ณ จวนท่านใต้เท้าหวง กงปู้หยวนไว่หลาง
“ได้ยินว่าบุตรชายตระกูลท่านต้องการสู่ขอหลานสาวของตระกูลท่านราชเลขาหลี่หรือเจ้าคะ” ฮูหยินเรือนร่างอวบอิ่มท่านหนึ่งซึ่งดูมีฐานะร่ำรวยอย่างเห็นได้ชัดเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบ
หวงฮูหยินตะลึงงันด้วยความคาดไม่ถึง “จ้าวฮูหยิน นี่ท่านไปได้ยินผู้ใดพูดมาหรือเจ้าคะ มีเรื่องนี้ที่ไหนกันเจ้าคะ!”
“ด้านนอกพากันร่ำลือให้ทั่วแล้วเจ้าค่ะ ท่านไม่รู้หรอกหรือ” จ้าวฮูหยินเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
หวงฮูหยินเบิกตากว้างกล่าวเสียงสูงด้วยความโกรธเกรี้ยว “ผู้ใดเป็นคนสร้างข่าวลือจอมปลอมนี่ขึ้นมาหรือ ยังมีคุณธรรมกันอยู่บ้างหรือไม่ ฉีเอ๋อร์ของข้าหรือจะสู่ขอสตรีที่มีนิสัยใจคอประเภทนั้นได้อย่างไร”
จ้าวฮูหยินกล่าวขึ้นทันควัน “ข้าก็ว่าแล้วเชียว! ท่านเป็นผู้ฉลาดเฉลียว เหตุใดจะทำเรื่องใหญ่โตในชีวิตอย่างเลอะเทอะเช่นนั้นได้ล่ะเจ้าคะ มิใช่ว่าพวกเรารังเกียจเดียดฉันท์ว่านางเป็นเพียงหลานสาวคนหนึ่งหรอกเจ้าค่ะ เรื่องชาติตระกูลอะไรนั่นแค่พอไปวัดไปวาด้วยกันได้ก็เป็นอันพอ ประเด็นสำคัญคืออุปนิสัยนี่ต่างหากเจ้าค่ะ การจะสู่ขอภรรยาสักคนต้องสู่ขอผู้ที่มีคุณธรรมดีงามเป็นหลัก หากไปคว้าผู้ที่ปากเปราะเราะราย วันๆ เอาแต่พูดติฉินนินทาไปเรื่อยเปื่อย จับนู่นผสมนี่ เช่นนั้นครอบครัวคงมิเป็นอันสงบสุข ท่านอย่าหาว่าข้าวุ่นวายเลยนะเจ้าคะ ด้วยความที่เราสองบ้านมีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน พอข้าได้ยินเรื่องนี้จึงรีบมาถามไถ่ทันที ในเมื่อท่านมิได้มีความนึกคิดนี้ เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้วเช่นกัน ทว่าคำร่ำลือที่แพร่งพรายออกไปนี่ล่ะเจ้าคะ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ผู้คนพากันพูดต่อไปเรื่อยจนเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ชื่อเสียงอันดีงามของคุณชายหวงจะได้รับผลกระทบไปด้วยนะเจ้าคะ”
ในวันนั้นที่หวงฮูหยินได้ฟังบุตรสาวถ่ายทอดคำพูดของอู่หยางจวิ้นจู่ จึงล้มเลิกความนึกคิดที่จะเกี่ยวดองด้วยทันที วันก่อนหลี่ฮูหยินให้คนส่งบัตรเชิญนางไปพูดคุยที่ตระกูลหลี่ นางก็แสร้งทำเป็นป่วยเพื่อบอกปฏิเสธไปแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าภายนอกในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยข่าวลือเสียได้ ครานี้ในภายภาคหน้าฉีเอ๋อร์จะหาภรรยาได้อย่างไร หวงฮูหยินเดือดดาลจนอยากก่นด่า แต่ด้วยจ้าวฮูหยินยังอยู่ข้างๆ จึงกลั้นความโกรธเอาไว้แอบกัดฟันแน่นแล้วเอ่ย “หากข้ารู้ว่าเป็นผู้ใดที่แพร่งพรายข่าวลือจอมปลอมนี่ออกไป ข้าจะสั่งสอนให้เข็ด”
จ้าวฮูหยินกล่าวอย่างมีนัย “อาจเป็นไปได้ว่ามีใครพูดจาเรื่อยเปื่อยหยิบยกขึ้นมาพูดกันเล่นๆ และอาจเป็นไปได้เช่นกันว่ามีใครบางคนจงใจทำลายชื่อเสียงหลานชายคนโตของข้า ซึ่งมิแน่ว่าอาจเป็นตระกูลหลี่เองที่แพร่งพรายคำพูดนี้…เฮ้อ! โดยสรุปแล้ว! ปากคอมันอยู่บนใบหน้าผู้อื่นเขา พวกเราคงทำอะไรมิได้เช่นกัน?” จ้าวฮูหยินทอดถอนหายใจขณะกล่าว
หวงฮูหยินยิ่งไตร่ตรองยิ่งคิดว่ามีความเป็นไปได้ หลี่ฮูหยินลงทุนเป็นฝ่ายเข้าหานาง แน่นอนว่าคงเป็นเพราะร้อนใจอยากจะกำหนดการแต่งงานให้เป็นที่เรียบร้อย เกรงว่าอีกฝ่ายคงเสียดายที่เห็นนางไม่เล่นด้วย จึงจงใจปล่อยข่าวลือนั่นเพื่อบีบบังคับนางทางอ้อมก็เป็นได้ เมื่อครุ่นคิดเช่นนี้ ภายในใจยิ่งเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ทว่ายังคงทำได้เพียงกล่าวด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ขอบคุณจ้าวฮูหยินมากที่มาบอกกล่าวข้า มิเช่นนั้นข้าคงยังไม่รู้เรื่องรู้ราว! เรื่องนี้ไว้ข้าจะจัดการเองอีกที ข้าจะไม่ยินยอมปล่อยให้ผู้มีจิตใจต่ำทรามเหล่านั้นทำลายชื่อเสียงต่อไปได้”
ตอนแรกนางฮานถูกข่าวร้ายโจมตีจนสับสนทำอะไรไม่ถูก ทว่าหลังสงบสติอารมณ์ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนก็เกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นมา หลังได้ดูสมุดบัญชีที่นายกู่ทิ้งไว้ให้อย่างละเอียดจึงพบว่ารายการบัญชีต่างๆ ถูกทำไว้อย่างถี่ถ้วนหาข้อผิดพลาดไม่เจอเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้การแล้ว อย่างไรก็ต้องไปถามไถ่ทางตระกูลหวงเสียหน่อย
หลินหลันจัดเรียงยาอยู่ภายในร้านระหว่างรอหลี่หมิงอวินเลิกงาน หลังจากนั้นค่อยกลับบ้านพร้อมกัน แต่ดูเหมือนวันนี้หมิงอวินจะช้าเป็นพิเศษ เกือบจะถึงยามเซินแล้วทว่ายังคงไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะมาถึง
หยินหลิ่วมองดูท้องฟ้าพลางเอ่ยอย่างกังวล “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ให้เหวินซานไปดูหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลินหลันกลับไม่ร้อนรนใจแต่อย่างใด ถึงอย่างไรภาระงานภายในร้านตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อย จึงกล่าวอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “เจ้าจะร้อนใจไปทำไมกัน เอ้อร์เส้าเหยียคงยังสะสางงานไม่เรียบร้อยกระมัง ก็เหมือนเอ้อร์เส้าหน่ายนายของเจ้านี่อย่างไร รอไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็นเถอะ!”
หยินหลิ่วมุ่ยปากอย่างเศร้าสร้อยแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป ทันทีที่นำยาใส่ห่อเป็นที่เรียบร้อยก็ส่งให้คนที่รอรับยาอยู่
โม่จื่อโหยวส่งเสียง ‘เอ้ๆ’ ขึ้นมาแล้วคว้าห่อยาไปจากมือของหยินหลิ่ว
“เจ้าทำอะไรน่ะ” หยินหลิ่วมองเขาอย่างสงสัย
โม่จื่อโหยวกล่าว “ข้าเห็นว่าเมื่อครู่นี้เจ้าหยิบยาโดยมิได้ชั่งด้วยซ้ำ อย่าได้ทำมั่วซั่วเชียว”
หยินหลิ่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วชี้ไปที่ห่อยาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “เช่นนั้นเจ้าก็ลองชั่งดูสิ หากไม่พอดี ข้าจะเรียกเจ้าว่าท่านอาจารย์”
หลินหลันเห็นว่าพวกเขาเริ่มต่อปากต่อคำกันอีกแล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ให้เรียกอาจารย์คงมิได้กระมัง เพราะข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าแล้ว หรือเจ้าอยากมีอาจารย์เพิ่มอีกท่านเช่นนั้นหรือ ข้าไม่ยินยอมหรอก”
หยินหลิ่วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคอะเขิน “ข้า…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นนะเจ้าคะ”
โม่จื่อโหยวกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ว่ากันตามหลักแล้วเจ้าควรเรียกข้าว่าซือปั๋ว[1] เอาแบบนี้แล้วกัน เจ้าเองจะได้ไม่ต้องมีอาจารย์เพิ่มมาอีกหนึ่ง หากเจ้าแพ้ วันหน้าวันหลังเจ้าต้องเรียกข้าว่าซือปั๋ว”
หยินหลิ่วเท้าสะเอวชำเลืองตามองโมจื่อโหยว “เช่นนั้นหากข้าชนะล่ะ”
โม่จื่อโหยวกะพริบตาปริบๆ “ข้าจะเรียกเจ้าว่าศิษย์หลานแล้วกัน!”
“เฮ้อ…สรุปแล้วยานี่จะได้ลองชั่งดูหรือไม่” ท่านลุงผู้ที่รอรับยากล่าวด้วยความสับสน
หยินหลิ่วยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยต่อท่านลุงผู้นั้น “ท่านลุง ท่านรอเดี๋ยวนะเจ้าคะ” ตามด้วยหันมาเอ่ยกับโม่จื่อโหยวด้วยสีหน้าขึงขัง “เจ้าต้องการชั่งดูก็เร็วเข้าสิ อย่าให้ท่านลุงต้องรอนาน”
โม่จื่อโหยวกลอกตามองบนใส่นาง และแอบนึกคิดด้วยความเศร้าใจ หยินหลิ่วเห็นใครต่อใครล้วนแสดงออกอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่เหตุใดถึงปั้นหน้าดุดันใส่แต่กับเขา ไม่มีความอ่อนโยนสักนิด เฮ้อ! ช่างน่าสงสารเสียจริง!
โม่จื่อโหยวมิใช่ไม่เชื่อในฝีมือความแม่นยำของหยินหลิ่ว ก็แค่หาข้ออ้างหยอกล้อนางเล่นเท่านั้น ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูเป็นกังวลอย่างยิ่งของท่านลุงผู้นั้นที่เกรงว่ายานี่จะไม่ได้ถูกจัดตามปริมาณที่หมอจ่ายให้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเปิดห่อยาออกแล้วนำยาออกมาวางบนตาชั่ง
“ไม่มากไม่น้อย พอดิบพอดีเป๊ะ” เหวินซานชะโงกหน้าไปมองตาชั่งแล้วเลื่อนสายตามองใบจ่ายยา ทันใดนั้นเขาชูหัวแม่โป้งขึ้นเอ่ยชม “หยินหลิ่ว มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะมีความสามารถถึงเพียงนี้!”
หยินหลิ่วยักคิ้วหลิ่วตาให้โม่จื่อโหยว เอ่ยอย่างสบายอกสบายใจ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเคยกล่าวไว้ว่าทำเรื่องอันใดล้วนต้องศึกษาวิธีการ ตราบใดที่มีเทคนิคอันเชี่ยวชาญก็จะช่วยให้เบาแรงไปได้อีกเท่าตัว มิน่าล่ะ ตอนนั้นพวกท่านศิษย์พี่ทั้งห้ารวมๆ กันแล้วยังสู้เอ้อร์เส้าหน่ายนายมิได้เลย ก็เพราะพวกท่านไม่รู้จักหัดใช้สมองเสียบ้างนี่เอง”
โม่จื่อโหยวถูกนางกล่าวเชิงจิกกัดจนพูดไม่ออก “เฮ้อ เจ้าคงสะใจแล้วสินะ…”
หยินหลิ่วนำยาใส่ห่ออีกครั้งแล้วส่งมอบให้ท่านลุงผู้นั้น “ท่านลุงเจ้าคะ ท่านรับเอาไปอย่างวางใจได้เลยเจ้าค่ะ ทักษะการรักษาของหุยชุนถางล้ำเลิศเสียยิ่งกระไร ผู้ช่วยในร้านที่คอยหยิบยาแต่ละคนก็มีความสามารถไม่แพ้กัน เที่ยงตรงประหนึ่งตาชั่ง ท่านนำกลับไปอย่างวางใจได้เลยเจ้าค่ะ”
ท่านลุงผู้นี้ถึงรู้สึกวางใจ กล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน “แม่นางพูดได้พูดต้องยิ่งนัก ข้าเชื่อมั่นในหุยชุนถางของพวกเจ้า”
หลินหลันอมยิ้ม หยินหลิ่วสาวน้อยผู้นี้ถูกโม่จื่อโหยวฝึกฝนฝีปากจนรู้จักพูดกับเขาขึ้นมาแล้ว เห็นทีว่าการต่อกรด้วยวาจาก็มีประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน
ทางด้านโม่จื่อโหยวนั้นเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าอย่ามัวคุยโว พูดความจริงออกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าใช้วิธีการใด พวกเราจะได้เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมอย่างไรล่ะ”
หยินหลิ่วเอ่ยอย่างไม่กระดากอาย “เรื่องนี้ใครเขาสอนกันง่ายๆ มิเช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าว่าท่านอาจารย์ก่อนสิ…”
“นี่…ข้าว่าแล้วเจ้าสาวน้อยตัวดี คิดจะยกตนเหนือฟ้าเช่นนั้นหรือ”
ขณะที่กำลังวุ่นวายกันอยู่นั้น หลี่หมิงอวินและตงจึก็พากันเดินเข้ามา
เหวินซานรีบเดินไปต้อนรับ หลินหลันวางมือจากภาระงานที่ทำอยู่เช่นกัน นางส่งมอบให้ฝูอานซึ่งอยู่ข้างๆ รับช่วงต่อ “เจ้าหยิบยาตามใบรายการยานี้ทีนะ แล้วอีกประเดี๋ยวก็นำไปส่งมอบที่จวนซุน”
ฝูอานรับใบจ่ายยาไว้แล้วปฏิบัติงานต่อไป
“เรียบร้อยแล้วหรือ” หลี่หมิงอวินเดินมาหยุดเบื้องหน้าตู้ขายยาแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันเก็บสัมภาระพลางเอ่ยถาม “วันนี้ราชการมากมายหรือ”
หลี่หมิงอวินไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ ทำเพียงกล่าวด้วยเสียงอบอุ่น “ไว้คุยกันระหว่างทางเถอะ!”
หลังขึ้นรถม้าเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันมองดูหลี่หมิงอวินที่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยภายใต้ท่าทีสงบนิ่ง นางนึกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามเสียงเบา “ลงมือเรื่องทางด้านซานซีนั่นแล้วหรือ”
หลี่หมิงอวินเอียงศีรษะเข้ามา แล้วยื่นมือไปสะกิดปลายจมูกของหลินหลันอย่างเบามือพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าช่วยเลิกฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้จะได้หรือไม่”
หลินหลันปัดมือเขาทิ้ง นางส่งเสียงหัวเราะคิกคักแล้วเขยิบเข้าไปแนบชิดกายหมิงอวิน ส่งท่อนแขนไปโอบรอบลำคอของเขาและเอ่ยเร่งเร้า “รีบเล่าให้ข้าฟังเร็วเข้า”
หลี่หมิงอวินฉีกยิ้มกว้างพลางดึงแขนของนางออกแล้วส่งโอบเอวคอดของนางไว้ด้วยแขนของเขา “วันนี้นายกู่น่าจะไปพบแม่มดชรามาแล้ว” เขากล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลสุขใจ
หลินหลันถึงกับหัวใจเต้นระรัว ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงแล้ว แม่มดชราจะโกรธเกรี้ยวจนกระอักเลือดไปแล้วหรือไม่นะ
“เช่นนั้นเมื่อครู่นี้เจ้าไปพบนายกู่มาหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม
“เปล่า ในช่วงเวลาเช่นนี้ ข้าไม่พบเจอเขาจะเป็นการดีที่สุด ถึงอย่างไรเรื่องที่ควรปรึกษาหารือก็ปรึกษากันไปเรียบร้อยแล้ว ต่างฝ่ายต่างดำเนินหน้าที่ของตนเองก็เป็นอันพอ เพื่อป้องกันมิให้แม่มดชรานึกสงสัยอันใดขึ้นมาได้” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยเสียงเบา
หลินหลันพยักหน้า “ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า ระมัดระวังและรอบคอบเข้าไว้ถึงจะเป็นการดีที่สุด”
“เดิมทีวันนี้อยากส่งข่าวให้เจ้ารีบกลับไปแต่หัววันจะได้ชมละครสนุกๆ ทว่าข้ามาคิดๆ ดูแล้ว พวกเราควรวางตัวให้อยู่นอกเรื่องนี้ไว้จะเป็นการดีกว่า ปล่อยให้พวกเขาเป็นบ้ากันไป” หลี่หมิงอวินกล่าว
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มิต้องดูหรอก ลำพังจินตนาการก็สะใจแล้ว ยามนี้แม่มดชราคงเป็นลมล้มพับไปอีกแล้วกระมัง”
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้มกล่าวเชิงเหยียดหยัน “ต่อให้นางอยากเป็นลมล้มพับไปก็คงทำมิได้อยู่ดี”
หลินหลันตระหนกตกใจ“เหตุใดหรือ”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างใจเย็น “ท่านพ่อรับรู้เรื่องของหมิงจูแล้ว”
วันนี้สำหรับนางฮานนับว่าเป็นวันที่มืดมนและเศร้าสลดที่สุดตั้งแต่มีชีวิตก็ว่าได้
เริ่มจากกิจการที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า เงินสะสมทั้งหมดไม่ต่างจากละลายหายไปกับน้ำ แล้วยังมีหนี้สิ้นที่ติดค้าง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้นางปวดศีรษะเป็นที่สุด ยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้ควรจัดการเช่นไรดี ข้ารับใช้ก็เข้ามารายงานว่าทันทีที่นายท่านกลับมาก็มุ่งไปยังเรือนจุ้ยจิ่นเสวียนด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว
นางฮานที่เดิมทีอยู่ในสภาพตายทั้งเป็นจึงตื่นตระหนกและรีบมุ่งไปทางด้านนั้นทันใด
ยังไม่ทันเข้าไปในลานบ้านก็ได้ยินเสียงอันน่าเวทนาของหมิงจู “ข้าผิดไปแล้ว ข้ามิกล้าอีกแล้ว ท่านพ่อ…ท่านแม่…ช่วยด้วย…”
เมื่อนางฮานได้ยินเสมือนหัวใจของนางถูกคนควักออกมาทั้งเป็น ความเจ็บปวดนั่นผลักดันให้นางรุดเข้าไปอย่างรวดเร็ว นางเห็นเพียงเก้าอี้ตัวเตี้ยหน้ากว้างตัวหนึ่งวางอยู่ในลานบ้าน มีองครักษ์ผู้ดูแลบ้านจำนวนสี่ห้าคนกดหมิงจูเอาไว้ แล้วมีอีกคนกำลังฟาดไม้ลงไปบนร่างของหมิงจูอย่างหนักหน่วง หมิงเจ๋อกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ฉุดรั้งชายชุดของบิดาอ้อนวอน ทว่าบิดาที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าแข็งกร้าวยังคงตะคอกด้วยเสียงดุดันเย็นชา “เฆี่ยนเข้าไป เฆี่ยนให้หนักๆ มือเข้าไว้…” นางฮานรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง สองดวงตาของนางแทบจะมืดมิดไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ถูกเสียงร้องบาดใจของหมิงจูเรียกสตินางกลับมาอีกครั้ง
“หยุดนะ ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้…” ไม่รู้เช่นกันว่านางฮานไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน นางพุ่งตัวเขาไปผลักผู้ที่ถือมือไม้โบยแล้วทาบตัวลงไปเหนือร่างหมิงจู
หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างไม่รู้ตัว มีเพียงรสเค็มที่แทรกซึมเข้ามาในโพรงปาก นางฮานมองไปยังสามีด้วยความเศร้าโศกและตะโกนอย่างรวดร้าว “ท่านพี่ ต่อให้หมิงจูไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำความผิดใหญ่หลวงเข้าแล้ว ท่านก็ช่วยเห็นแก่นางที่ไร้บิดาตั้งแต่เล็ก ให้อภัยนางสักครั้งเถิดนะเจ้าคะ ท่านลงไม้โบยหนักถึงเพียงนี้ นางจะอดทนไหวได้อย่างไรกัน! หรือท่านจะเฆี่ยนตีนางให้ตายไปเลยจริงๆ ใช่หรือไม่”
หมิงจูได้ยินว่ามารดานางมาถึงแล้ว จึงร้องไห้อย่างน่าเวทนาหนักขึ้นกว่าเดิม
หลี่จิ้งเสียนมองข้ารับใช้ด้วยสายตาดุดันแล้วตะคอกออกไป “ข้าทาสตัวไหนไปส่งข่าวให้หรือ”
บรรดาข้ารับใช้พากันก้มหน้าลงอย่างตื่นกลัว
หมิงเจ๋อรีบกล่าวทันควัน “ท่านพ่อ ท่านใจเย็นๆ ก่อนเถิดขอรับ! ครั้งนี้เปี่ยวเหม่ยสำนึกผิดแล้วจริงๆ ท่านให้อภัยนางสักครั้งนะขอรับ…”
หลี่จิ้งเสียนเตะหมิงเจ๋อแล้วชี้นิ้วไปที่นางฮานกับหมิงจู ก่นด่าด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าก็รู้จักแต่ปกป้องนาง ไม่ว่าอันใดก็ช่วยนางปกปิดอยู่เสมอ แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ ก่อหายนะไว้มากมายถึงเพียงนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงพากันติฉินนินทาว่าแม่นางตระกูลหลี่ชอบวางอำนาจ นิสัยใจคอไร้คุณธรรม ชื่อเสียงดีงามของตระกูลหลี่ถูกนางพังทลายจนราบคาบ เจ้ายังคิดปกป้องนางอยู่อีกหรือ หลีกไปเสีย วันนี้ข้าจะเฆี่ยนตีเจ้ามารหัวขนผู้นี้ให้ตายไปเสีย…”
[1]ซือปั๋ว (师伯) แปลว่า ศิษย์พี่ของอาจารย์