็ควรรู้ว่าเรื่องราวด้านแย่ๆ ภายในบ้านมิควรนำมาแพร่งพรายสู่ภายนอก ผู้ใดเขาจะกล้าทำเฉกเช่นเจ้าที่พูดสุ่มสี่สุ่มห้าได้หน้าตาเฉยเช่นนี้? พวกเราคนนอกเป็นธรรมดาที่จะมิรู้เรื่องราวในบ้านของเจ้า แต่จากสิ่งที่เจ้าเอ่ยมาทั้งหมดในวันนี้ จึงคาดเดาได้มิยากเช่นกันว่าขนาดอยู่ภายนอกยังประสงค์ร้ายต่อคนเขาถึงเพียงนี้ แล้วอยู่ในบ้านจะยุยงปลุกปั่นถึงเพียงไหน! ทุกคนว่า ที่ข้าพูดฟังดูมีเหตุมีผลหรือไม่”

ด้วยสถานะของอู่หยางจวิ้นจู่ ไม่ว่าที่อู่หยางจวิ้นจู่กล่าวแยกแยะมานั้นมีเหตุมีผลหรือไม่ ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าโต้แย้งคำพูดของนางอยู่ดี แต่ละคนจึงทยอยสาดสายตาดูถูกเหยียดหยามไปทางหมิงจู

หมิงจูเห็นสถานการณ์กลับตาลปัตรจึงเกิดความกระวนกระวายใจ นางมองไปยังผู้กล่าวแย้งความคิดเห็นต่อหน้าทุกคนเมื่อก่อนหน้านี้ ทว่านางกลับไม่กล้าเอื้อนเอ่ยใดๆ ขึ้นมาอีก นอกเสียจากขมุบขมิบปากอยู่เงียบๆ ด้วยความหงุดหงิด

เผยจื่อชิ่งซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าวอย่างอ่อนหวาน “มิแปลกเลยที่ใครๆ ต่างกล่าวว่าเกรงกลัวการมีชื่อเสียง ท่านหมอหลินอายุยังเยาว์วัย อีกทั้งทักษะการแพทย์ยังล้ำเลิศ ดังนั้นการมีผู้เกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาจึงเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกันเจ้าค่ะ”

อู่หยางจวิ้นจู่ตวัดสายตามองไปยังเรือนร่างของเว่ยจือเซวียนพร้อมกับเผยรอยยิ้มเหยียดหยัน “แล้วยังมีผู้ที่ไม่มีปัญญากินองุ่นแต่ก็เอ่ยว่าองุ่นมันเปรี้ยวเสียด้วยสิ!”

ผู้คน ณ ตรงนี้ล้วนเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดดังกล่าวจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ใบหน้าของเว่ยจือเซวียนแดงก่ำขึ้นมาทันที นางรู้สึกอับอายอย่างยิ่งจึงวิ่งก้มหน้าก้มตาออกไปจากโถงรับแขกนี้

ทุกคนจึงพากันส่งเสียงหัวเราะร่า

หมิงจูเอ่ยถามหวงอิงด้วยเสียงบางเบา “สตรีในชุดสีเหลืองท่านนี้เป็นใครกันหรือ”

หวงอิงไม่เคยเห็นอู่หยางจวิ้นจู่เช่นกัน จึงส่ายหน้า

อู่หยางจวิ้นจู่ทิ้งตัวลงนั่งพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ “นานมากแล้วที่มิได้กลับมาเมืองหลวง จึงจำพี่ๆ น้องๆ หลายท่านมิได้เสียแล้ว จื่อชิ่ง ช่วยแนะนำให้ข้ารู้จักทีสิ”

เผยจื่อชิ่งกล่าวอย่างอ่อนหวาน “สองปีมานี้ข้าเองก็ออกมาพบปะสหายใหม่ๆ น้อยครั้งเช่นกัน เอาเป็นว่าให้น้องเหมยแนะนำแล้วกันเจ้าค่ะ!”

แม่นางแซ่เหมยลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง นางค่อยๆ กล่าวแนะนำต่ออู่หยางจวิ้นจู่ทีละคนๆ

“ท่านนี้คือบุตรสาวของท่านใต้เท้าชิวแห่งศาลต้าหลี่[1] ชิวอี่นั่ว ส่วนท่านนี้หวงอิงเป็นบุตรสาวของใต้เท้าหวงกงปู้หยวนไว่หลางเจ้าค่ะ…”

“บุตรสาวของตระกูลหวง” อู่หยางจวิ้นจู่เอ่ยถามย้ำขึ้นมาหนึ่งประโยคเป็นพิเศษ

หวงอิงรีบลุกขึ้นยืนแล้วคารวะให้อู่หยางจวิ้นจู่ “หวงอิงคาราวะอู่หยางจวิ้นจู่เจ้าค่ะ”

อู่หยางชำเลืองมองหลี่หมิงจูซึ่งอยู่ข้างกายนางแล้วกล่าวต่อหวงอิงด้วยน้ำเสียงเนิบๆ “ดูเจ้าอายุยังน้อย จะเชื่อมมิตรไมตรีกับสหายสักคนก็ต้องระมัดระวังเอาไว้หน่อย อย่าได้คว้าใครมาเป็นพี่น้องสุ่มสี่สุ่มห้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กล่าวถึงคนในครอบครัวตนเองลับหลัง ประเภทเหล่านั้น เอาไว้ใกล้ตัวมิได้เป็นอันขาด เพราะดีไม่ดีครั้งต่อไปนางอาจกล่าวถึงเจ้าก็เป็นได้ หากตระกูลใดมิทันระวังไปคว้าเอาคนประเภทนี้มาเป็นลูกสะใภ้ เช่นนั้นคงได้ซวยแย่เลยทีเดียว”

หวงอิงหันกลับมามองหมิงจูแล้วขยับฝีเท้าสองสามก้าวเพื่อรักษาระยะห่างกับหมิงจู

หลี่หมิงจูเลือดขึ้นหน้าในทันทีทันใด นางอดกลั้นจนอดกลั้นมิไหวเลยก้าวเดินขึ้นไปเบื้องหน้าหนึ่งฝีก้าวแล้วเอ่ยถามอู่หยางด้วยความโกรธเกี้ยว “ข้าไปทำอันใดให้เจ้าหรือ เจ้าถึงได้หาเรื่องข้าถึงเพียงนี้ ข้าเพียงแค่พูดความจริงนั้นเอง เจ้ามิอยากฟังก็มิต้องฟังสิ แค่พูดจามันผิดกฎหมายหรือไร เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ห๊ะ!”

อู่หยางจวิ้นจู่มองนางอย่างดูแคลนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มิผิดกฎหมายใดหรอก ข้าเพียงแค่มิเชื่อในคำพูดของเจ้าก็เท่านั้น อีกทั้งข้าก็ไม่เห็นคนอย่างเจ้าในสายตาด้วยซ้ำไป ส่วนที่ว่าข้าเป็นผู้ใด ไว้กลับไปถามท่านป้าเจ้าดูแล้วกันว่าอู่หยางจวิ้นจู่เป็นผู้ใด หากนางมิรู้จักเจ้าค่อยไปถามท่านลุงเจ้าอีกทีแล้วกัน”

หลี่หมิงจูถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก นางไม่รู้ว่าอู่หยางจวิ้นจู่เป็นผู้ใด มีภูมิหลังเป็นเช่นไร ทว่านางรู้ดีว่าฐานะของจวิ้นจู่มิใช่อะไรที่นางซึ่งเป็นเพียงหลานสาวของตระกูลราชเลขาจะเทียบได้ หลี่หมิงจูจึงชักสีหน้าใส่ด้วยความรำคาญแล้วเดินจากไป เพราะขืนอยู่ต่อไป เกรงว่าจวิ้นจู่ผู้นี้ยังจะทำให้นางต้องอับอายหนักขึ้นไปอีก ซึ่งนางยังพอตระหนักได้ว่าควรหลีกเลี่ยงถึงจะเป็นการดี

อีกด้านหนึ่ง นางฮานกำลังพูดคุยกับหวงฮูหยินอย่างถูกปากถูกคอขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะแลกเปลี่ยนใบบันทึกวันเดือนปีเกิดคู่หมั้นหมายให้กันและกันเพื่อกำหนดการแต่งงานครั้งนี้

“เรื่องนี้พวกเราก็ตกลงกันตามนี้แล้วนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ข้าจะให้แม่สื่อไปสู่ขอที่บ้าน” หวงฮูหยินกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน การได้เกี่ยวดองกับตระกูลท่านราชเลขาหลี่ ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อหน้าที่การงานในภายภาคหน้าของสามีนาง แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อฉีเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน ถึงจะเป็นแค่หลานสาวก็เถอะ! หากเป็นบุตรสาวตระกูลหลี่อย่างชอบธรรมตามกฎหมาย มีหรือจะตกมาถึงฉีเอ๋อร์ของพวกเขา

“ข้าขอกลับบ้านไปถามความคิดเห็นของสามีข้าก่อนแล้วกัน ทว่าข้าคิดว่าเขาคงต้องเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” นางฮานกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน นางพึงพอใจต่อการเกี่ยวดองกับตระกูลนี้อย่างยิ่ง บุตรชายของตระกูลหวงสอบหมิงจิ้งครั้งนี้ผ่านด้วยเช่นกัน ดังนั้นเรื่องความสามารถด้านการศึกษาจึงมิต้องสงสัย ส่วนรูปลักษณ์ มองดูบุตรสาวของหวงฮูหยินซึ่งดูงดงามน่ารัก เช่นนั้นบุตรชายก็คงไม่น้อยหน้ากัน แต่เพื่อความรอบคอบ นางจึงกล่าวอย่างไม่ตบปากรับคำเสียทีเดียว เพื่อที่จะได้ไปสืบถามว่าคุณชายหวงบุตรชายบ้านนี้อุปนิสัยเป็นเช่นไร

“จริงสิ มีเรื่องหนึ่งที่อยากถามไถ่ อาจดูละลาบละล้วงไปหน่อยนะเจ้าคะ” นางฮานกล่าว ซึ่งตามจริงแล้วเรื่องนี้เป็นประเด็นที่นางอยากถามไถ่มาโดยตลอด ทว่าด้วยยังไม่เชื่อมความสัมพันธ์สนิทสนมถึงเพียงนั้นจึงละอายใจเกินกว่าที่จะเอ่ยถาม ทว่ายามนี้พูดคุยกันถึงขั้นเรื่องแต่งงานแล้ว ดังนั้นหากจะซักถามสักหน่อยก็คงมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด

“ท่านว่ามาเลยเจ้าค่ะ” หวงฮูหยินยังคงคิดว่านางฮานต้องการถามถึงเรื่องฉีเอ๋อร์เพื่อจะได้เข้าใจขึ้นไปอีกระดับ

นางฮานครุ่นคิดอย่างเงียบงันก่อนกล่าวออกไปด้วยท่าทีเกรงใจ “ข้าได้ยินว่าตระกูลพวกท่านเปิดกิจการเหมืองถ่านหินที่ซานซีด้านนั้นหรือเจ้าคะ”

หวงฮูหยินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ท่านไปได้ยินผู้ใดพูดมาหรือ มีเรื่องเช่นนี้เสียที่ไหนกันเจ้าคะ”

นางฮานตกตะลึงชั่ววูบ ก่อนจะกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มทันทีม “ท่านอย่าปิดบังข้าเลย แหล่งข่าวที่ข้าได้รับเชื่อถือได้ ข้าเพียงแค่อยากทำความเข้าใจไว้หน่อยเจ้าค่ะ ว่าแต่ว่ากิจการเหมืองถ่านหินของตระกูลท่านเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”

ครั้งนี้เป็นคราวที่หวงฮูหยินตะลึงงันบ้างเสียแล้ว “ไม่มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ นะเจ้าคะ หากมีเรื่องนี้ มีหรือข้าจะมิบอกเล่าให้ท่านฟัง”

นางฮานเริ่มรู้สึกตงิดๆ มิใช่นายกู่เอ่ยว่ากิจการเหมืองถ่านหินของตระกูลเขา ก็เป็นเขาดูแลจัดการให้เช่นกันหรอกหรือ

“เช่นนั้นท่านรู้จักชายผู้หนึ่งที่แซ่กู่หรือไม่เจ้าคะ” นางฮานเอ่ยถามพร้อมโอบกอดความหวังเส้นสุดท้าย

หวงฮูหยินยิ่งรู้สึกประหลาดใจเข้าไปใหญ่ “แซ่กู่ท่านไหนหรือ ข้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลยนะเจ้าคะ”

นางฮานมองดูหวงฮูหยิน สีหน้าของนางดูไม่เหมือนกำลังพูดโกหกแต่อย่างใด วินาทีนี้นางจึงรู้สึกถึงหัวใจที่ดำดิ่งลงไม่หยุดยั้งราวกับตกสู่ห้วงเหวลึก และเผชิญความหนาวเย็นจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว

หวงฮูหยินเห็นสีหน้าของนางฮานผิดปกติไปจึงกล่าวขึ้นอย่างใส่ใจ “หลี่ฮูหยิน ท่านคงมิได้ลงทุนไปกับเหมืองถ่านหินแล้วกระมังเจ้าคะ? ข้าได้ยินว่ากิจการนั้นความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง หากลงทุนถูกที่ก็รอรับทรัพย์เป็นกอบเป็นกำได้เลย ทว่าหากลงทุนไม่ถูกที่ ขาดทุนย่อยยับจนต้องขูดเลือดขูดเนื้อก็มีให้เห็นเช่นกันเจ้าค่ะ”

นางฮานไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังร้องไห้หรือเผยรอยยิ้ม นางฝืนยกมุมปากโค้งขึ้นแล้วกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ไม่…ไม่เจ้าค่ะ ข้าก็แค่รู้สึกสนใจเท่านั้น เลยอยากถามไถ่ดูน่ะเจ้าค่ะ”

หวงฮูหยินกล่าว “เช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ เหล่าเหยียของตระกูลเราเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวง แม้ว่าไม่ถึงขั้นร่ำรวยมหาศาล แต่ก็นับว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยระดับหนึ่ง เหตุใดต้องไปเสี่ยงถึงเพียงนั้นด้วยล่ะเจ้าคะ ข้าบอกท่านตามตรง ข้ากำลังดำเนินกิจการหนึ่งอยู่ แม้ว่าจะมิได้ทำเงินทองมากมายนัก แต่หลายๆ ปีรวมกันไว้ก็มิใช่น้อยๆ เช่นกัน หากฮูหยินรู้สึกสนใจ ข้าแนะนำท่านได้นะเจ้าคะ…”

[1]ศาลต้าหลี่ (大理寺) เป็นสถานที่ใช้ตัดสินคดีความของเหล่าขุนนาง

ปฏิญญาค่าแค้น

ปฏิญญาค่าแค้น

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ปฏิญญาค่าแค้นหลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมา จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนาง นั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับ ให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนา ในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวง ทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือ เขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset