สาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษ – ตอนที่ 22 ถูกพ่อตบหน้า

        “เจ้าไปได้มาจากที่ใด?” จางกุ้ยฮัวชิงเอ่ยถามก่อนหลิวซานกุ้ย

        นางกลัวว่าสามีจะใช้วิธีพูดไม่เป็นแล้วไปทําร้ายจิตใจลูกสาวคนรอง เด็กน้อยจะเอาไข่กลับมาเพื่ออะไร? ก็เพื่อให้นางกับเด็กทารกในอ้อมอกไม่ใช่หรอกหรือ?

        หลิวเต้าเซียงมีท่าทีจริงจัง เอ่ยโดยไม่กะพริบตา “อืม ช่วงนี้ย่าชอบสั่งให้ข้าขึ้นไปเก็บฟืนไม่ใช่หรือ? ข้าพบรังไก่ป่า เมื่อเห็นว่ามีไข่ไก่ป่าก็เลยเก็บกลับมา”

        จางกุ้ยฮัวเหลือบมองนางพร้อมกับส่งสายตาว่า อย่าคิดว่านางไม่รู้ หน้าตาของไข่ไก่ป่าหาได้เป็นเช่นนี้? นี่คือไข่ช่วงต้นของไก่บ้านชัดๆ

        “ข้าเก็บมาจากในป่าจริงๆ วันนี้ข้าเก็บฟืนอยู่บนหลังเขาก็เลยเก็บกลับมา พ่อ แม่ พวกเราเอาไข่พวกนี้มาต้มน้ำแกงไข่กินกันเถอะ สองวันมานี้น้ำนมของแม่น้อยลงทุกวัน พวกท่านดูสิ น้องเล็กไม่เคยได้กินอิ่มท้อง วันๆ เอาแต่งอแงอยากกิน”

        หลิวซานกุ้ยที่กำลังจะเอ่ยออกมาต้องกลืนคำพูดนั้นเข้าไปก่อน เมื่อนึกถึงเรื่องที่บุตรสาวคนรองไปแอบตักน้ำแกงไก่ของย่า แต่จะว่าไป รสชาตินั้นก็ไม่เลวจริงๆ แม้ว่าจะถูกหลิวชิวเซียงเอาไปผสมกับน้ำขันใหญ่ แต่ก็พอให้ทั้งครอบครัวได้ลิ้มรสชาติความหอมมัน ใบหน้าของแต่ละคนก็ไม่ได้ซีดเหลือง บุตรสาวสองคนก็ดูจะสูงขึ้นมาเล็กน้อย

        “ได้ เดี๋ยวพ่อไปต้มให้ หากว่าย่าเจ้ามาเห็นจริง พวกเจ้าก็จะได้ไม่ถูกตี”

        หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าพ่อคนนี้เก่งมาก เพียงแต่กตัญญูเกินไปหน่อย

        “พ่อ ทำกินให้หมดเลยนะ ข้ารู้ว่ายังหาได้อีกจากที่ใด ช่วงนี้ครอบครัวเราไม่ขาดแคลนไข่อย่างแน่นอน ยังมีอีก วันๆ พ่อทำงานอยู่ข้างนอก เหนื่อยมากแล้ว ควรบำรุงร่างกายให้ดี”

        คําพูดของหลิวเต้าเซียงทําให้หลิวซานกุ้ยรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างเป็นอย่างยิ่ง เขาเอื้อมมือออกไปสัมผัสหยดน้ำที่หัวตาอย่างเงียบๆ และพึมพําตอบรับเสียงต่ำ

        เขารู้สึกว่าแต่ก่อนตนเองคิดผิดไปหลายเรื่อง ยังมองได้ไม่แจ่มแจ้งเท่าบุตรสาวที่อายุเพียงแค่เจ็ดขวบเลย

        หลิวซานกุ้ยไม่ได้เก็บไข่ไว้แม้แต่ฟองเดียว เหตุผลไม่ใช่เพราะคำพูดของหลิวเต้าเซียง แต่เป็นเพราะจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่า หากตนเองไม่จัดการต้มให้หมด พรุ่งนี้เกิดท่านแม่มาพบเข้า จะต้องเอาไปไม่เหลืออย่างแน่นอน สู้ให้บุตรสาวของเขาได้เอาไว้กินบำรุงร่างกายดีกว่า

        เมื่อนึกถึงน้องสาวคนเล็กกับจูเอ๋อร์ของครอบครัวพี่รอง ล้วนตัวขาวอ้วนพี หลิวซานกุ้ยกัดฟันแล้วตอกไข่จนหมด

        เขาไม่มีปัญญาให้บุตรสาวได้กินดีอยู่ดี แล้วยังต้องใช้ไข่ที่บุตรสาวเก็บกลับมาบำรุงร่างกายให้พวกนางอีก

        หลิวซานกุ้ยไม่ทันสังเกตว่าตนเองก็เริ่มมีความคิดที่เปลี่ยนไป หลังจากที่คิดได้ ในใจก็มีความสุขขึ้นมาไม่น้อย

        เมื่อหลิวเต้าเซียงยกชามน้ำแกงไข่ขึ้นมา ใบหน้าตื่นเต้นนั้นทำให้หลิวซานกุ้ยเกิดความรู้สึกผิดในใจ

        ทั้งครอบครัวเบียดกันอยู่ในห้องที่คับแคบและกำลังกินซุปไข่ที่ร้อนกรุ่น ไข่กว่าครึ่งหนึ่งถูกยกให้จางกุ้ยฮัว ส่วนในถ้วยของหลิวเต้าเซียงกับหลิวชิวเซียงก็มีไม่น้อย มีเพียงชามของหลิวซานกุ้ยที่ไม่มีไข่เลย

        เหตุผลของเขาคือผู้ชายอดทนได้ ให้บุตรสาวกินให้เยอะในช่วงเจริญเติบโต ส่วนภรรยาก็เพิ่งให้กำเนิดลูกบวกกับต้องให้ยา จึงควรที่จะกินเยอะหน่อย เพราะที่กินเข้าไปก็เสริมได้ทั้งแม่ทั้งลูก

        หลิวเต้าเซียงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก คิดว่าแม้หลิวซานกุ้ยจะตรงทื่อเหมือนขอนไม้ไปหน่อย แต่เขาก็รักและเอ็นดูลูกเมียมากทีเดียว

        หลังจากกินน้ำแกงไข่หมด ใบหน้าของทั้งหมดก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ช่างอร่อยเหลือเกิน!

        หลิวชิวเซียงวางชามลงอย่างไม่เต็มใจ เมื่อครู่ นางยังเสียดายไม่อยากล้างจานที่ยังมีกลิ่นไข่ติดอยู่ แล้วใช้ลิ้นเลียอีกรอบ จนหลิวเต้าเซียงเห็นแล้วถึงกับหางตากระตุก เด็กน้อยคนนี้คงไม่เคยได้กินจริงๆ สินะ

        ชีวิตในช่วงนี้ผ่านไปอย่างสุขสงบ ขณะที่มุมมองความคิดของหลิวซานกุ้ยก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว

        เมื่อวางชามลง เขาเองก็ยังไม่หายอยากเช่นกัน

        จางกุ้ยฮัวกินช้าที่สุด ทำอย่างไรได้ เพราะนางยังต้องให้นมหลิวชุนเซียงอยู่

        เมื่อเห็นว่าทุกคนกินเสร็จเรียบร้อย ในมือของนางยังพอมีไข่เหลือบ้างจึงเอ่ย “ข้ากินอิ่มแล้ว พวกเจ้าสองพี่น้องมาเอาที่เหลือไปแบ่งกันเถอะ”

        จางกุ้ยฮัวก่อนหน้านี้กินไปเพียงน้ำ ได้กินไข่บ้างเล็กน้อย ตอนนี้ก้นชามจึงเหลือไว้แต่ไข่

        มาไม้นี้อีกแล้ว คิดว่านางคือเด็กจริงๆ หรือ

        “ท่านแม่ ท่านแม่กินเถอะ ข้ากับพี่อิ่มแล้ว อีกอย่าง พรุ่งนี้ข้าจะขึ้นไปเก็บที่หลังเขาอีก ที่แห่งนั้นห่างจากหมู่บ้านไม่ไกลนัก เพียงแค่ลับตาคนหน่อย ถึงทำให้ไก่ป่าอยู่ได้”

        “ใช่แล้ว ท่านแม่ พวกข้าอิ่มแล้วจริงๆ” หลิวชิวเซียงพูดจบ ก็ใช้ลิ้นเลียรอบปากอีกรอบ เพื่อไม่ให้สิ้นเปลือง

        หลิวเต้าเซียงมองดูแล้วอยากจะปิดหน้า อย่าให้มันชัดเจนแบบนั้นสิ

        หลิวซานกุ้ยผลักชามกลับไปที่จางกุ้ยฮัวและเอ่ยว่า “ร่างกายของเจ้าไม่ค่อยสบาย โชคดีที่เต้าเซียงเอาน้ำแกงไก่กลับมาให้บ้าง ไม่อย่างนั้น…”

        ถ้าจางกุ้ยฮัวมีอาการเจ็บไข้จากการอยู่เดือน เขาที่เดิมทีก็ยากจนอยู่แล้ว จะไปมีปัญหาหาเงินที่ไหนเพื่อเรียกหมอ

        จางกุ้ยฮัวผลักชามออกอีกครั้ง สักพักเมื่อเห็นว่าทุกคนไม่กินจริงๆ จึงเริ่มกินด้วยน้ำตาคลอเบ้า

        หลิวซานกุ้ยกลัวว่านางจะร้องไห้และทำให้ตาบาดเจ็บ จึงเอ่ย “เมียข้า เรื่องที่เจ้าเคยพูดเมื่อคราวก่อน ข้าคิดมานานมาก ต่อมาเคยถามท่านแม่ นางบอกว่าสอนหลันเอ๋อร์เหนื่อยมากอยู่แล้ว ตอนนี้สายตาก็ไม่ได้ดีเช่นแต่ก่อน อีกอย่างชิวเซียง ถึงแม้ว่าท่านแม่จะมีใจอยากสอน แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ”

        พูดตรงๆ ก็คือ หลิวฉีซื่อไม่อยากสอนการเย็บปักถักร้อยให้หลิวชิวเซียงแต่อย่างใด

        “แค่เจ้ามีความคิดก็ดีมากแล้ว ข้าไม่เคยคาดหวังว่าท่านแม่จะรับปาก” จางกุ้ยฮัวเอ่ย

        หลิวซานกุ้ยกวักมือให้สองพี่น้องเดินไปข้างกาย

        เมื่อทั้งสองเข้ามาใกล้ เขาก็ใช้แขนโอบไว้ข้างละคน จากนั้นตบหลังของทั้งสองเบาๆ แล้วเอ่ย “พวกเจ้าต้องเกลียดพ่อมากสินะ แต่นั่นคือท่านพ่อท่านแม่ของพ่อ ก็เปรียบเหมือนกับพ่อแม่ในใจของพวกเจ้า ไม่อยากทำให้พวกท่านที่อาวุโสต้องมีเรื่องเคืองใจ หรือเศร้าใจ”

        เมื่อเอาใจเขามาใส่ใจเรา หลิวเต้าเซียงได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ พ่อที่แสนดีของเราก็ไม่ได้โง่ถึงเพียงนั้นนี่นา

        หลิวซานกุ้ยไม่รู้ถึงความคิดในใจนาง จึงคว้าตัวนางมากอดแล้วเอ่ยอีก “เมื่อตอนที่ลุงรองของเจ้าไปร่ำเรียน พ่อก็เคยไปร่ำเรียนอยู่ครึ่งปี ท่องจำ ‘คัมภีร์ตรีอักษร’ และ ‘สกุลร้อยตระกูล’ ได้อย่างแม่นยำ แต่ย่าเจ้าบอกว่าส่งเสียพร้อมกันสองคนไม่ไหว อีกทั้งอาจารย์บอกว่าแม้ข้าจะมีความสามารถในการจดจำ แต่กลับทำได้เพียงท่องจำ ไม่สามารถเข้าใจเนื้อความได้อย่างแตกฉาน”

        เพียงแค่ครึ่งปีก็สามารถท่องจำ ‘คัมภีร์ตรีอักษร’ กับ ‘สกุลร้อยตระกูล’ ได้อย่างแม่นยำและไม่ลืมเลือน?

        หลิวเต้าเซียงเหมือนถูกพ่อที่ซื่อตรงของตนตบหน้าหนึ่งฉาด

        “ท่านพ่อ ตอนนั้นท่านไม่ดิ้นรนเลยหรือ? ลำพังความจำของพ่อ อย่างน้อยก็น่าจะได้เป็นจอมหงวนได้ อ่อ ลืมบอกไป อย่างลุงรองไหนเลยจะมีสภาพเช่นคนมีการศึกษา”

        คําพูดของนางทําให้หลิวซานกุ้ยเงียบไปนาน

        ในความเป็นจริง เขารู้ดีในใจว่าหัวใจของหลิวฉีซื่อนั้นค่อนข้างลำเอียง

        ดังนั้นการเลือกได้เพียงหนึ่ง ช่างน่ารังเกียจเสียจริง ท้ายที่สุดจึงทำให้หลิวซานกุ้ยที่เป็นเด็กเรียนดีกลับต้องกลับบ้านไปทำไร่ทำนา

        “ท่านพ่อ ถ้าครอบครัวของเราสามารถแยกออกไปได้ มันคงจะดีมาก แค่อาศัยความสามารถของพ่อ คงทำให้บ้านเรามีหน้ามีตาไม่มากก็น้อย ไม่เห็นจะต้องมาวิ่งทำไร่ทำนาเพื่อหาข้าวกิน อีกอย่าง พี่สาวข้าก็จะได้มีโอกาสได้มีคู่ครองที่ดี ไม่เหมือนตอนนี้ ชุ่ยฮัวที่อยู่บ้านข้างๆ เห็นว่ามีการคุยเรื่องแต่งงานแล้ว แล้วพี่สาวข้าล่ะ? ปู่กับย่าไม่เห็นถามไถ่ ในสายตาของพวกท่านมีเพียงอาเล็ก”

        หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าตนเองก็เจ้าเล่ห์พอสมควร การสาดน้ำมันในกองไฟเช่นนี้ ต่อไปคงทำให้หลิวฉีซื่อโมโหแทบตาย

        “แยกบ้านหรือ? เต้าเซียง ต่อไปห้ามพูดเช่นนี้อีก หากลุงใหญ่กับลุงรองของเจ้าได้ยิน จะด่ากราดพ่อกับแม่ด้วย” หลิวชิวเซียงที่อยู่ข้างๆ รีบช่วยห้ามปราม

        หลิวเต้าเซียงเห็นคนในครอบครัวมองเรื่องแยกบ้านอย่างกับการเลี่ยงอสรพิษ หรือว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับลุงใหญ่และลุงรองของนาง?

        หางตาของนางฉายแววดุดัน ใครกล้าแตะต้องคนในครอบครัว นางก็จะเล่นงานคนนั้น!

        หากเทียบเรื่องพละกำลัง แขนขาเรียวเล็กย่อมสู้ขาใหญ่ไม่ไหว แต่หากเทียบกันเรื่องสติปัญญา หลิวเต้าเซียงไม่คิดว่าตนเองจะด้อยกว่า

        จางกุ้ยฮัวเห็นว่าสองพี่น้องพูดกันไปเลยเถิด จึงรีบเอ่ย “เอาล่ะ หยุดพูดถึงเรื่องเหล่านั้นก่อน ซานกุ้ย เจ้าคิดจะสอนหนังสือให้ทั้งสองคนจริงหรือ?”

        “อืม เราไม่มีหนทางให้พวกนางได้ฝึกการเย็บปักถักร้อย หรือจะห้ามไม่ให้อ่านหนังสือได้อีกหรือ?”

        หลิวซานกุ้ยคิดว่าจะแอบสอนเด็กทั้งสองคนในตอนกลางคืน ขอเพียงไม่ให้แม่ของเขารู้ก็พอ

        “พ่อ มั่นใจได้เลย พวกข้าจะตั้งใจเรียน”

        นี่มันเหมือนขนมเปี๊ยะหล่นจากสวรรค์ชัดๆ!

        หลิวเต้าเซียงตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าหากได้เงินมาก็จะแบ่งให้คนในบ้าน และให้หลิวซานกุ้ยไปร่ำเรียน แม้ว่าการไปที่สถาบันอาจจะขายขี้หน้าไปหน่อย แต่การเชิญให้อาจารย์มาสอนที่บ้านในบางครั้งให้พออ่านออกเขียนได้ก็ยังพอทำได้

        แต่คิดไม่ถึงว่าพ่อคนดีของตนกลับมีความสามารถเช่นนี้

        “เรื่องที่พวกเจ้าแอบเรียน ห้ามบอกย่าเด็ดขาด หากย่ารู้เข้า เดี๋ยวจะต่อว่าอีก” จางกุ้ยฮัวกังวลว่าทั้งสองจะเผลอหลุดปากพูดข้างนอก ด้วยเหตุนี้จึงกำชับทั้งสองให้จำไว้ขึ้นใจ อยู่ข้างนอกห้ามพูดออกไปเด็ดขาด

        นางรู้จักหลิวฉีซื่อดี คนใจดำไม่อาจทนเห็นครอบครัวของนางได้ดิบได้ดี หากรู้ว่าหลิวเต้าเซียงกับหลิวชิวเซียงได้ร่ำเรียน เกรงว่าคงจะหาเรื่องมาเล่นงานทั้งสองคนอีก

        หลิวเต้าเซียงตื๊อขอให้หลิวซานกุ้ยช่วยสอนนางและพี่สาวให้อ่านหนังสือทันที เขารู้สึกมีความสุขอย่างมากในหลายวันมานี้จนตัวเองใจเต้น

        เพราะฉะนั้นคนยุคโบราณถึงได้กล่าวว่า การค่อยๆ เก็บหอมรอมริบจนมั่งมีนั้นง่ายดาย แต่การที่เคยมั่งมีแล้วต้องเปลี่ยนกลับมาเก็บหอมรอมริบเล่า?

        แน่นอนว่าหลิวซานกุ้ยไม่ได้กำยำเหมือนเหล็ก ย่อมเข้าใจว่าชีวิตที่มั่งมีย่อมดีกว่าชีวิตที่ยากจน สมองที่เคยทื่อดั่งก้อนหินก็เริ่มคิดถึงชีวิตของตัวเองในอนาคตมากขึ้น

        ภายใต้ตะเกียงน้ำมันที่มืดสลัว เด็กสาวสองพี่น้องตั้งใจขีดเขียน พร้อมกับอ่านออกเสียงไปด้วย “มนุษย์ถือกำเนิดมานั้น ว่ากันว่าบริสุทธิ์โดยเนื้อแท้”

        ถูกต้อง มนุษย์ทุกคนเกิดมา ว่ากันว่าบริสุทธิ์โดยเนื้อแท้

        หลิวซานกุ้ยถอนหายใจเงียบๆ เขาเชื่อมาตลอดว่าผู้เป็นมารดานั้นเดิมมีจิตเมตตา เพียงแต่หลังจากที่ถูกหลิวเต้าเซียงเรียกสติก็คิดได้ว่า “แต่เนื่องจากทุกคนต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ดังนั้นนับวันคนจึงยิ่งแตกต่างกันด้วย”

        หลิวเต้าเซียงรู้ประโยคนี้อยู่แล้ว นางจึงทุ่มเทสมาธิกับการหัดเขียนอักษรจีนตัวเต็มเนื่องจากจำนวนขีดค่อนข้างเยอะ แต่นางไม่ถนัดการใช้ความจำจึงต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียร

        นับจากนี้ไป ภาพอ่อนแอปวกเปียกของหลิวชิวเซียงจะค่อยๆ ถูกขัดเกลา และถูกแทนที่ด้วยความยืดอกมั่นใจและกล้าหาญ หากใช้คำพูดของน้องรองมากล่าวล่ะก็ ต้องบอกว่ากลายเป็นผู้ที่มีการศึกษาสูงส่ง และเป็นสาวน้อยชนบทที่อ่านออกเขียนได้?

        หลิวฉีซื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในช่วงนี้ ช่างผิดแปลกไปอย่างมาก ดวงตาคมกริบของนางกวาดมองอยู่รอบหนึ่ง อืม ก็พบเข้าเรื่องหนึ่ง

        ไข่ที่นางซ่อนอยู่ในตะกร้าด้านหลังเตียงหายไปห้าฟอง

        ปากของนางเริ่มคันอีกครั้ง นานแล้วที่ไม่ได้ด่ากราด ต้องเป็นพวกเหลือขอสองพี่น้องนั่นขโมยไปกินอย่างแน่นอน

        หลิวฉีซื่อเปิดประตูด้วยใบหน้าตึงเครียด และบังเอิญไปพบกับหลิวซุนซื่อ

        “ท่านแม่ ข้าเห็นว่าวันนี้แดดออก ข้าคิดจะพาหมิงเอ๋อร์ จูเอ๋อร์และเป่าเอ๋อร์ไปตลาดนัดเพื่อเยี่ยมพ่อของพวกเขาเสียหน่อย”

        หลิวฉีซื่อกำลังหงุดหงิดว่าใครกล้าขโมยไข่ของนาง เมื่อได้ยินก็ถลึงตาใส่แล้วด่าออกมาเสียงต่ำ “ไปบ้านมารดาเจ้าสิ ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าที่บ้านยุ่งเพียงใด? เจ้าตาบอดหรือ นางคนขี้เกียจ กลับมาบ้านก็เอาแต่กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นตระกูลคนรวยหรืออย่างไร หากเป็นเช่นนั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงเหรินกุ้ยเลย ข้าเองจะดูแลประเคนทุกอย่างดั่งพระโพธิสัตว์กวนอิมก็ได้ แต่ถ้าไม่มีความมั่งมียิ่งใหญ่ดั่งถุงปัสสาวะหมูล่ะก็ ก็อย่ามาเสแสร้งแถวนี้เลย”

        หลิวซุนซื่อเองก็เคืองในใจ เมื่อเห็นว่าแม่สามีของตนไม่มีเหตุผลจึงหันขวับและเดินออกไป “ข้าจะกลับบ้าน ตอนที่ข้าอยู่บ้านท่านแม่ ไม่เห็นต้องทำงานงกๆ เหล่านี้ ท่านแม่ ข้ามาเป็นสะใภ้บ้านท่าน ไม่ใช่คนรับใช้ ไม่ต้องเอ่ยถึงวันเทศกาลสำคัญเลย ลำพังวันธรรมดา บ้านแม่ข้าเคยไม่ส่งเนื้อหมูมาให้ท่านหรือ?”

        นางเป็นลูกคนสุดท้องในบ้าน มีพี่ชายที่เก่งกาจพอจะมีฐานะอยู่บ้าง จึงทำให้นางยืดอกได้อย่างเต็มที่

        หลิวฉีซื่อได้ยินถ้อยคํานั้นก็ตกตะลึง แล้วนึกถึงไข่หลายใบที่หายไปก่อนจะรีบคว้าตัวนางไว้

        —–

สาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษ

สาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษ

Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษใครว่าการข้ามมิติไม่ใช่งานที่ต้องใช้เทคนิค? จู่ๆ เด็กสาวแสนหวานก็กลายเป็นเด็กหญิงตัวน้อยในครอบครัวยากจน นางอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ ครอบครัวยากจน พ่อแม่ขี้ขลาด ญาติพี่น้องทุบตี โดนกดขี่สารพัด…. ยังไม่พอ… ระบบตัวดียังจะขอให้เธอเป็น ‘หลิวเต้าเซียง’ เด็กสาวแสนสวยในชนบท จิตใจดีและขยัน ประเด็นสำคัญคือคำสุดท้าย “ขยัน” แต่เพื่อพ้นความจนที่ข้นแค้นและครอบครัวที่โหดร้าย นางจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ร่ำรวยขึ้นมาให้ได้!! “เจ้าระบบ หวานใจของพี่ รีบบอกพี่สาวหน่อยว่าต้องทำอย่างไรถึงสามารถสร้างตัวได้เร็วที่สุด” ตอนนี้เลือดในกายนางกำลังเดือดพุ่งพล่าน เพื่อความสุขสบายของครอบครัว และหนุ่มเอ๊าะๆ หลิวเหม่ยจวิน (ในร่างหลิวเต้าเซียง) คนนี้ ขอสู้ตาย!!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset