เฉินผิงอันแค่เดินเล่นอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ ระหว่างทางก็ปั้นลูกหิมะลูกใหญ่เก็บใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ คิดว่าจะนำไปมอบให้กับกวอจู๋จิ่ว เพราะตอนนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่อากาศร้อนแผดเผาอย่างยิ่ง
คาดว่าหลายวันต่อจากนี้กิจการของเรือนหลิงจือจะต้องดีมากเป็นแน่
นี่คือส่วนที่สำนักต้องจ่าย สามารถจดลงบัญชีได้ แต่คิดดูแล้วทุกคนคงยังต้องควักกระเป๋าเงินตัวเองเอาสมบัติตระกูลเซียนที่เข้าท่าเข้าทีออกมาอีกชิ้นหนึ่ง มอบของขวัญไม่มอบให้เพียงชิ้นเดียว เพราะเรื่องดีๆ มักต้องมาเป็นคู่
ครึ่งชั่วยามถัดมาหมี่อวี้ก็มาหาอิ่นกวานหนุ่ม
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “อีกฝ่ายไม่ได้รับปากแต่ก็เหมือนรับปาก ทำให้เจ้าได้มิตรภาพมาเปล่าๆ ครั้งหนึ่ง? ก่อนจะจากกันได้มองเจ้าด้วยดวงตาคลอประกายน้ำ ด่าเจ้าชุดใหญ่ แล้วบอกให้เจ้าไสหัวออกไปหรือไม่? แต่ด้วยตบะของเซียนกระบี่หมี่น่าจะต้องทิ้งสมบัติชิ้นนั้นไว้ได้สำเร็จถึงจะถูก”
หมี่อวี้กล่าวอย่างจนใจ “ใต้เท้าอิ่นกวาน หากท่านตั้งใจใช้ความคิดและจิตใจกับสตรีสักหน่อย คงร้ายกาจน่าดู สุดท้ายข้าก็เอาสมบัติชิ้นนั้นวางทิ้งไว้หน้าประตู”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าให้เจ้าทำเรื่องสองเรื่อง ดังนั้นจึงยังมีสมบัติอีกชิ้นที่จะเป็นของเจ้า กลับไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าเลือกชิ้นหนึ่งเอาไปมอบให้พี่ชายได้”
หมี่อวี้เริ่มอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง
รู้ว่าใต้เท้าอิ่นกวานผู้นี้หวังดี แล้วก็รู้ว่าพี่ชายอย่างหมี่ฮู่ที่เห็นตนพอจะสร้างความดีความชอบได้บ้างอยู่ในสายอิ่นกวาน อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ถึงขั้นได้แต่รอกินรอตายอย่างเดียว พี่ชายก็น่าจะปลาบปลื้มอย่างมาก
แต่หมี่อวี้ก็ยังทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้อยู่ดี
ในชีวิตคนเรามีเรื่องเล็กๆ แบบนี้อยู่มากมายเกินไป ควรจะเอ่ยขอบคุณใคร ควรจะเอ่ยขอโทษใคร เขาทำไม่ได้เลย
คนทั้งสองเดินเคียงบ่าไปด้วยกัน เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าจงใจใช้กลอุบาย ต้องการให้เจ้าฝืนใจทำอย่างนี้เพื่อประจบเอาใจพี่ชาย หากเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าข้าเหยียบย่ำทั้งพวกเจ้าสองคนและตัวข้าเองไปพร้อมๆ กัน คนคนหนึ่งวางแผนคิดคำนวณกับเรื่องราวมากมาย ก็เพื่อให้ท้ายที่สุดแล้วไม่จำเป็นต้องคิดคำนวณกับสองสามเรื่อง การที่เจ้ารู้สึกอึดอัดก็เพราะเจ้าคิดว่า ระหว่างตัวเองคิดอย่างไรกับพี่ชายหมี่ฮู่คิดอย่างไร แบบไหนสำคัญกว่ากัน ซึ่งเจ้ายังทำความเข้าใจได้ไม่ชัดเจน หากจะพูดถึงการทุ่มเทและการตอบแทนกันจริงๆ เจ้าหมี่อวี้ชดใช้หมี่ฮู่ได้ไหวจริงหรือ? หากหมี่ฮู่ไม่ถูกเจ้าถ่วงรั้งเอาไว้ ป่านนี้ก็ควรกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่เคียงบ่ากับเยว่ชิงไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนเหริน เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ คนตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนรู้กันดี ข้าแนะนำเจ้าว่าลองไปพบหมี่ฮู่ดู ไม่ใช่ว่าให้เจ้าชดใช้อะไรคืนให้เขา ในความเป็นจริงแล้วหมี่ฮู่หรือจะต้องการให้เจ้าตอบแทนอะไร แต่หมี่อวี้ก็ควรจะใช้เรื่องเรื่องหนึ่งหรือคำพูดประโยคหนึ่งทำให้พี่ชายตัวเองรู้ว่า ทุกสิ่งที่เขาทุ่มเทไป น้องชายอย่างหมี่อวี้นั้นรู้ดี และไม่คิดจะแกล้งโง่”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ไม่อยากพูดให้เป็นเรื่องเข้มงวดจริงจังเกินไปนัก จึงเอ่ยหยอกล้อว่า “ทำตัวหน้าไม่อายอีกสักหน่อย พอเจอเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ฮู่ หมี่อวี้ก็พูดไปตามตรงเลยว่า ท่านพี่ ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่คาดหวังถึงขอบเขตเซียนเหรินแล้ว แต่วันหน้าการสืบทอดควันธูปและเรื่องการแตกกิ่งก้านสาขาของตระกูลหมี่เรา จะต้องดีเป็นอันดับต้นๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างแน่นอน วันหน้าเจ้าตัวน้อยทั้งหลายที่เรียกท่านว่าท่านลุงต้องไม่ได้มีแค่คนสองคนแน่”
สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยว่า “นี่คือความรู้สึกว่าดีของข้าที่เป็นคนนอก ตัวเจ้าหมี่อวี้เองรู้สึกเช่นไร อันที่จริงกลับสำคัญยิ่งกว่า”
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “ข้าเองก็รู้สึกว่า…ดูเหมือนจะไม่เลว กลับไปข้าจะลองทำดู”
หลังหมี่อวี้จากไป เฉินผิงอันก็เดินอยู่บนทางก้อนหินที่ภูเขาสายน้ำอิงแอบกัน ทางสายนี้แบ่งแยกภูเขาจำลองและน้ำพุออกจากกัน บนเส้นทางปูหินห้าสีตามธรรมชาติของภูเขาตระกูลเซียนเอาไว้จนเต็ม แต่ไหนแต่ไรมาแขกที่ได้เข้ามาพักในเรือนชุนฟานก็มีไม่มาก นี่จึงเป็นเหตุให้ก้อนหินได้รับความเสียหายน้อยมาก ทำให้เฉินผิงอันไพล่นึกไปถึงหน้าผาอวี้อิ๋งของสวนน้ำค้างวสันต์แห่งอุตรกุรุทวีป
บังเอิญเจอเส้าอวิ๋นเหยียนยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล มือหนึ่งของเขาถืออ่างกระเบื้องที่งามประณีต กำลังโปรยเหยื่อล่อปลาลงไปในน้ำ
เฉินผิงอันเดินเข้าไปหา เอนตัวพิงรั้ว มองภาพที่ปลาแหวกว่ายแย่งชิงอาหารกัน เอ่ยว่า “มีปลาน้อยอยู่ในน้ำมรกตมากน้อยแค่ไหน”
เส้าอวิ๋นเหยียนกล่าว “ทั้งสง่างามและเรียบง่าย”
ครู่หนึ่งต่อมา เส้าอวิ๋นเหยียนก็ถามว่า “ตอนนี้ยังมีเรื่องที่เป็นกังวลอยู่อีกหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “กังวลว่าภูเขาของพวกผู้ดูแลเรือข้ามฟากจะสมคบคิดกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างมานานแล้ว ยิ่งกลัวว่าความสัมพันธ์นั้นจะลึกล้ำอย่างยิ่ง ต่อให้ต้องทุ่มสุดชีวิตก็จะต้องทำลายสัญญาของเรือนชุนฟานให้จงได้ แล้วก็กังวลว่าภูเขาห้อยหัวจะมีคนที่คาดไม่ถึงอยู่ ซึ่งคนเหล่านั้นจะลงมืออย่างอำมหิต ไม่ว่าจะเป็นความกังวลเรื่องใด ขอแค่มันเกิดขึ้น แล้วก็ไม่สนว่าความจริงเป็นเช่นไร สรุปก็คือผลลัพธ์ที่ทุกคนจะได้เห็นก็คือมีคนตายภายใต้คมกระบี่ของเซียนกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าของเรือสองทวีปอย่างฝูเหยาทวีป ธวัลทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งป๋ายซีแห่งถ้ำซานสุ่ย มีโอกาสสูงที่จะเป็นที่ตายไป หลังจบเรื่องย่อมต้องมีเหตุผลต่ำช้ามากพอจะทำให้คนสะอิดสะเอียนมาอธิบาย ถึงเวลานั้นจิตใจคนจะระส่ำระส่าย เรื่องที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้กลายเป็นโมฆะทั้งหมด”
เส้าอวิ๋นเหยียนกล่าวอย่างกังขา “เจ้าทำมากขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังมีคนตาย มีช่องโหว่อยู่ทุกหนแห่ง ทนการทุบตีจากฝ่ายใดไม่ได้เลย แล้วจะพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ได้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยื่นมือไปปาดหิมะที่กองทับกันอยู่บนราวรั้ว “ใจคนมีเหตุผลให้อธิบายมากมายขนาดนั้นเสียเมื่อไหร่ สร้างโต๊ะขึ้นตัวหนึ่งอย่างยากลำบาก แต่หากคิดจะทุบให้แตกก็เป็นเรื่องของการทุบแค่สองสามทีเท่านั้น คิดคำนวณจิตใจคนแล้วก็ต้องตระหนักด้วยว่าอาจถูกคนอื่นวางแผนเล่นงานได้เหมือนกัน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็คลี่ยิ้มย้อนถาม “แล้วหากข้าลองตั้งสมมติฐานอีกอย่างว่ามีคนไม่แยกแยะถูกผิด ออกจากภูเขาห้อยหัวไปแล้ว ไม่พูดจาไม่จาก็สังหารเจ้าของเรือพวกนั้นจนตายเกลี้ยงล่ะ? วันหน้าจะยังมีเรือข้ามทวีปมาจอดที่ภูเขาห้อยหัวอีกหรือไม่?”
สีหน้าเส้าอวิ๋นเหยียนเคร่งเครียด “เกี่ยวกับเรื่องงนี้ ดูเหมือนว่าจะพูดกับพวกเจ้าของเรือไม่ได้ แต่ไม่พูดก็ไม่ได้ พูดไป ทุกคนก็มีแนวโน้มว่าจะช่วงชิงผลประโยชน์หลีกเลี่ยงหายนะ แต่หากไม่พูดแล้วเรื่องนี้เกิดขึ้น วันหน้าพวกเขาก็ยิ่งไม่มีทางมาเยือน”
เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนราวรั้ว “ดังนั้นถึงได้บอกว่าไม่กลัวเรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น แต่กลัวว่าเรื่องไม่คาดฝันนั้นกำลังหลบซ่อนอยู่ ขอแค่อีกฝ่ายมีความอดทนเป็นเลิศ ไม่ยอมลงมือเสียที ข้าก็ได้แต่เสียเวลาเป็นเพื่อนเขาต่อไป”
เส้าอวิ๋นเหยียนถาม “จะรับมืออย่างไร?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ข้าก็คงต้องไปพบเทียนจวินใหญ่ท่านนั้นดูสักครั้ง หวังว่าจะไม่ต้องกินน้ำแกงประตูปิดหรอกนะ”
เส้าอวิ๋นเหยียนมีสีหน้าปั้นยาก “เพิ่งจะได้ข่าวมาว่าเขาปิดด่านไปแล้ว”
เฉินผิงอันยื่นมือมาคลึงขมับ ปวดหัวยิ่งนัก ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “ก็ดีเหมือนกัน เท่ากับว่าช่วยตัดสินใจแทนข้า รู้แล้วว่าเซียนกระบี่คนที่สามที่จะเดินทางไปเยือนทักษินาตยทวีปกับเซียนกระบี่เส้าคือใคร”
คือเซียนกระบี่ใหญ่หญิง ลู่จือ
อันที่จริงผลงานการสู้รบที่นางสั่งสมไว้ เดิมทีก็มากพอจะให้นางออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
ดูจากท่าทางแล้วนางคงจะอยากไปขัดเกลาวิชากระบี่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมากกว่าใต้หล้าไพศาล
ซึ่งก่อนจะทำอย่างนั้นได้ ตัวนางเองต้องยินดีจะออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาพิทักษ์อยู่ที่ภูเขาห้อยหัวแทน
ไม่อย่างนั้นก็อย่าว่าตำแหน่งอิ่นกวานที่ใช้ไม่ได้ผลเลย เกรงว่าต่อให้ยกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมาก็ยังไร้ความหมายอยู่ดี
แต่ต่อให้ลู่จือตอบตกลงทำเรื่องนี้ อันที่จริงการที่นางออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนกำหนดก็ได้สร้างผลกระทบที่ไม่น้อย
เจอกับเหตุการณ์ที่เป็นโทษทั้งสองอย่าง ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่เลือกเอาอย่างที่ให้โทษน้อยที่สุดแล้ว
เฉินผิงอันยื่นมือมาเคาะราวรั้วเบาๆ ร่วมปรึกษาหาวิธีแก้ไขปัญหากับเส้าอวิ๋นเหยียน
ควรจะเปิดเผยเรื่องวงในของการประชุมที่เรือนชุนฟานครั้งนี้ เผยแพร่ให้ทุกคนรับรู้ล่วงหน้า จงใจทิ้งไว้แค่เซียนกระบี่หมี่อวี้ของบ้านตัวเอง เพื่อจะได้ล่อให้อีกฝ่ายที่ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้วลงมือทันทีดีหรือไม่?
ควรจะแจ้งข่าวไปให้แก่เซี่ยซงฮวาที่มุ่งหน้าไปยังแถบร่องเจียวหลง สำนักอวี่หลงเลยหรือไม่? ลู่จือ หมี่อวี้ บวกกับเซี่ยซงฮวา รวมไปถึงเส้าอวิ๋นเหยียน ขอแค่อีกฝ่ายปรากฏตัว ยิ่งขอบเขตของอีกฝ่ายสูงเท่าไรก็ยิ่งดี ต่อให้เป็นปีศาจขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งก็ยังยากจะหนีหายนะครั้งนี้ไปได้พ้น
สองวันต่อมา อิ่นกวานหนุ่มกลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือ ของขวัญที่ได้รับมามีไม่น้อยเลยจริงๆ
เซียนกระบี่หมี่อวี้อยู่ต่อที่เรือนชุนฟาน
ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมลอดผ่านไม่ได้
เรื่องการประชุมที่เรือนชุนฟานแพร่สะพัดไปทั่วภูเขาห้อยหัวภายในชั่วข้ามคืน
เนื้อหาคร่าวๆ ก็หนีไม่พ้นว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ปรึกษากับผู้ดูแลของเรือจากแปดทวีปได้เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายหนึ่งออกกระบี่ ฝ่ายหนึ่งออกเงิน ร่วมมือกันรับมือกับศึกโจมตีเมืองของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในครั้งนี้
หมี่อวี้ เส้าอวิ๋นเหยียน เซี่ยซงฮวา ต่างก็ไปซ่อนตัวอยู่ในเรือข้ามทวีปของสามทิศทาง กระทั่งเรือข้ามทวีปทั้งสามลำก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง ‘คุ้มกันไปส่ง’
หรดีฝูเหยาทวีป ทักษินาตยทวีป บุรพแจกันสมบัติทวีป
ลู่จือที่มาถึงภูเขาห้อยหัวอย่างเงียบเชียบเป็นผู้บัญชาการณ์ของที่แห่งนี้ รับผิดชอบคอยร่วมมือกับเซียนกระบี่บางท่านที่ออกเดินทางไกลอยู่ตลอดเวลา
บนเรือ ‘อ่างกระเบื้อง’ ของฝูเหยาทวีปลำนั้น ป๋ายซีนั่งอยู่ในห้องโดยสารของเรือ ขมวดคิ้วมุ่น แล้วทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ไม่รอให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดท่านนี้ไปเปิดประตู ในห้องก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งปรากฏกาย พอถอนเวทอำพรางตาออกก็กลายมาเป็นคนหนุ่มที่ท่วงท่าผ่อนคลายดูเกียจคร้าน
ป๋ายซีลุกขึ้นยืน ถามเสียงทุ้มหนัก “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาเยือนด้วยธุระใด?”
คนหนุ่มยิ้มเอ่ย “ไม่ถือว่าเป็นผู้อาวุโสหรอก ข้ามีนามว่าเปียนจิ้ง เป็นผู้ฝึกกระบี่ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จะมาถามเรื่องรายละเอียดการประชุมที่เรือนชุนฟานกับเจ้า แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ดีหรือไม่”
ป๋ายซีเงียบงันไม่ยอมเอ่ยอะไร
ดวงตาทั้งคู่ของคนหนุ่มพลันเปลี่ยนมาเป็นสีดำ ยื่นมือมาเขียนตัวอักษรบรรทัดหนึ่งลงบนผิวโต๊ะ จากนั้นก็เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “บรรพบุรุษถ้ำซานสุ่ยของพวกเจ้าเป็นสหายเก่าแก่ของข้า สมบัติแห่งชะตาชีวิตของเขาชิ้นนั้นเป็นโชควาสนาที่ข้ามอบให้แก่เขาในปีนั้น ประโยคบนโต๊ะนี้ ก่อนที่ผู้ดูแลเรือข้ามฟากของ ‘อ่างกระเบื้อง’ ทุกลำจะตายไป จะต้องได้รับคำบอกกล่าวจากเขาก่อนถึงจะถูก หรือเจ้าไม่ประหลาดใจเลยว่า เหตุใดผู้ดูแลทุกคนของเรือข้ามฟากที่ปลดระวางถึงได้ตายอย่างกะทันหันหลังผ่านไปได้แค่ไม่กี่ปี? ก็เพื่อเก็บซ่อนความลับเล็กๆ ที่แปลกประหลาดข้อนี้ เจ้าโชคดีที่สุด เกิดมาช้า มีโอกาสได้อยู่รอจนพบเจอข้า ได้รับเกียรติยศความร่ำรวยไปเปล่าๆ คอขวดก่อกำเนิดที่ฝ่าไปไม่ได้นี้ของเจ้า เมื่อพบเจอข้าแล้ว แน่นอนว่าสามารถคลายออกได้ทุกเมื่อ”
ป๋ายซีรีบค้อมเอวกุมหมัดคารวะ “น้อมต้อนรับผู้อาวุโส!”
หลังจากที่ ‘เปียนจิ้ง’ นั่งลงก็ยิ้มถามว่า “เจ้ากับเรือข้ามฟากลำนี้คงไม่ได้ผ่านฝีมือใครเล่นตุกติกมาก่อนโดยที่ไม่รู้ตัวกระมัง?”
ป๋ายซีไม่ได้นั่งลง เขายังคงยื่นอยู่ เอ่ยตอบว่า “มีการตรวจค้นเรืออย่างละเอียดมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะที่พักนี้ของข้า เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกใครเล่นตุกติกแน่นอน ส่วนแผ่นหยกชิ้นนั้นข้าทิ้งเอาไว้ในเรือนพักส่วนตัวของภูเขาห้อยหัว อีกทั้งทุกการกระทำทุกคำพูดของผู้น้อยก็ล้วนสมเหตุสมผล ถึงขั้นที่ว่าหลังจบเรื่องยังจงใจบ่นอย่างไม่พอใจสองสามคำ ซึ่งนั่นก็หนีไม่พ้นเป็นการทำให้เรือนชุนฟานดู อิ่นกวานหนุ่มที่กลอุบายลึกล้ำผู้นั้นไม่เพียงแต่จะหาเบาะแสใดๆ ไม่พบ กลับกันยังจะยิ่งหมดความสงสัยไปด้วย”
เปียนจิ้งยิ้มถาม “แผ่นหยกอะไร? อิ่นกวานหนุ่มอะไร? ไหนลองเล่าให้ข้าฟังสิ”
ป๋ายซีเล่าเรื่องความเป็นมาของแผ่นหยกนั้นก่อน แล้วก็ได้รับคำชมเชยจาก ‘ผู้อาวุโส’ ตรงหน้าท่านนี้ว่า ช่างตั้งใจดียิ่งนัก น่าเสียดายที่ไม่ทำงานให้ใต้หล้าของข้า จากนั้นป๋ายซีก็เล่าขั้นตอนการประชุมที่เรือนชุนฟานอย่างละเอียดอีกรอบ
เปียนจิ้งพยักหน้า “หากทำสำเร็จก็ต้องเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ไม่เสียแรงที่ข้าเสี่ยงอันตรายเดินทางมานี่”
เอ่ยประโยคนี้จบ เปียนจิ้งก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เพราะถูกเนื้อหนังมังสาของร่างนี้พันธนาการ เมื่อครู่ที่เจ้าเดาว่าข้าเป็นขอบเขตเซียนเหรินจึงยังต่ำไปหน่อย”
ป๋ายซีกุมหมัดคารวะอีกครั้ง
ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน!
สุดท้ายป๋ายซีเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโสคิดว่าจะลงมือเมื่อไหร่?”
เปียนจิ้งชำเลืองตามดตัวน้อยผู้นี้ ป๋ายซีจึงแข็งใจเอ่ยว่า “หลังจากผู้อาวุโสลงมือแล้ว ขอท่านโปรดโจมตีให้เรือข้ามฟาก ‘อ่างกระเบื้อง’ ลำนี้จมทะเลไปด้วย คนตายไปมากหน่อยก็ไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นถ้ำซานสุ่ยของพวกเราย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด นั่นมีแต่จะถ่วงเวลาการลงมือของผู้อาวุโสหลังจากนี้ และจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ใหญ่”
เปียนจิ้งยิ้มพลางผงกศีรษะ “ประโยคนี้น่าฟัง ในเมื่อเจ้าฉลาดเฉลียวเพียงนี้ ก็ควรได้รับโชควาสนาใหญ่ที่เป็นของเจ้า”
อาคเนย์ใบถงทวีปมีการวางแผนเอาไว้ก่อน แต่น่าเสียดายที่แผนการเปิดเผยล่วงหน้า ได้แค่ทำให้พลังชีวิตของสำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิงเสียหายเท่านั้น ส่วนหนึ่งในแผนการของหรดีฝูเหยาทวีปก็คือเปียนจิ้งที่มีชาติกำเนิดจากฝูเหยาทวีปแต่กลับแล่นไปหาประสบการณ์ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นี้ เพื่อหลอกราชครูของราชวงศ์เส้าหยวนคนนั้น เขาต้องลำบากมาก ดีที่ ‘เปียนจิ้ง’ ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ตนเลือกคนนี้มีความอดทนไม่น้อย
ส่วนทักษินาตยทวีปก็มีเฉินฉุนอันผู้นั้นอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่พาตัวไปตายแล้ว จึงไม่มีแผนการใดๆ
เปียนจิ้งเอ่ย “ข้ายังไม่รีบร้อนลงมือ เพราะเสี่ยงมากเกินไป เรือข้ามทวีปที่แยกย้ายกันกลับบ้านเกิด ตอนนี้ก็ยังไม่ไปแตะต้องก่อน รอให้ถึงคราวหน้าที่พวกเขาหาเงินได้มากกว่าเดิมแล้วออกจากภูเขาห้อยหัวไปอีกครั้ง จะได้ไปตายอย่างสบายใจ”
ป๋ายซีถอนหายใจโล่งอก ทำเช่นนี้ย่อมมั่นคงมากที่สุด
ไม่อย่างนั้นก็กลัวจริงๆ ว่าผู้อาวุโสที่อาศัยขอบเขตบินทะยานท่านนี้จะลงมือด้วยพละกำลังอันป่าเถื่อน
เปียนจิ้งหัวเราะร่า “คนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นฉลาดกว่าที่เจ้าคิดไว้ บนเรือข้ามฟาก ‘หนีซาง’ มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบซ่อนตัวอยู่ น่าจะเป็นเซียนกระบี่หมี่อวี้สุนัขรับใช้ของเขาที่เจ้าพูดถึง ถึงอย่างไรข้าก็มาท่องเที่ยวเล่นตามสายน้ำขุนเขาอยู่แล้ว ไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย ก็ถือว่าเล่นเป็นเพื่อนเขาไปอีกหน่อยแล้วกัน ข้าอยากจะรู้นักว่าเซียนกระบี่ที่หยิ่งทระนงกันมาจนชินพวกนี้จะมีความอดทนดีแค่ไหน หากความอดทนดีมากจริงๆ อย่างมากข้าก็แค่ลงมือให้ช้าหน่อยเท่านั้น”
เปียนจิ้งไม่เหลือรอยยิ้ม เขาลุกขึ้นยืน ป๋ายซีก็เหมือนถูกบีบคอเอาไว้ เท้าทั้งสองข้างพ้นจากพื้นค่อยๆ ‘บินทะยาน’ ต่อหน้าปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานทีละนิด
นอกประตูมีเสียงที่ป๋ายซีคุ้นเคยอย่างถึงที่สุดดังขึ้น ราวกับว่ากำลังช่วยพูดให้เขาป๋ายซีอยู่
“ตัวเองโง่ก็อย่าโทษคนอื่น”
เปียนจิ้งหัวเราะเสียงเย็น “เฉินผิงอัน เจ้าถึงขั้นยอมสละชีวิตตัวเองมาแลกเปลี่ยนชีวิตกับข้าอย่างนั้นรึ? คิดอย่างไรกันแน่?!”
นอกห้อง คนหนุ่มที่กำลังผรุสวาทฉีกหน้ากากสตรีที่อยู่บนใบหน้าออก
ส่วนข้างกายก็มีลู่จือที่ฉีกหน้ากากของบุรุษออก
นอกจากนี้คนทั้งสองต่างก็มีเวทอำพรางตาที่เฉินชิงตูเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสร่ายไว้ด้วยตัวเอง
เปียนจิ้งเอ่ยถาม “ตามมาได้อย่างไร”
อิ่นกวานหนุ่มยิ้มเอ่ย “ก็เลียนแบบถ้ำซานสุ่ยอย่างไรละ เดิมพันมากก็ได้กำไรมาก”
เปียนจิ้งเพิ่งเตรียมจะลงมือก็พลันชะงักค้าง
เพราะในห้องมีผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่ไม่ควรปรากฏตัวที่นี่มากที่สุดเผยกาย
เปียนจิ้งหัวเราะร่าเสียงดัง “ดีๆๆ แค่เซียนกระบี่สองสามคนยังไม่พอ ยังถึงขั้นเชิญเฉินฉุนอันมาด้วย!”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเอ่ยอย่างเฉยเมย “นามของข้า เจ้าก็เรียกได้ด้วยหรือ?”