ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 89 ข่าวร้อนประเด็นดัง

ตอนที่89 ข่าวร้อนประเด็นดัง

ฉีเล่ยกลับเข้ามาที่ห้องพักอาจารย์อีกครั้ง โดยมีอาจารย์ซงเป็นแกนหลัก บรรดาอาจารย์กลุ่มหนึ่งรายล้อมกันเป็นวงกลมเพื่อฟังเขานินทาอะไรสักอย่าง

ทันทีที่ฉีเล่ยก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สุ้มเสียงสนทนาดังลั่นก่อนหน้าพลันเงียบลงทันที แต่ละคนปิดปากเงียบเหลือบมองมาทางเขาอยู่เป็นครั้งคราว

บรรยากาศแบบนี้ต่อให้เป็นคนโง่ยังรู้ว่า ใครคือคนที่บรรดาอาจารย์พวกนี้กำลังนินทาอยู่

ฉีเล่ยเองก็ไม่ได้สนใจอะไร เพียงแค่นั่งลงบนเก้าอี้ตั้งหน้าตั้งตาจัดทำแผนการเรียนในคาบต่อไป

ความเงียบงันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ที่ฉีเล่ยเหยียบย่างเข้ามาในห้อง และยังเป็นเช่นนี้อยู่เป็นเวลานาน ปฏิกิริยาของทุกคนที่มีต่อฉีเล่ยดูค่อนข้างยำเกรงไม่กล้ารบกวน กระทั่งตาแก่ซงเองก็ยังไม่กล้าปะทะกับเขาเลย

ทุกคนล้วนทราบดีว่าฉีเล่ยเองก็มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่งเช่นกัน ส่วนที่ว่าภูมิหลังของเขามีใครคอยสนับสนุนอยู่นั้นกลับไม่มีใครรู้แน่ เรื่องนี้ยังมีข้อมูลไม่ชัดเจนนัก แต่ที่แน่นอนแล้วก็คือ แม้กระทั่งอาจารย์ผู้มีความ‘อาวุโสที่สุด’อย่างตาแก่ซงยังไม่กล้าขัดแย้งใดๆอีกเลย

มหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแพทย์แผนจีนมากนัก ดังนั้นค่าบำรุงที่จะจัดสรรทรัพยากรในสาขานี้จึงมีจำกัด น้อยนิดชนิดที่ว่าห้องพักอาจารย์ยังมีคอมพิวเตอร์ให้ใช้เพียงแค่สองเครื่อง และหนึ่งในนั้นก็เป็นของตาแก่ซง ขณะที่อีกเครื่องอาจารย์ทุกคนต้องแบ่งกันใช้

หลังจากเงียบนิ่งไปพักหนึ่ง อาจารย์เหล่านี้ก็ทนต่อความกดดันไม่ไหวและเลิกสนใจฉีเล่ยไปเอง พวกเขามุงอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเพื่อเข้าเว็บไซต์อัปเดตข่าวสาร

เนื่องจากฉีเล่ยไม่ค่อยสนิทสนมกับพวกเขาเท่าไหร่นัก จึงนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานตัวเองและก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ เพื่อจัดเตรียมการเรียนการสอนอย่างมีความสุข

ทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีอาจารย์คนหนึ่งร้องอุทานขึ้นเสียงดังลั่น

“มาแล้ว! มาแล้ว! รูปแฟนของอาจารย์หลี่จากสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน! ในที่สุดก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว!”

เป็นเสมียนสาวเสี่ยวเกอซึ่งนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง

โดยมีตาแก่ซงเป็นแกนนำเช่นเคย พร้อมกับบรรดาอาจารย์อีกสองสามคนที่พากันแห่เข้ามามุงดูอีกครั้ง มีหรือที่คนพวกนี้จะทนต่ออาการคันเพราะความอยากรู้อยากเห็นได้? ถ้าไม่ได้สอดรู้สอดเห็นสักวันคงจะนอนไม่หลับแน่!

“มีคนถ่ายรูปคู่ระหว่างอาจารย์หลี่กับแฟนนักศึกษาหนุ่มได้ แล้วนำมาอัพโหลดลงในบอร์ดสนทนาของมหาวิทยาลัย โพสต์นี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก!”

“ไอ้หนุ่มไวไฟนั้นเป็นใครกัน? ถึงสามารารถทำให้น้ำแข็งอย่างเธอละลายได้?”

ภายในใจของอาจารย์พวกนี้คิดว่า ผู้ชายบนโลกนี้มันหายากหาเย็นนักรึไง? ถึงต้องไปเลือกควงแขนลูกศิษย์ตัวเอง?

“มันก็ไม่แน่ บางทีนักศึกษาหนุ่มคนนี้อาจจะเป็นทายาทเศรษฐีก็ได้นะ?”

“เป็นไปได้…คงถูกที่บ้านตามใจจนเสียคน ไม่สนเรื่องศีลธรรมอะไรทั้งนั้น ถึงขนาดคบกับอาจารย์ของตัวเอง ไอ้เด็กเวรไร้ยางอาย!”

อาจารย์ที่ร้องตะโกนเสียงดังคนนี้เห็นได้ชัดว่า เขาเองก็แอบชอบหลี่ถงซีเช่นกัน

“เสี่ยวเกอ ทำไมรูปถึงยังโหลดไม่ขึ้นสักที? เห้อออ…ทางมหาวิทยาลัยแอบตัดความเร็วเน็ตของเราอีกแล้วใช่ไหม?”

“ไม่น่าใช่นะคะ เพราะเซิร์ฟเวอร์ที่มหาวิทยาลัยของเราเป็นมันเก่ามาก ยิ่งมีคนกดเข้าไปดูมากเท่าไหร่ความเร็วในการโหลดก็ยิ่งช้าลงค่ะ อ๊ะ! เปิดได้แล้ว!”

“ไหน! ไหน! ขอดูหน้าไอ้เด็กเวรนี่หน่อย!”

“เอ๊ะ? แปลกจัง? ทำไมเด็กคนนี้หน้าคุ้นๆ?”

“ชุดสูทสีน้ำเงิน… ทำไมดูคล้ายกับ…อาจารย์ฉีเลยล่ะ?”

ทันใดนั้นเอง ทุกคนต่างก็หันขวับไปจ้องมองฉีเล่ยกันเป็นตาเดียวอย่างไม่ได้นัดหมาย

ฉีเล่ยยิ้มตอบเพียงว่า

“ใช่ครับ ไอ้เด็กเวรนั่นคือผมเอง”

“….”

ในห้องพักอาจารย์ ทุกคนถึงกับอ้าปากค้างขากรรไกรแทบร่วงกราว

บอร์ดสนทนาของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง เป็นแหล่งรวมของนักศึกษาและคณะอาจารย์ทุกคณะสาขา รวมไปถึงบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลในเครืออีกด้วย เป็นสังคมบนโลกอินเตอร์เน็ตที่ทุกคนชอบเข้ามาแวะเวียนเยี่ยมชม และอัปเดตข่าวสารที่เกิดขึ้น บอร์ดสนทนาดังกล่าวจะมีโพสต์ใหม่ๆ อัปเดตสดใหม่ตลอดทั้งวันกว่าพันโพสต์ ส่วนจำนวนผู้เข้าชมนั้นก็หลายหมื่น

หลี่ถงซีเป็นอาจารย์ที่สวยที่สุดในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ และได้รับสมญานามว่า‘คู่สตรีงามเพลิงน้ำแข็ง’ โดยพ่วงกับอาจารย์สาวสวยอีกคนที่ชื่อว่า หลินชูวโม่ ตามชื่อที่ทุกคนเรียกเลย สาวงามคนหนึ่งเย็นชาดั่งน้ำแข็ง ส่วนอีกคนร้อนแรงดั่งเพลิง

ส่วนซูเสี่ยวหยานน่ะเหรอ? ถึงเธอจะเป็นอาจารย์สาวที่สวยมากคนหนึ่ง แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบกันจริงๆ ยังไม่สามารถทัดเทียมทั้งสองคนนี้ได้อยู่ดี

หลังจากโพสต์ออกไปไม่ถึงชั่วโมง จำนวนผู้ชมที่กดเข้ามาก็พุ่งทะยานไปมากกว่าหลายพันคน มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกว่าร้อยครั้ง และตัวเลขยังคงพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง

โพสต์นี้ถูกแชร์ไปทั่วทุกกลุ่มของมหาวิทยาลัยโดยผ่านQQและWechat ข่าวนี้กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมมหาวิทยาลัย

ในช่วงสองวันมานี้ ทั่วทุกมุมของมหาวิทยาลัย ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องของฉีเล่ยกันอย่างแพร่หลาย

“นี่ๆ เธอรู้รึยัง? มีคนโพสต์รูปคู่ของอาจารย์หลี่กับแฟนของเธอ?”

“ก็ต้องเห็นแล้วสิ! หนุ่มหล่อในชุดสูทสีน้ำเงิน…หล่อจนใจฉันแทบละลายเลย!”

“เขายังนั่งรถBMWด้วยนะ แถมอาจารย์หลี่ยังเป็นคนขับให้อีก ฉันคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นทายาทเศรษฐีอะไรแบบนี้แน่เลย!  หรือไม่ก็อาจจะมีภูมิหลังอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นจะสามารถพิชิตใจอาจารย์หลี่ได้ยังไงล่ะ?”

“แล้วเธอคิดว่าไง? นักศึกษาหนุ่มมีเงินซื้อBMWเปย์สาว? ก็ต้องรวยอยู่แล้วสิ!”

“เอ…แต่รถคนนี้ไม่ใช่ว่าอาจารย์หลี่ขับมาเป็นปีแล้วเหรอ?”

“นี่พวกเธอไม่สงสัยกันเลยรึไง? อาจารย์หลี่เป็นแค่อาจารย์คนหนึ่งเท่านั้นนะ! เธอจะมีเงินซื้อรถBMWได้ยังไง?”

“ก็จริงนะ เงินเดือนของพวกอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจะสูงขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

“จุ๊จุ๊…ถ้าฉันบอกแล้วเงียบไว้เลยนะพวกเธอ! ฉันได้ข่าวจากวงในเขาว่า รถBMWของอาจารย์หลี่เป็นของขวัญที่ผู้ชายในรูปซื้อให้!”

ข่าวลือได้แพร่กระจายออกไปต่างๆนานา มีทั้งเรื่องราวแปลกๆมากมายที่ห่างไกลเกินความจริงกระจายไปทั่วทุกมุม ในเวลานี้ไม่ว่าฉีเล่ยจะไปไหน เขาก็ได้ยินแต่ข่าวซุบซิบเรื่องของตน บางอย่างผู้คนก็เล่นเติมไข่ใส่สีลงไปจนเจ้าตัวที่ได้ยินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ท่ามกลางเสียงซุบซิบเหล่านี้ ก็ยังมีข้อเท็จจริงถูกเปิดเผยออกมาบ้าง

โดยมีโพสต์จากนักศึกษาสาขาแพทย์แผนจีนคนหนึ่งชี้แจงว่า ภาพคู่ที่รั่วไหลออกมา แท้ที่จริงแล้วแฟนหนุ่มของหลี่ถงซีไม่ใช่นักศึกษา แต่เป็นอาจารย์ที่สอนอยู่ในสาขาแพทย์แผนจีนที่เขาเรียนอยู่

เมื่อโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ก็ยังมีนักศึกษาอีกหลายต่อหลายคนแห่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ทั้งยังช่วยเสริมว่า พวกเขาเคยเข้าเรียนคลาสของอาจารย์หนุ่มคนนี้อีกด้วย

แต่ก็อย่างว่า กลุ่มสังคมของสาขาแพทย์แผนจีนนั้นยังเล็กเกินไป น้อยคนนักที่จะเข้ามาสนใจกับโพสต์ของพวกนักศึกษาสาขาเล็กๆแบบนี้ ดังนั้นโพสต์ดังกล่าวจึงถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็ว

นักศึกษาโดยส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่า ชายหนุ่มในภาพจะต้องเป็นนักศึกษาเหมือนกับพวกเขา และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็น

ความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ นี่มันเรื่องใหญ่ประจำเดือนเลยไม่ใช่เหรอ?

กลุ่มแชทสาธารณะต่างพูดคุยกันเรื่องนี้อย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์ ส่วนเรื่องนี้จะมีข้อเท็จจริงแค่ไหนกลับไม่มีใครสนใจกันเลย

ที่สำคัญกว่านั้น ความเป็นจริงที่ว่านักศึกษาหนุ่มวัยใสสามารถสานสัมพันธ์กับอาจารย์สาวสวยได้แบบนี้ นี่มันความใฝ่ฝันของบรรดาหนุ่มๆชัดๆ พวกเขาเหล่านี้จับจ้องภาพคู่ผ่านหน้าจอพลางเฝ้าอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก

ส่วนพวกสาวๆเองก็รู้สึกใจสั่นเหลือเกิน ความรักต้องห้ามระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ที่ก้าวข้ามคำว่า‘ศีลธรรม’ไปแล้ว นี่มันเป็นความโรแมนติกอย่างไม่ต้องสงสัย

หัวข้อดังกล่าวร้อนแรงเกินฉุดไว้อยู่แล้ว นี่ถือเป็นปัญหาใหญ่หลวงสำหรับฉีเล่ย เพื่อเลี่ยงความสงสัย เขาไม่กล้าเดินไปรอหลี่ถงซีใต้อาคารสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันในวันนี้ เพราะกลัวว่าเขาจะโดนเหล่าแฟนคลับของหลี่ถงซี ถ่มน้ำลายใส่จนท่วมตายก่อน

ฉีเล่ยโทรบอกหลี่ถงซีทันทีว่า ให้เธอขับรถมารับเขานอกมหาวิทยาลัยแทนหลังสอนเสร็จ โดยไปเจอกันที่ทางแยกฝั่งตะวันตกของมหาวิทยาลัย

หลังจากโทรคุยกันเสร็จสิ้น ฉีเล่ยก็เดินก้มหน้าก้มตาจ้ำอ้าวออกไปจากมหาวิทยาลัยโดยเร็ว ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาถึงขั้นเปลี่ยนชุด ไม่กล้าสวมสูทสีน้ำเงินตัวนั้นอีกเลย

ขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คน ฉีเล่ยไม่ทันได้ระวังตัวจึงเดินชนเข้ากับร่างของใครบางคน สัมผัสแรกที่รับรู้ได้คือความอ่อนนุ่มที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมหวานของน้ำหอม

ฉีเล่ยตกใจอย่างมาก เร่งถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองและพบว่าคนที่เขาเดินชนนั้นเป็นสาวสวนคนหนึ่ง

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset