ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 51 โรคกลัวผู้ชาย

ตอนที่51 โรคกลัวผู้ชาย

“อะไรนะ? เธอแต่งงานแล้วเหรอ?”

“ใช่ครับ ผมแต่งงานแล้ว แต่งมานานแล้วด้วย”

ฉีเล่ยมองไปยังหลี่ฮั่วเฉินก่อนตะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงเอ่ยปากถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“รู้สึกว่าเรื่องนี้ผมบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ที่ร้านกาแฟชั้นล่างของโรงพยาบาลทหารหนานหยาง…”

หลี่ฮั่วเฉินตบหน้าผากตัวเองไปทีหนึ่ง

ฉีเล่ยบอกเรื่องนี้กับเขาแล้วจริงๆ นั้นเป็นครั้งแรกเลยที่เขาปรึกษากับฉีเล่ยเกี่ยวกับเรื่องงาน ทีแรกก็คุยกันเรื่องงานก่อนจะวกเข้าเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย ซี่งฉีเล่ยก็บอกเองว่า ภรรยาของเขาทำงานอยู่ในโรงพยาบาลในเมืองหนานหยาง และไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่นักหากต้องจากบ้านมาเมืองหลวง

หลี่ฮั่วเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูท่าตัวเขาเองจะเป็นกังวลเรื่องชีวิตในอนาคตของหลานสาวตัวเองจนเกินไป

“เฮ้ออ… น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ ถ้าเธอยังไม่แต่งงานจะดีมากเลย ถ้าแบบนี้หลานสาวของฉันคง…”

ปัง!

หลี่ถงซีตบโต๊ะเสียงดังปัง ก้มหน้าก้มตาใช้ตะเกียบตักข้าวเข้าปากอย่างดุเดือด จากนั้นก็วางทุกอย่างลงบนโต๊ะและกล่าวขึ้นว่า

“คุณปู่! นี่พูดอะไรของปู่น่ะ? ใครจะบ้าอยากแต่งงานกับเขากัน? ต่อให้เขายังไม่แต่งงาน หนูก็ไม่มีทางชอบเขาลง!”

ใบหน้าอันละเอียดลอองดงามของหลี่ถงฉีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ แววตาอัดแน่นไปด้วยเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยวสาดสะท้อนออกมา แต่นี่ยิ่งเสริมอารมณ์เพื่อเสน่ห์หาจนงดงานยิ่งเกินพรรณนา

“ถงฉี หลานเองก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ มันถึงเวลาที่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้บ้างแล้ว”

หลี่ฮั่วเฉินพยายามเกลี้ยกลิ่มเธอจากใจจริง

“พวกปู่กินต่อกันไปเถอะ หนูอิ่มแล้ว!”

หลี่ถงซีลุกขึ้นพรวดยืนขึ้นและเดินขึ้นชั้นสองกระทืบเท้าเสียงดังปึงปัง

เมื่อเห็นหลี่ถงซีเดินขึ้นบันไดจากไปพ้นสายตา หลี่ฮั่วเฉินกับฉีเล่ยก็หันมามองหน้ากันเล็กน้อย พลางส่ายหัวอานอย่างขมขื่น

“โถ่… ฉีเล่ย ฉันพูดตามตรงเลยนะ นายเป็นคนสำคัญกับพวกเราจริงๆ ในตอนนี้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอยอดเยี่ยมจนน่าเหลือเชื่อ แถมยังเป็นคนดี รู้จักกาลเทศะ ถ้ายังไม่แต่งงาน ฉันคงอยากให้นายแต่งเข้าตระกูลหลี่ไปแล้ว…”

หลี่ฮั่วเฉินถอนหายใจ

“อาวุโสหลี่ไม่ต้องห่วงนะครับ มีลูกหลายนับเป็นโชคลาภอันยิ่งใหญ่ ตอนนี้เหลือก็แค่เรื่องลูกเขยที่จะมาแต่งกับเธอเท่านั้น เรื่องแบบนี้รีบร้อนไม่ได้หรอกครับ”

“ไม่รีบร้อนงั้นเหรอ? ฉีเล่ย ฉันยังไม่ต้องรีบร้อนอีกงั้นเหรอ? ปีนี้ถงซีก็อายุยี่สิบเจ็ดแล้ว อีกสามปีก็จะขึ้นเลขสาม การจะแต่งงานมีลูกตอนนั้นอาจเกิดสภาวะเสี่ยงมากมาย งั้นเธอบอกฉันหน่อยสิ ผู้หญิงวัยนี้ยังมีอีกสักกี่คนที่ยังไม่แต่งงานกัน?”

หลี่ฮั่วเฉินกล่าวต่อด้วยความหนักใจว่า

“จนถึงตอนนี้ เธอยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน ฉันแนะนำลูกศิษย์ทั้งหมดของฉันให้เธอรู้จักก็แล้ว พวกเขาทุกคนล้วนแต่เป็นแพทย์หนุ่มอัจฉริยะ แต่เธอไม่แม้แต่เหลียวมองเลยด้วยซ้ำ รู้อะไรไหมฉีเล่ย ตอนที่เธอสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยแพทย์ ในนั้นก็มีคนแห่เข้ามาจีบเธอตั้งมากมาย แต่เธอกลับไม่เคยเปิดใจเลยสักครั้งเดียว จนนักศึกษาในมหาลัยต่างตั้งสมญานามให้เธอว่า ‘อาจารย์ปิง [1] ’ พอได้ยินแบบนี้แล้ว ยังไม่ให้ฉันร้อนใจได้อีกเหรอ?”

ฉีเล่ยถึงกับคลี่ยิ้มอย่างละเหี่ยใจ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตาลุงคนนี้ถึงพยายามขายหลานสาวตัวเองถึงขนาดนั้น เพราะเขากลัวว่า เมื่อเวลาผ่านไป หลานสาวของเขาจะเป็นโสดและใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวจนวันตาย

ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่สักพักและกล่าวขึ้นตามตรงว่า

“อาวุโสหลี่ ผมกำลังสงสัยว่า หลานสาวของคุณกำลังป่วย”

“ป่วยงั้นเหรอ?”

หลี่ฮั่วเฉินที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับเลิกคิ้ว

“ใช่ครับ ผมสงสัยว่าเธอป่วยทางจิต”

ฉีเล่ยแอบกวาดสายตาเหลือบมองตรงบันไดแวบหนึ่ง เพราะกลัวว่าสาวน้อยผู้เย็นชาจะย้อนกลับลงมา

“หรือว่า…หรือว่าเธอจะชอบผู้หญิง?”

หลี่ฉั่วเฉินรำพึงเสียวแผ่ว

“ไม่น่าจะใช่นะครับ…ที่ผมกำลังหมายถึงคือ เธอน่าจะป่วยเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง โรคเกลียดผู้ชาย ซึ่งมีผลวิจัยออกมาชี้ชัดแล้วว่า โรคนี้มีตามหลักการแพทย์จริงๆ”

ฉีเล่ยเอ่ยอธิบาย

นี่สามารถคาดเดาได้จากสายตาที่หลี่ถงซีจับจ้องมายังเขา แววตานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความรังเกียจ ขยะแขยงอย่างเห็นได้ชัดทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันครั้งแรก

พูดตามตรงเลยคือ ฉีเล่ยก็มั่นใจอยู่บ้างแหละว่าตัวเองหล่อ อย่างน้อยก็หน้าตาดีกว่าเกณฑ์ชายหนุ่มทั่วไปแน่นอน เธอคงไม่รู้สึกขยะแขยงเพราะเรื่องหน้าตาอะไรแบบนั้น และอีกข้อสำคัญที่น่าสังเกตคือ ตอนที่เขาโป๊เปลือย ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอกลับตรงข้ามกับผู้หญิงปกติทั่วไปที่ควรกรีดร้องตกใจ นี่มันน่าแปลกมาก

และหลังจากที่ได้ฟังคำเอ่ยบ่นถึงพฤติกรรมของเธอตลอดที่ผ่านมาจากปากหลี่ฮั่วเฉิน สิ่งนี้ก็ยิ่งยืนยันข้อสันนิษฐานของฉีเล่ยให้มีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตามแต่ เขากับหลี่ถงซีเพิ่งพบกันวันนี้เป็นครั้งแรก และเขายังทราบถึงความเป็นมาในอดีตของเธอ ส่วนที่ว่าจะป่วยเป็นโรคนี้หรือไม่ ตัวฉีเล่ยเองก็ยังไม่กล้าฟันธง100%

โรคกลัวผู้ชาย ในศัพท์ทางการแพทย์ต่างประเทศจะถูกเรียกว่า Androphobia ในหนังสือโรคนี้ถูกนิยามไว้ว่า โรคที่ทำให้เกิดอาการหวาดกลัวผู้ชาย

ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้ล้วนมีประสบการณ์ภูมิหลังที่เลวร้ายทั้งสิ้น โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ไปกระทบถึงจิตสำนึกโดยตรง ไม่ก็เรื่องทางเพศหรือการถูกลวนลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่นของผู้ป่วย

บางทีในช่วงวัยรุ่นของเธออาจบังเอิญไปพบเจอพวกผู้ชายสันดานเสีย นิสัยน่าขยะแขยง หรือไม่ก็ชอบใช้ความรุนแรงกับเพศตรงข้ามเป็นต้น

ก่อนจะทำการรักษาควรทราบถึงสาเหตุของผู้ป่วยก่อนเป็นอันดับแรก

“กลัวผู้ชายงั้นเหรอ…เธอรักษาถงซีได้รึเปล่า?”

หลี่ฮั่วถึงกับจับมือของฉีเล่ยแน่น เอ่ยถามประดับเจือแววตาอันแสนคาดหวัง

“ผมต้องลองดูครับ คงบอกได้แค่ว่า จะพยายามให้ดีที่สุด”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

“งั้นขอร้องเถอะ ช่วยถงซีด้วย!”

หลี่ฮั่วเฉินกล่าวขอร้องจากก้นบึ้งหัวใจ

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้น ฉีเล่ยก็ขอให้พี่เลี้ยงทำก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ สักชาม จากนั้นฉีเล่ยก็ถือมันเดินขึ้นไปเคาะห้องของหลี่ถงซีอย่างระมัดระวัง

หลี่ถงซีค่อยๆ แง้มประตูเปิดออก พอเห็นว่าเป็นฉีเล่ยสีหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนดูเย็นชาขึ้นฉับพลัน และเอ่ยถามเสียงแข็งขึ้นว่า

“คุณมาทำอะไรที่นี่?”

“ตะกี้ถึงพยายามยัดข้าวเข้าปากยังไงคงไม่อิ่มหรอก ผมเลยเอาก๋วยเตี๋ยวมาให้”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่นพร้อมยื่นก๋วยเตี๋ยวชามร้อนให้ต่อหน้า

“ไม่กิน”

ทันทีที่พูดจบ หลี่ถงฉีก็ปิดประตูใส่เสียงดังปัง

ปัง!

ฉีเล่ยเอื้อมมือออกไปเคาะประตูอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรหลี่ถงซีก็ยังไม่ยอมเปิดประตูอยู่ดี

“บอกตามตรง ผมไม่สนหรอกนะว่า คุณจะกินหรือไม่กิน ต่อให้หิวจนตายมันก็ไม่ใช่เรื่องของผม”

ฉีเล่ยเค้นหึยิ้มเยาะไปทีและกล่าวต่อว่า

“แต่เพราะเห็นแก่หน้าของอาวุโสหลี่ต่างหากแหละครับ ผมก็เลยต้องอาสามาช่วยคุณดูสักครั้ง”

“ช่วยฉัน? ช่วยอะไรฉัน? ฉันมีอะไรงั้นเหรอถึงต้องให้คุณช่วย?”

หลี่ถงซีเอ่ยถามพร้อมสีหน้าเย็นชา จู่ๆก็ยกมือปิดบริเวณหน้าอกของตัวเองด้วยความตกใจ

เธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จตะกี้ ปอยผมอันเปียกชื้นของเธอยังคงพาดอยู่ช่วงหัวไหล่ บนเรือนร่างสวมเพียงชุดนอนผ้าไหมชั้นบางสีม่วงแขนยาว บดบังผิวพรรณอันขาวเนียนประดุจหิมะของเธอ ทั้งยังลำคอระหงเรียวนวล กระดูกไหปลาร้าขึ้นทรงชัดเจนเซ็กซี่เกินจะหักห้ามใจไหว หน้าอกหน้าใจเป็นก้อนนุ่มนิ่มทรงโตพร่าวเสน่ห์เหลือเกิน

พอหลี่ถงซีแง้มประตูออกมาอีกครั้ง ก็พลันไปเห็นแววตาของฉีเล่ยที่จับจ้องมายังเรือนร่างของเธอโดยไม่ตั้งใจ แม้ภายในใจของชายหนุ่มคนนี้จะซื่อสัตย์ แต่สายตาของเขากลับไม่ซื่อสัตย์อย่างที่คิดเท่าไหร่

แน่นอนว่า พอหลี่ถงซีเห็นภาพฉากนี้เข้าก็ยังทำให้เธอรู้สึกขยะแขยงในตัวฉีเล่ยมากยิ่งขึ้น

ผู้ชาย มันไม่มีข้อดีอะไรสักอย่างเลยจริงๆ

“นี่คุณกำลังป่วยอยู่นะ!”

ฉีเล่ยกล่าวขึ้น

“คุณกำลังป่วย!”

“คุณกำลังป่วยอยู่จริงๆ!”

“ป่วยบ้าป่วยบออะไร! ออกไปซะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะปิดประตูทับมือนายให้หักไปเลย!”

หลี่ถงซีคำรามลั่นด้วยความโกรธ

สมงสมองของหมอนี่ไปหมดแล้วรึไง? กลางดึกแบบนี้ถือชามก๋วยเตี๋ยวเข้ามาหน้าห้องคนอื่น แถมยังบอกคนอื่นอีกว่ากำลังป่วย

“ผมหมายถึง…คุณกำลังป่วยทางจิต”

ฉีเล่ยรีบเร่งอธิบายออกไปทันที

“ป่วยทางจิต? นายเองมากกว่าที่กำลังป่วยทางจิต! ไปให้พ้น! ฉันจะปิดประตู!”

หลี่ถงซีพยายามผลักประตูให้ปิดลง แต่ฉีเล่ยยังคงดันเข้ามาไม่หยุดจนประตูเริ่มแง้มออกกว้าง ทันทีที่ได้จังหวะเขาก็สอดมือเข้าไปคว้าข้อมือนุ่มของเธอไว้โดยตรง

ฉีเล่ยรำคาญที่ต้องมานั่งสุภาพกับผู้หญิงคนนี้อีกต่อไปแล้ว กระชับบีบข้อมือของหลี่ถงซีแน่นและดันตัวเองเข้าไปในห้องอีกฝ่ายทันที ก่อนจะพลิกตัวผลักร่างของเธอจนติดประตูอย่างแรง

“นี่คิดจะทำอะไรฉัน!?”

หลี่ถงซีถึงกับตื่นตระหนกหนัก เธอไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะทำตัวแข็งกระด้างกว่าที่คิดไว้มากนัก

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset