ตอนที่ 182 มิตรภาพของสหายคนสนิท เซียวโหวระบายความในใจ (4)
เหยาเหยียนอี้จัดโต๊ะอาหารเฉลิมฉลองในจวนอยู่หนึ่งโต๊ะ แล้วชวนเซียวหลิน เฟิงเซ่าเชิน และซูอวี้เสียง ฯลฯ สหายที่ดีและญาติพี่น้องของเขา ทางนี้เพิ่งจะจัดวางอาหารและสุราเสร็จ แล้วยังไม่ทันได้เริ่ม ข้างนอกก็มีเสียงหัวเราะอันร่าเริงดังขึ้น “ข้ามาสายแล้ว! ทางฝั่งพี่เหยาช่างครึกครื้นยิ่งนัก”
“คุณชายรองแห่งตระกูลหัน!” หลินเซียวเป็นคนที่หูดี สามารถฟังออกว่าเป็นใครที่มาเยือน จึงตะโกนเรียกขึ้น ทีแรกหลายๆ คนที่กำลังนั่งอยู่ก็ลุกขึ้นอีกครั้ง
หันซังเย่ว์เข้าประตูไป เห็นว่าเซียวหลินก็อยู่ จึงทำมือคารวะพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าที่สอบได้คะแนนระดับต้นๆ กลับมาอยู่ด้วยกัน พอดีเลย พวกเจ้าจะได้ฉลองพร้อมกัน พวกเราจะได้ประหยัดเวลา ไม่ต้องวิ่งอีกรอบ”
เหยาเหยียนอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “มิฉะนั้นล่ะ! ที่ข้าก็เช่นนี้ไปแล้ว คงไม่มีอะไรที่ต้องตั้งตารอคอยอีก ท่านเซียวโหวกลับยังต้องสอบคัดเลือกขุนนางในราชสำนักอีก รอให้เขาถูกฮ่องเต้เลือกให้เป็นผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด สุรามื้อนี้ ห้ามละเลยเด็ดขาด”
ทุกคนต่างหัวเราะ หันซังเย่ว์รีบพูดขึ้น “คำๆ นี้มีเหตุผล ข้าเองที่ละเลยมันไป ข้าลงโทษตนเองโดยการดื่มหนึ่งจอก”
ซูอวี้เสียงจึงหัวเราะและพูดขึ้น “หนึ่งจอกไม่พอ ต้องสามจอก คุณชายรองมาสาย ทีแรกก็ควรโดนลงโทษอยู่แล้ว”
“ได้ สามจอก!” หันซังเย่ว์จึงตอบกลับด้วยความสะใจ
ทุกคนหัวเราะอีกครั้ง ทุกคนต่างก็นั่งประจำที่ของตนเองตามลำดับตำแหน่งและอายุ เหยาเหยียนอี้จึงสั่งให้สาวใช้รินเหล้าอีกครั้ง
เหล่าบุรุษทางนี้ต่างก็พูดคุยเล่นและดื่มสุรากันอย่างคึกคัก หันหมิงชั่นที่อยู่ด้านหลังก็ได้พูดคุยเล่นกับเหยาเยี่ยนอวี่และซูอวี้เหิง
ซูอวี้เหิงกอดไหล่หันหมิงชั่นไว้ แล้วยิ้มพูดด้วยเสียงเปราะบาง “นึกไม่ถึงว่าพี่สาวก็มา รู้เช่นนี้ตอนที่ข้ามา น่าจะไปชวนพี่สาวที่จวนองค์หญิงใหญ่ก่อนแล้วค่อยมาด้วยกัน”
“ดูสิ เจ้าสมควรโดนตี!” หันหมิงชั่นยกมือจับดวงหน้าของซูอวี้เหิง “รู้ว่าปากของเจ้าพูดเป็นแต่ถ้อยคำที่เสนาะหู เจ้าก็รู้ว่าข้าอุดอู้อยู่แต่ในจวน ทว่าก็ไม่มาเยือนจวนของเยี่ยนอวี่ ก็เพราะกลัวว่าจะรบกวนนางที่กำลังยุ่งกับเรื่องสำคัญ ไหนๆ วันนี้ก็มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว นางต้องไม่ได้ทำอะไรแน่นอน แล้วเจ้ามานี่ เหตุใดถึงไม่ไปชวนข้า”
ซูอวี้เหิงรีบขอให้อภัย เหยาเยี่ยนอวี่มองเหล่าสาวใช้จัดวางอาหารเสร็จแล้ว จึงได้บอกพวกนางสองคน “พอเถอะ อย่าทะเลาะกันอีกเลย รีบมานั่งเถอะ พวกเราเริ่มทานอาหารกันได้แล้ว”
เหยาเฟิ่งเกอก็ยิ้มพลางพูด “คุณหนูรอง น้องสาม นั่งลงดื่มสุราเสียจอกค่อยทะเลาะถกเถียงกันต่อเถอะ”
หันหมิงชั่นดึงซูอวี้เหิงไปนั่งตรงที่ประจำ แล้วก็ได้พูดคุยเล่นพลางดื่มสุรากับสองพี่น้องตระกูลเหยา
ถึงแม้ว่าเหยาเฟิ่งเกอจะมีอายุที่โตกว่าพวกนาง ทว่ากลับเข้ากับทุกคนได้ และเป็นคนที่ช่างพูด ชำนาญในการปรับเปลี่ยนบรรยากาศได้เป็นอย่างดี ทั้งสี่คนจึงนั่งลงแล้วเสวนากันอย่างร่าเริงและครึกครื้นไปกว่าทางฝั่งบุรุษเหล่านั้น
ซูอวี้เหิงและหันหมิงชั่นต่างก็ดื่มสุราไปหลายจอก เลยทำให้เกิดอาการมึนเมาขึ้นมา ตอนพูดคุยเล่นจึงหัวเราะได้ร่าเริงมากกว่าเดิม เวลาผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็เลิกแขนเสื้อขึ้น พร้อมกับละเล่นเกมพนันดื่มสุรา เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้ห้ามปราม จึงปล่อยให้พวกนางสองคนโวยวายเสียงดัง
จวนตระกูลเหยาหลังนี้ทีแรกก็เป็นเพียงซานเหอหย่วนอยู่แล้ว ห้องโถงหน้ากับเรือนหลังก็แค่ห่างกันเพียงลานกลางบ้านเท่านั้น ทางฝั่งโน้นกำลังเป่ายิ้งฉุบกันอย่างคึกคื้น บุรุษเหล่านั้นที่อยู่ทางด้านหน้าก็ต้องได้ยินเป็นเรื่องธรรมดา
หันซังเย่ว์ต้องฟังออกว่าเป็นเสียงของหันหมิงชั่นและซูอวี้เหิงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงคลี่ยิ้มพลางส่ายหัว
เพราะเหตุนี้เซียวหลินจึงกล่าวขึ้น “ฟังดูแล้ว ทางฝั่งเหล่าแม่นางสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกว่าพวกเราที่จิบสุรา มา! พวกเราก็มาละเล่นกัน อย่าได้พ่ายแพ้ให้พวกนางเด็ดขาด”
ซูอวี้เสียงเลิกแขนเสื้อขึ้น แล้วยิ้มพูดขึ้น “ข้าเล่นกับเจ้า!”
ดังนั้นทั้งสองก็ลุกขึ้นและเป่ายิ้งฉุบกัน อะไรนะ ‘ม้าแปดตัว’ ‘ห้าหัวโจก’ เสือคำรามโฮกๆ จากนั้นก็หุนหันพลันแล่นกันขึ้นมา
เฟิงเซ่าเชินคลี่ยิ้มพร้อมกับส่าหัว แล้วก็หาข้ออ้างว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อ จากนั้นก็แอบหลบ แล้วเดินไปที่ใต้ชายคาระเบียง แล้วสั่งเสี่ยวซือคนอื่นเดินนำทางไปยังห้องพัก
ตอนนี้เวลาก็ดึกแล้ว ดวงจันทราอันสว่างขึ้นสู่บนฟ้า ดวงจันทราตรงลานกว้างเงียบสงบและเย็นยะเยือกดุจดั่งผืนน้ำ
ด้วยเหตุนี้เฟิงเซ่าเชินจึงเอ่ยถามเสี่ยวซือ “เจ้ามีนามว่าอะไร”
เสี่ยวซือโค้งลำตัวลงแล้วตอบกลับทันที “เรียนคุณชาย บ่าถามว่าเซินเจียงเจ้าค่ะ”
“นี่เป็นชื่อของยาหนิ!” เฟิงเซ่าเชินยิ้มถามด้วยความแปลกพิลึก “ใครเป็นคนตั้งให้เจ้า”
เซินเจียงยิ้มพูด “เรียนคุณชาย คุณหนูรองของพวกบ่าวเป็นคนตั้งให้เจ้าค่ะ”
“อืม นามนี้ดี ทีแรกเจ้ามีแซ่ว่าเซินหรือ”
“เจ้าค่ะ บ่าวมีแซ่ว่าเซินเจ้าค่ะ”
“บ้านเกิดของเจ้าคือที่ใด”
“บ่าวจำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ บ่าวติดตามผู้ที่อพยพในหมู่บ้านแล้วมาที่เมืองหลวงอวิ๋นด้วยกัน คนในครอบครัวต่างก็เสียชีวิตไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวถือว่าดวงแข็ง จึงไม่ได้อดอาหารตาย จากนั้นก็ได้เจอกับนายหญิงของพวกบ่าวเจ้าค่ะ”
“สามารถติดตามอยู่ข้างกายคุณหนูเหยา ก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาของเจ้าแล้ว คุณหนูเหยาเป็นคนที่โอบอ้อมอารีและเที่ยงธรรม คงจะดีกับบ่าวเป็นอย่างมากใช่หรือไม่” เฟิงเซ่าเชินอดไม่ได้ที่จะอยากได้ยินเรื่องราวของเหยาเยี่ยนอวี่ให้มากกว่านี้จากปากของเซินเจียง
เซินเจียงยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าค่ะ การปฏิบัติตัวของคุณหนูที่มีต่อพวกบ่าวไพร่ก็คงไม่ต้องเอ่ยถึง ยังไม่เคยโดนว่ากล่าวตำหนิและลงโทษเลยเจ้าค่ะ ค่าของกินของใช้ของพวกบ่าวก็ไม่เคยหักในเบี้ยงเลี้ยง ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกบ่าวไม่กลัวเจ็บไข้ได้ป่วยเจ้าค่ะ แค่มีบ่าวคนหนึ่งปวดหัวตัวร้อน คุณหนูก็จะสั่งโรงครัวให้ต้มข้าวต้มยาสมุนไพรมาให้กินสองมือ ก็ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
“เยี่ยมจริงๆ” เฟิงเซ่าเชินคลี่ยิ้มด้วยความอิจฉา
หลังจากออกจากห้องพัก เซินเจียงก็นำทางด้วยความใส่ใจ “คุณชายเจ้าคะ เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
เฟิงเซ่าเชินกลับไม่อยากกลับไป ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่า “เจ้าดื่มเยอะไปหน่อย ยืนอยู่ที่นี่สักพัก อย่างน้อยก็สามารถเลี่ยงสุราอีกไม่กี่จอกแล้วค่อยกลับไป”
เซินเจียงคลี่ยิ้ม “คุณชายจะดื่มชาสร่างเมาหน่อยหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะสั่งให้คนไปตักมาให้ท่านหนึ่งจอกเจ้าค่ะ?”
“ชาสร่างเมาอย่างไร” เฟิงเซ่าเชินนั่งอยู่บนราวจับที่อยู่ตรงใต้เสาชายคาระเบียง แล้วพิงอยู่ตรงเสาชายคาระเบียงที่เป็นกระถางดอกไม้
เซินเจียงตอบกลับ “เป็นสิ่งที่คุณหนูได้สั่งให้โรงครัวต้มเตรียมไว้โดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
เฟิงเซ่าเชินได้ยินจึงคลี่ยิ้ม “ดี ไม่ต้องเรียกคนอื่น วันนี้ทุกคนต่างก็ยุ่งกันยิ่งนัก ข้ายืนอยู่ที่นี่สักพัก เจ้ารีบไปรีบกลับ”
“เช่นนั้นคุณชายเชิญนั่งรอสักครู่” เซินเจียงโค้งลำตัว แล้วเดินไปที่โรงครัวด้วยความเร่งรีบ
เฟิงเซ่าเชินเพิ่งดื่มสุราก็ถูกลมพัก จึงทำให้เวียนศีรษะเล็กน้อย ร่างกายก็ไม่อยากขยับ จึงนั่งชมจันททร์อย่างเงียบสงบอยู่ตรงนั้น ขณะเดียวกันก็นึกถึงระยะทางที่ใกล้กันคุณหนูยิ่งนัก ทว่ากลับไม่อาจพบหน้านางได้ แค่รู้สึกว่าตอนนี้ทั้งท้องของเขาเคล้าด้วยความรู้สึกที่เฝ้าคำนึงถึงและความโศกเศร้า และไม่มีที่ให้ระบาย จึงอดพร่ำบ่นขึ้นไม่ได้ “มีวาสนาเพียงเฝ้าคำนึงถึงเจ้า ทำให้ข้าเฝ้าคำนึงถึงเจ้าทั้งวันทั้งคืน เยี่ยนอวี่ เยี่ยนอวี่ ข้าเฝ้าคำนึงถึงเจ้าจวนจะขาดใจรู้หรือไม่”
ทีแรกหันหมิงชั่นที่ดื่มสุราไม่กี่จอกก็รู้สึกหน้าร้อนระอุ จึงดึงเหยาเยี่ยนอวี่ออกไปรับลมข้างนอก
ใครจะไปนึกถึงว่าพวกนางสองคนที่เดินตามทางระเบียงไปไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินมีคนเหมือนจะท่วงทำนองเสนาะ ด้วยเหตุนี้จึงแอบยิ้มพูดด้วยเสียงเบา “ไม่รู้ว่าเป็นใครที่มึนเมาจนขาดสติ”
ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่คิดในใจว่าคนเหล่านั้นที่มาดื่มสุรากันอยู่ข้างหน้านั้น ผู้ที่สามารถท่วงทำนองเสนาะต้องไม่ใช่หันซังเย่ว์ อาจจะเป็นเซียวหลิน ด้วยเหตุนี้จึงคลี่ยิ้ม “พวกเราแอบล้อมไปทางโน้น แล้วไปหลบเพื่อแอบฟังอยู่ตรงพุ่มไม้”
หันหมิงชั่นจึงตอบตกลงด้วยเสียงเบา ทั้งสองจูงมือกกันเดินอ้อมไปตรงทิศตะวันออกหนึ่งรอบ แล้วก็แอบเดินเข้าไปใกล้
ตอนนี้เป็นปลายเดือนสอง ดอกไม้ต้นไม้เหล่านั้นก็เริ่มแตกใบอ่อนที่เป็นสีเขียวอ่อน ยังไม่มีดอกตูม
กิ่งไม้พลิ้วไหวภายใต้แสงจันทร์ จึงมิอาจทำให้คนหลบอยู่ตรงนั้นได้ ทั้งสองจึงหยุดลงในระยะทางหนึ่งจั้ง[1]กว่า
หันหมิงชั่นเป็นคนตาดี แค่มองพริบตาเดียวก็รู้ว่าคนๆ นั้นคือเฟิงเซ่าเชิน เหตุนี้จึงเม้มปากคลี่ยิ้ม
ทางโน้นเป็นเฟิงเซ่าเชินที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับอารมณ์ของตนเอง มีคารมณ์ในการแต่งบทกวี จึงท่วงทำนองเสนาะซ้ำๆ ไปหลายรอบ “เขียนคำว่าเฝ้าคำนึงถึงเป็นตักอักษรขนาดเล็กไม่ได้ ผู้ที่อยู่ภายในใจไกลดั่งเมฆี” กลับไม่มีบทกวีประโยคต่อไป
[1] หนึ่งจั้ง จั้งเป็นหน่วยวัดความยาว ซึ่งหนึ่งจั้งเท่ากับ 2.5 เมตร