ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 96 มาอย่างไม่เป็นมิตร

ตอนที่96 มาอย่างไม่เป็นมิตร

ทุกกระบวนท่าของเหอจื่อพลิ้วไหวดุจสายน้ำ คิดบัญชีเสร็จสรรพภายในเสี้ยวพริบตา ฉีเล่ยได้แต่อ้าปากค้างยังไม่ทันตอบสนอง รู้สึกตัวอีกทีหม่ารุ่ยก็นอนเลือดอาบหน้าอยู่บนพื้นห้องน้ำไปแล้ว

พอเหอจื่อเห็นว่ามือของตัวเองเปื้อนเลือดสด เธอจึงเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำและล้างมืออย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะดึงกระดาษทิชชู่ลงมาแผ่นหนึ่งเช็ดไม้เช็ดมืออย่างใจเย็น

นิ้วเรียวยาว ขาวสวยดูสะอาดสะอ้านของเธอ ใครบ้างจะไปคิดว่า นิ้วสวยๆพวกนั้นจะแฝงไปด้วยพละกำลังอันมหาศาลปานนี้?

พอเห็นฉีเล่ยยืนมองตาถล่นใส่แบบนั้นด้วยความมึนงง เธอก็คลี่ยิ้มหวาน กดใบหน้าอันแดงก่ำลงต่ำไม่กล้าสบสายตามอง

“อันที่จริง…หนูไม่ค่อยชอบเรื่องต่อยตีเท่าไหร่…”

“อ่า ผมเชื่อ”

ฉีเล่ยไม่รู้เลยว่าตนควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“จะพยายามเชื่อแบบนั้นนะครับ”

“อาจารย์ฉี ไปกันเถอะค่ะ หยวนหยวนคงกำลังรอพวกเราอยู่”

เหอจื่อรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

เพราะเห็นว่ามีผู้หญิงยืนอยู่ในห้องน้ำแบบนั้น ผู้ชายหลายต่อหลายคนจึงต่อแถวรอไม่กล้าเข้าไป พร้อมกับใช้มือทั้งสองกำเป้าไว้แน่น

แค่เห็นก็รู้สึกสงสารคนพวกนี้แทนแล้ว ฉี่ก็ปวด เข้าห้องน้ำชายก็ไม่ได้ ถ้าเข้าห้องน้ำหญิงคงโดนตราหน้าว่าไอ้โรคจิต สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือ ยืนอดกลั้นอยู่แบบนี้

ฉีเล่ยชี้ไปยังหม่ารุ่ยที่นอนปิดหน้าปิดตาร้องโอดอวนลั่นอยู่บนพื้นห้องน้ำ

“แล้วเราจะทำยังไงกับเขา?”

เหอจื่อครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยแล้วกล่าวว่า

“หมอนี่คงไม่มาที่แบบนี้คนเดียวหรอกจริงไหม? เดี๋ยวเพื่อนที่มาตามก็พาส่งโรงพยาบาลเองแหละ หรือเราควรติดต่อบริกรก่อนไหม?”

“แล้วถ้าเขาแจ้งตำรวจล่ะ?”

เหอจื่อกล่าวตอบ

“ก็บอกไปว่า เขาพยายามจะลวนลานหนู อาจารย์เองก็มาช่วยเป็นพยานให้หน่อย”

“ความคิดไม่เลว แล้วจะอธิบายยังไงถ้าตำรวจถามว่า เธอเข้ามาในห้องน้ำชายมาได้ยังไง?”

“เขาฉุดฉันเข้ามาในห้องน้ำชาย หนูเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ จะไปสู้แรงผู้ชายไหวได้ยังไง?”

เหอจื่อแสยะยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

ทั้งสองที่กำลังสนทนาหารือกันอยู่ ก็เหลือบไปมองหม่ารุ่ยที่นอนยกมือปิดหน้าเลือดอาบอยู่บนพื้น เป็นเหอจื่อที่เอ่ยปากกล่าวต่อว่า

“พูดตามตรงนะ ต่อให้มันแจ้งตำรวจ เราก็ยังมีอีกสารพัดวิธีจัดการ สุดท้ายคนที่เสียเปรียบที่สุดก็คือมัน”

หม่ารุ่ยที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสบนใบหน้า ได้แต่นอนแหกปากร้องคร่ำครวญ แถมอวัยวะภายในยังบอบช้ำเนื่องจากการกระทบกระเทือนเมื่อครู่

เมื่อกลับมายังห้องคาราโอเกะ บรรยากาศภายในห้องกล่าวได้ว่าถึงจุดสุดยอดของความสนุก บางคนกำลังกินดื่มอย่างเมามันส์ บ้างก็กำลังทอยลูกเต๋าลุ้นกันตัวโก่ง มีนักศึกษาหญิงชายคู่หนึ่งกำลังกอดคอกันร้องเพลงคู่รักอย่างหวานชื่น

พอเห็นฉีเล่ยกับเหอจื่อกลับกันมาแล้ว จินเซิงกับจ้าวหยวนหยวนก็รีบตรงเข้ามาหาทั้งสองทันที

“อาจารย์ฉี ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

จินเซิงรีบเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วง

“ปกติดี ผมไม่ได้ไปอ้วกซะหน่อย แค่ยิงกระต่าย”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

จากนั้นเขาก็พลันโบกมือปัดพูดเสริมขึ้นว่า

“ไปสนุกกันต่อเถอะ ไม่ต้องมาห่วงผมหรอก”

“ผมอยู่ดูอาการอาจารย์หน่อยดีกว่าครับ”

จินเซิงยังคงตอบปฏิเสธและมานั่งข้างๆกับฉีเล่ย

“ก็อาจารย์บอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว มาเถอะ ไปร้องเพลงกันดีกว่า ฉันกดเพลงโปรดให้นายร้องด้วยแหละ”

จ้าวหยวนหยวนดึงแขนจินเซิงพยายามลากเขาไปร้องเพลงด้วยกัน

“เธอไปร้องเพลงคนเดียวเถอะ ฉันจะอยู่ดูอาการของอาจารย์ฉีก่อน”

ส่วนจินเซิงก็ยังหัวรั้นไม่ว่ายังไงก็จะอยู่กับอาจารย์ฉีให้ได้

จ้าวหยวนหยวนกระทืบเท้าทันทีด้วยความหงุดหงิด

“ตาบ้า! นี่ตายด้านจริงหรือแกล้งโง่! ตรงนี้ก็มีเหอจื่อดูแลอยู่แล้วไง! ไปร้องเพลงกับฉันได้แล้ว!”

“อ๊ะ…อ๊ะจริงด้วยสิเนอะ! ไปเถอะ ไปร้องเพลงกันดีกว่า”

จินเซิงเพิ่งจะเข้าใจ เขากับจ้าวหยวนหยวนรีบพากันออกไปร้องเพลงต่อทันที เพราะไม่อยากเป็นตัวกขค.ระหว่างเหอจื่อกับอาจารย์ฉี ก่อนออกไปเขายังหันมาขยิบตาส่งสัญญาณให้เห่อจื่อ เชิงขอโทษที่เข้าใจช้าไปหน่อย

“สงสัยหมอนี่มันโง่บริสุทธิ์จริงๆ”

เหอจื่อสบถกับตัวเองเสียงเบา ส่ายหัวให้อย่างช่วยไม่ได้

จ้าวหยวนหยวนหันกลับมายิ้มให้ว่า

“ใช่ ใช่ พวกเรานี่แหละโง่บริสุทธิ์ของจริง แต่ถ้าจะถามว่ายังมีผู้หญิงคนไหนบริสุทธิ์กว่านี้ คงหนีไม่พ้นพี่เหอคนนี้แล้ว! อุ๊บ! นี่ฉันเผลอเผาเพื่อนต่อหน้าอาจารย์ฉีว่าเธอยังบริสุทธิ์อยู่เหรอเนี่ย? ปากพล่อยจริงๆ ปากพล่อยจริงๆ หุหุ…จินเซิง เราไปร้องเพลงกันดีกว่า!”

เฝ้ามองทั้งสองที่จากออกไป เหอจื่อหันมาถามฉีเล่ยว่า

“อยากดื่มอะไรให้สดชื่นหน่อยไหม? แบบพวกน้ำผลไม้?”

“เบียร์”

“…”

ฉีเล่ยที่สังเกตเห็นอาการของอีกฝ่ายก็หัวเราะและให้เหตุผลไปว่า

“นี่ไม่รู้เหรอว่า หลังจากสร่างเมาสดๆร้อนๆคือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการดื่มเบียร์ เพราะมันจะให้ประโยชน์ต่อร่างกาย”

เหอจื่อพยักหน้าตอบ แต่พอหันไปมองรอบๆภายในห้องกลับเหลือแค่ไวน์แดงกับน้ำผลไม้เท่านั้น ดังนั้นเธอจึงรีบวิ่งออกไปเรียกบริกรสั่งเบียร์ให้ทันที

ฉีเล่ยนั่งเล่นอยู่บนโซฟา พลางหยิบเมล็ดทานตะวันขึ้นมาแทะเล่น ฟังลูกศิษย์สองคนนั้นร้องเพลงอย่างสนุกสนาน

พูดกันตามตรง จนถึงตอนนี้ นอกจากเหอจื่อที่ประเดิมเวทีร้องเพลงด้วยเสียงสุดดไพเราะในทีแรก คนถัดๆมาหลังจากนั้นไม่เหมือนเสียงผีร้องก็เสียงหมาป่าหอน อย่างไรก็ตามแต่ ท่ามกลางบรรยากาศสนุกสนานแบบนี้ ไม่มีใครเขาสนใจกันร้องว่าจะร้องดีหรือแย่ สุดท้ายเพื่อนๆโดยรอบต่างก็ปรบมือให้กำลังใจกันอยู่ดี

นี่แหละบรรยากาศกลิ่นอายของวัยรุ่น

แต่ทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงทุบประตูดังไม่หยุดจากด้านนอกห้อง สักพักหนึ่งก็คนถีบประตูพุ่งกันเข้ามา

ทั้งเสียงร้องเพลงและเสียงเชียร์ต่างหยุดลงทันใด ทุกคนหันควับมองไปที่ตัวประตูที่ถูกถีบจนเปิด

กลุ่มคนในชุดสูทสีดำตรงเข้ามาปิดกั้นบริเวณหน้าประตูราวกับไม่ให้ใครออกไปไหน นำโดยชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มากับชายหนุ่มหน้าเยิน เขาคนนั้นกวาดสายมองทั่วทุกมุมมองอย่างเย็นชา ราวกับกำลังมองหาเหยื่อ

เหอจื่อถูกบอดี้การ์ดคนหนึ่งบังคับจับตัวกลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับเบียร์สองขวดในมือของเธอด้วยท่าทีประหม่าอย่างมาก

คนพวกนี้ที่มาดูยังไงก็ไม่เป็นมิตร

ฉีเล่ยลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าไปประจันหน้ากับชายวัยกลางคนที่ดูเป็นแกนนำ และเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณเป็นใคร?”

ทว่าชายวัยกลางคนผู้นี้กลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย และหันไปพูดกับชายหนุ่มหน้าเยินที่อยู่ด้านหลังว่า

“หม่ารุ่ย มานี่ ออกมาชี้ว่าใครเป็นคนทำร้ายแก?”

หม่ารุ่ยเดินป้องหน้าตรงออกมา เขาชี้ไปที่ฉีเล่ยและเหอจื่อราวกับเด็กน้อยขี้แยกำลังฟ้องพ่อ พร้อมพูดว่า

“สองคนนี้แหละ”

สายตาอันเหยียบเย็นของชายวัยกลางคนเคลื่อนเข้าหาฉีเล่ยกับเหอจื่อ และกล่าวสั่งการขึ้นโดยน้ำเสียงปราศจากความรู้สึกอันใด

“ทำให้ผู้ชายเป็นง่อย ส่วนผู้หญิงทำให้เสียโฉม จัดการ!”

“ครับผม”

กลุ่มบอดี้การ์ดกล่าวรับคำสั่งโดยพร้อมเพรียง และตรงเข้ามาด้วยท่าทีดุร้าย

“ไอ้พวกเวร! ถ้ากล้าก็เข้ามาสิวะ!”

เป็นจินเซิงที่เลือดขึ้นหน้าเดือดดาลในทันใด เขาคว้าขวดเบียร์ข้างตัวและทุบจนแตกกระจายบนโต๊ะ กลายมาเป็นขวดปากฉลาดสุดแหลมคม จากนั้นก็ชี้ใส่พวกบอดี้การ์ดทุกคน กรนเสียงขู่ตะโกนดังลั่น

นักศึกษาชายคนอื่นๆต่างตื่นตัวกันในทันที รีบหยิบขวดเบียร์ประจำตัวขึ้นตีแตกบนโต๊ะเป็นปากฉลามอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน

“เปร๊ง! เปร๊ง! เปร๊ง!”

นักศึกษาชายทุกคนรีบก้าวหน้าออกมายืนขนาบข้างฉีเล่ยราวกับเหล่าองค์รักษ์ ชี้ปากขวดฉลามใส่อย่างไม่กลัวเกรงใดๆ

“ดี ดีมาก พวกวัยรุ่นเลือดร้อน ไม่รู้จักกลัวตาย”

ชายวัยกลางคนพูดจบก็หยิบบุหรี่มวลหนึ่งออกจากกระเป๋ามาคาบ พลางกระดิกนิ้วให้บอดี้การ์ดข้างตัวเดินมาจุดไฟให้

คีบบุหรี่ออกมาพ่นควันใส่ไปทีหนึ่ง กวาดมือชี้ทุกคนในห้องโดยใช้ก้นบุหรี่พร้อมกล่าวว่า

“ก่อหนี้ย่อมต้องชดใช้ นี่คือกฎแห่งความเท่าเทียม”

จินเซิงก้าวออกไปปิดกั้นบริเวณตรงหน้าฉีเล่ย ชี้ขวดใส่พวกบอดี้การ์ดกล่าวว่า

“ผมไม่สนว่าพวกคุณจะเป็นใคร แต่ถ้าอยากสัมผัสตัวอาจารย์ฉี ก็ข้ามศพพวกเราไปก่อน!”

“ถูกต้อง! มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกนะเว้ย!”

นักศึกษาชายอีกสองสามคนที่อยู่ด้านหลังตะโกนเสริมดังขึ้นมา

ในขณะนี้เอง สุ้มเสียงโวยวายของพวกเขาก็ดังลั่นจนเพื่อนห้องคาราโอเกะข้างๆได้ยิน พวกเขารีบแห่ออกมาจากประตูตรงเข้าปิดล้อมกลุ่มบอดี้การ์ดไว้อย่างรวดเร็ว

ดูจากจำนวนแล้ว พวกฉีเล่ยได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด

แต่ฉีเล่ยเองก็ทราบดี ถ้าพวกเขาเกิดเข้าปะทะกันจริงๆ กลับเป็นฝ่ายนักศึกษาที่เกิดความสูญเสียมากกว่าอย่างเลี่ยงไม่ได้

พิจารณาจากเครื่องแต่งกายของพวกนั้นแล้ว น่าจะเป็นบอดี้การ์ดมากฝีมือที่ถูกจ้างให้มาอารักขาคนใหญ่คนโต หรือจะพูดให้ถูกคือ คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นนักสู้มืออาชีพ

เส้นทางอาชีพของบอดี้การด์พวกนี้ ทั้งใช้กำลังและทะเลาะวิวาททุกวันจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ในขณะที่จินเซิงและคนอื่นๆเป็นแค่นักศึกษาที่ไม่เคยมีเรื่องนอกรั้วมหาวิทยาลัยมาก่อน บางคนไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้จริงสักครั้งในชีวิต

ระดับมันต่างกันเกินไป

ดังนั้นแล้ว กุญแจสำคัญของเหตุการณ์ในขณะนี้คือ จะเริ่มเปิดฉากการปะทะขึ้นจริงหรือไม่ ถ้ามีใครสักคนเป็นฝ่ายประเดิมเปิดฉากขึ้นมาจริง ต่อให้เป็นฝ่ายชนะ เรื่องมันใหญ่เกินกว่าที่ฉีเล่ยจะรับผิดชอบได้ไหวหากทางมหาวิทยาลัยรู้เรื่องเข้า

ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า ฉีเล่ยยกพวกบรรดาเหล่าลูกศิษย์ตัวเองไปชกต่อยกับคนอื่นจนเป็นเหตุทะเลาะวิวาทใหญ่โต แม้แต่หลี่ฮั่วเฉินเองก็ไม่สามารถคุ้มกะลาหัวเขาได้เช่นกัน

เหอจือค่อนข้างวิตกกังวลกับเหตุการณ์ในตอนนี้มาก ถึงแม้เธอจะเรียนเทควันโดและมวยสากลมาตั้งแต่เด็ก เก่งถึงขนาดเข้าท้าชิงมวยสากลและเมควันโดรุ่นจูเนียร์มาได้ แต่โดนอีกฝ่ายบุกเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว แถมยังมากันเป็นฝูงขนาดนี้ สองสามคนแรกเธอยังโค่นไหว แต่หลังจากนั้นก็ไม่รู้เป็นตายเช่นกัน

บอดี้การ์ดพวกนี้ไม่ค่อยมีรูปแบบการต่อสู้ที่หลากหลายนัก ส่วนใหญ่มักจะพึ่งพากำลังและประสบการณ์ที่มีมากกว่า ถ้าต่อสู้แบบตัวต่อตัว เหอจื่อเองก็มั่นใจว่า เธอเอาชนะได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก

ตั้งแต่เริ่มจวบจนตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายยังคงนิ่งครึมใส่กัน ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรใดๆ แม้จะถูกจินเซิงและบรรดานักศึกษาชายทั้งหลายเข้ายั่วยุ แต่ท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่ายยังคงดูเฉยชาไม่แปรเปลี่ยน

ชายวัยกลางคนปริปากกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าเบื่อชีวิตมากขนาดนั้น เดี๋ยวฉันจะสนองให้!”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset