บทที่ 303 : ทนไม่ไหว
จี้จือซู่ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เธออ้าปากเหมือนอยากจะพูดอยู่หลายครั้ง แต่ก็ตระหนักว่าตัวเธอไม่ได้กำลังเจรจาและไม่สามารถต่อรองอะไรได้ เธอจึงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณว่าค่ะ”
“อื้อ” หลินเจี๋ยพยักหน้า ทันใดนั้นหัวใจของชายหนุ่มก็เต้นผิดจังหวะเมื่อเห็นการเปลี่ยนสีหน้าของจี้จือซู่ เขาสังเกตเห็นว่าเธอลังเลเหมือนจะพูดบางอย่างอยู่
คุณหนูจี้…ดูผิดหวังที่ไม่ได้มารับด้วยตัวเองชัด ๆ
หรือว่าเธอตั้งใจจะมารับเขาไปงานวันเกิดของเธอด้วยตนเองมากว่า?
สีหน้าของหลินเจี๋ยจู่ ๆ ก็ดูหงอยทันที
ในฐานะตัวเอกของงานเลี้ยงวันเกิด ไม่ใช่ว่าเธอควรจะนั่งสวย ๆ รอรับของขวัญจากผู้มาเยือนเหรอ?
การที่เจ้าภาพงานเลี้ยงวันเกิดจะเกิดอยาก ‘สงเคราะห์คนจน’ แล้วมารับเขาจะเป็นไปได้เหรอ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมความย้อนแย้งนี้กับสัญญาณบอกใบ้ก่อนหน้า เรื่องราวก็เกือบชัดแล้ว…
ตอนที่เธอออกจากร้านหนังสือ เธอก็เหลือบมองกลับมาด้วยหน้าแดง ๆ ราวกับดอกกุหลาบ เชิญไปงานเลี้ยงวันเกิด…ประกอบกับสาเหตุการมาร้านหนังสือครั้งแรกของคุณหนูจี้ก็เพราะเรื่องถูกเดนมนุษย์หลอกจนหงุดหงิดอีก
แล้วเมื่อเธอได้รับซุปไก่เยียวยาวิญญาณในช่วงเวลาเปราะบางนั้นพอดี การจะผูกติดกับผู้ที่ปลอบโยนเธออย่างอบอุ่นก็คงเป็นเรื่องง่าย
ดังนั้นจึงเกิดเป็นความรู้สึกที่ไม่ควรจะมี
ในใจหลินเจี๋ยมีการคาดเดาที่ใจกล้ามากอยู่หนึ่งอย่าง
เพราะฉะนั้น เขาจึงคิดว่าตัวเองควรทำให้ลูกแกะหลงทางนี้กลับเข้าที่เข้าทางของเธอเสีย เพื่อที่คุณหนูจี้จะได้ไม่ติดอยู่ในหล่มที่ออกไม่ได้ แล้วจมอยู่แต่ในความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
จี้จือซู่แพ็คหนังสือทั้งห้าเล่มไว้ในกล่องพิเศษที่นำมาด้วย แล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะจัดการเรื่องของหนังสือพวกนี้ก่อนนะคะ…”
“เดี๋ยวครับ” หลินเจี๋ยประสานมือใต้คางอย่างที่เขามักจะทำแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ผมว่าผมควรชี้แจงเรื่องบางเรื่องให้ชัดเจนก่อน เพื่อที่จะเป็นการดีต่อเราทั้งคู่นะครับ”
“!”
จู่ ๆ จี้จือซู่ก็ตกใจเหมือนนกตื่นธนู
เธอไม่รู้เลยว่าสีหน้าของเธอดูราวกับสาวน้อยที่ถูกเปิดโปงความลับในสายตาเจ้าของร้านหลิน
“ไม่ต้องห่วงครับ” หลินเจี๋ยพูดให้ช้าลงอย่างแผ่วเบา “ผมไม่อยากพูดอะไรรุนแรงกับคุณ ความคิดแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องนี้ครับ…ในกรณีพิเศษบางกรณี ก็พูดได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีความปรารถนาเหนือเหตุผล”
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองไม่มีอะไรผิดปกติ
เป็นเรื่องปกติทางจิตวิทยาที่จะตกหลุมรักคนที่ช่วยตนจากวิกฤต
จี้จือซู่คิดในใจอย่างหดหู่ เมื่อครู่นี้เราคงแสดงความทะเยอทะยานที่ไม่มีเหตุผลออกไปแน่ ๆ ความคิดของตระกูลจี้ที่อยากจะตีซี้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือกระทั่งบ่มเพาะพวกเขาขึ้นมากำลังถูกจับได้แล้ว!
เธอคอตก แล้วพูดอย่างละอายเล็กน้อย “ขอโทษค่ะ ฉันระเริงไปกับความเห็นแก่ตัวของตัวเอง…ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองควบคุมความคิดที่ไร้เหตุผลพวกนี้ไม่ได้เลย โปรดยกโทษให้ความไร้มารยาทของฉันด้วยค่ะ”
นั่นไง!
หลินเจี๋ยรู้แล้วว่าตัวเองเดาถูก เธอมีความรู้สึกบางอย่างต่อเขาจริง ๆ
“เฮ้อ”
หลินเจี๋ยถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องธรรมดาของมนุษย์ครับ ไม่มีอะไรผิดหรอก”
“ผมแค่อยากให้คุณเข้าใจว่าความคิดบางอย่างมันไม่ควรมีมาแต่แรก มันมีแต่จะชักนำปัญหามามากมายต่อคุณ ผม หรือแม้กระทั่งพ่อของคุณ มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกครับที่คนมากมายจะไม่มีความสุขนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณควรรู้ว่าความต่างระหว่างคุณกับผมมันมากเกินไปด้วยครับ”
หลินเจี๋ยยิ้ม โน้มน้าวเธออย่างจริงใจ “ถ้าเข้ามาใกล้ผมเกินไป ผมคงทนไม่ได้ครับ”
หมายถึง อดไม่ได้ที่จะยอมจำนนต่ออำนาจแห่งเงินของคุณหนูประจำเครือบริษัทการค้าผูกขาดคนนี้น่ะนะ…
ได้ยินเช่นนั้น จี้จือซู่ก็อดตัวสั่นน้อย ๆ ไม่ได้ หลังของเธอรู้สึกหนาววาบ
เรื่องที่บอกว่าต่างกันเกินไป…เธอเข้าใจอยู่นานแล้ว ไม่ว่าเธอจะสร้างความคืบหน้าได้แค่ไหน ต่อให้เธอเลื่อนขั้นเป็นระดับภัยพิบัติ หรือกระทั่งระดับเหนือนภาได้ เธอก็ยังตระหนักอยู่ดีว่าเธอห่างชั้นกับอีกฝ่ายอยู่มาก และไม่มีมโนภาพใด ๆ เลยว่าเธอจะเข้าใกล้ระดับของเจ้าของร้านหลินได้
แต่ที่บอกว่าทนไม่ได้…เจ้าของร้านหลินทนอะไรไม่ได้?
จี้จือซู่เหลือบมองกล่องในมือตน ในหนังสือทั้งห้าเล่มนี้ มี ‘สังเวยเลือด’ ที่เจ้าของร้านหลินใช้เป็นตำราอาหารอยู่…
บางที ที่บอกว่าทนไม่ได้อาจจะมีเพียงคำอธิบายเดียว
นั่นคือเธอคงหอมหวนเกินไป…จนอดกินไม่ได้!
จี้จือซู่ตะลึงกับความคิดอันน่ากลัวที่ปรากฏขึ้นในใจ แล้วเธอก็ตัวสั่นมองหลินเจี๋ยอย่างพรั่นพรึง
แม้ว่าเธอจะยำเกรงเจ้าของร้านหลินอยู่เสมอก็ตาม แต่ตอนนี้เธอยังสงบสติอารมณ์และความคิดของตัวเองไม่ได้
หลินเจี๋ยมองเห็นสีหน้าของจี้จือซู่ที่เปลี่ยนจากแดงเป็นขาวซีดอย่างชัดเจน ร่างของเธอสั่นเทาราวกับกำลังเจ็บปวดจากการปฏิเสธอย่างเด็ดขาดนี้
ขอโทษจริง ๆ ครับ แต่ว่า…การพูดให้ชัดเป็นการแสดงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
หลินเจี๋ยถอนหายใจอีกครั้งแล้วพูดว่า “คุณคงคิดว่าผมโหดร้ายไปหน่อยหรือเปล่า”
จี้จือซู่ส่ายหัวรัว ๆ เหมือนกลองส่าย
เธอฝืนยิ้มแล้วตอบ “ไม่ว่ายังไง ฉันก็รู้สึกว่าคุณ…อ่อนโยนมากค่ะ”
ล้อเล่นกันหรือเปล่า? ลองเธอบอกว่าเขาน่ากลัวจนไม่น่าเข้าใกล้ ดูเธอสิ เธออาจได้กลายเป็นเมนูขึ้นโต๊ะทันทีเลยก็ได้!
หลินเจี๋ยกะพริบตา เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้คงเกินเยียวยาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเธอถูกปฏิเสธ แต่ทำไมยังดูหมกมุ่นอยู่เลย
“คุณ…ช่างเถอะครับ สรุปก็คือรักษาระยะห่างไว้ บางทีสิ่งที่ทำให้คุณมองว่าผมอ่อนโยนอาจเป็นแค่ภาพหลอกตาก็ได้ แต่ผมก็ต้องให้คุณตระหนักรู้ว่ามันเป็นแค่ภาพหลอกตานะครับ”
หลินเจี๋ยจงใจชักสีหน้าเย็นชา
แม้ว่าเขาอาจจะฉวยโอกาสจากเรื่องนี้ได้ แต่จากความรู้สึกผิดบาปของตนเองต่อความรู้สึกของอีกฝ่ายแล้ว หลินเจี๋ยก็ทำไม่ลงหรอก
“คิดให้ดีนะครับ”
—
“ฟู่…”
จี้จือซู่ออกมาจากร้านหนังสือแล้วถอนหายใจยาว
เธอมองหนังสือทั้งห้าเล่มในมือแล้วสัมผัสถึงความหนักอึ้ง นี่คงไม่ใช่น้ำหนักของหนังสือหรอก แต่เป็นอนาคตของบริษัทโรลล์ในโลกของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
การเลือกผู้ซื้อหนังสือทั้งห้านี้ก็อาจจะเป็นบททดสอบบางอย่างของเจ้าของร้านหลินด้วย เพราะถึงอย่างไร เขาก็บอกเองว่าเมื่อถึงเวลาเขาจะมาเองโดยไม่ต้องรอให้เธอมาหา…แต่ว่า ในเมื่อนี่เป็นธุรกิจ ถ้าเธอทำได้ไม่ดี ลูกค้าก็ไม่มาเหมือนกัน
การขอปฏิเสธการมารับมาส่ง อาจหมายถึงให้รักษาระยะห่าง
เมื่อรวมกับคำเตือนและการไม่ยอมรับของเจ้าของร้านหลินในตอนที่เธอและพ่อมาเยือนร้านด้วยกันในครั้งก่อน เธอก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงรู้แผนของตระกูลจี้อยู่แล้ว แต่ก็ยอมให้อภัยพวกเธอเพราะ ‘บรรณาการ’ ที่นำมามอบให้ แล้วเต็มใจเล่นเกมอำนวยความสะดวกให้มดตัวจ้อยเหล่านี้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยืนรวมพวกกับมดด้วย
ดังนั้น เขาจึงทิ้งคำเตือนอย่างตรงไปตรงมาเอาไว้
‘ผมรู้ชัดเลยล่ะว่าคุณคิดอะไรอยู่ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อนเถอะ อย่ามาถามหาอะไรเกินตัวให้มากนัก ความอดทนและจิตกุศลของผมมีจำกัด มันจะหายไปตอนไหนก็ได้นะครับ’
…เจ้าของร้านหลินคงอยากให้เธอเข้าใจจุดนี้ไว้อย่างแน่นอน
ความอดทนของเขา ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะถือสิทธิ์ก็ได้
เมล็ดพันธุ์แห่งความปรารถนาที่เพิ่งงอกเงยในหัวใจของจี้จือซู่ได้ไม่นาน แล้วเธอก็กลับบีบคอมันตายคาเปลด้วยมือตัวเอง