บทที่ 8 อาจารย์ระดับปราณก่อกำเนิด ขาดแค่พลังวิญญาณอัสนี
หานเจวี๋ยไม่สนใจตัวหนังสือที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า รอให้เซียนซีเสวียนพูดกับเขา
เซียนซีเสวียนเอ่ยปากถาม “เจ้าเป็นแค่กระบวนท่าเดียวหรือ”
“ขอรับ”
หานเจวี๋ยเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา เขาไม่อยากโอ้อวดเกินตัวจนเป็นโทษแก่ตัวเอง
“วิชากระบี่นี้ไม่เลวเลย ต่อไปก็อยู่ที่ยอดเขาหยกวิเวกเถอะ” เซียนซีเสวียนพยักหน้าเล็กน้อย
ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะยกใหญ่ “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว”
เขาพยักหน้าให้หานเจวี๋ยแล้วจึงเดินจากไป
เซียนซีเสวียนจ้องมองหานเจวี๋ยพลางพูด “ยังไม่คุกเข่าคารวะอาจารย์อีก?”
หานเจวี๋ยได้สติคืนมา จากนั้นก็รีบคุกเข่าลง
“ศิษย์หานเจวี๋ยคารวะอาจารย์ ขออาจารย์อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
เซียนซีเสวียนอดหัวเราะไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่ชอบใจนักว่า “เจ้าเห็นอาจารย์เป็นจักรพรรดินีหรือไร”
หานเจวี๋ยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
เซียนซีเสวียนแอบพึมพำ “ศิษย์ผู้นี้ภาพลักษณ์และคุณลักษณะยอดเยี่ยม จิตใจก็ไม่เลวเลย”
นางควักป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลัง
“พาศิษย์น้องของเจ้าไปบันทึกสถานะที่สำนักฝ่ายใน ถือโอกาสจัดแจงถ้ำที่พักให้เขาด้วย”
“เจ้าค่ะ อาจารย์”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นอย่างว่าง่าย
หานเจวี๋ยลุกขึ้นมาคารวะตาม จากนั้นก็ตามฉางเยวี่ยเอ๋อร์ออกไป
พวกเขาเพิ่งเดินออกมาจากตำหนัก ประตูใหญ่ก็ปิดลงทันที
“ศิษย์น้องหาน ข้ามีนามว่าฉางเยวี่ยเอ๋อร์ ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่เถอะ เจ้าเพิ่งมาเป็นครั้งแรก มีอะไรที่ไม่เข้าใจก็สอบถามศิษย์พี่ได้ตลอดเวลา”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ยิ้มกล่าว และสบตากับหานเจวี๋ยเข้าพอดี นางไม่ได้รู้สึกเขินอายเลย กลับจ้องเขาตาไม่กะพริบด้วยซ้ำ
หานเจวี๋ยก้มหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ขอบคุณศิษย์พี่มาก ศิษย์น้องไม่กล้ารบกวน แต่หากศิษย์พี่ต้องการความช่วยเหลือ ก็กำชับศิษย์น้องได้ทุกเมื่อ”
“ฮิๆ เจ้านี่ช่างดีจริงๆ”
หน้าตาดีกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ทีเดียว
เป็นครั้งแรกที่ฉางเยวี่ยเอ๋อร์พบเจอบุรุษรูปงามเช่นนี้ อีกทั้งลักษณะท่าทางและอุปนิสัยของเขาก็ทำให้นางสบายใจมาก
นางลอบสาบานกับตนเองว่าจะต้องปกป้องศิษย์น้องหานไว้ ไม่ให้โดนผู้ใดรังแก
ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะไปตลอดทาง เมื่อมาถึงริมหน้าผาสูง ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็เรียกกระบี่บินออกมา ให้หานเจวี๋ยยืนอยู่ด้านหลังและกอดเอวของนางไว้
หานเจวี๋ยลังเล
“นอกจากเจ้าแล้ว ศิษย์น้องคนอื่นๆ ไม่มีโอกาสกอดเอวศิษย์พี่หรอกนะ” ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัด
แท้จริงแล้วนางพบเจอแค่ศิษย์น้องหานเจวี๋ยผู้นี้เท่านั้น
ทั่วทั้งยอดเขาหยกวิเวก มีแค่หานเจวี๋ยที่นับว่าเป็นศิษย์น้องของนางได้ หลายปีมานี้ยากที่จะมีศิษย์ใหม่เข้ามาในยอดเขาหยกวิเวก
นางพูดถึงขนาดนี้แล้ว หานเจวี๋ยจึงไม่อาจปฏิเสธได้
ต้องบอกเลยว่าเอวของศิษย์พี่หญิงบางจริงๆ
……
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์พาหานเจวี๋ยมาถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง “ด้านในคือถ้ำเทวาของเจ้า ถ้ำเทวาของศิษย์พี่อยู่ข้างๆ นี่เอง เวลาปกติเจ้าสามารถฝึกฝนได้อย่างสบายใจ”
ใกล้ขนาดนี้เลย?
หานเจวี๋ยมองตามทิศทางที่นางชี้ ประตูถ้ำเทวาของนางอยู่ห่างออกไปแค่ร้อยเมตรเท่านั้น
หานเจวี๋ยแอบทอดถอนใจ แต่แสดงสีหน้าขอบคุณฉางเยวี่ยเอ๋อร์
ทั้งสองคนกล่าวลากัน
หลังจากเข้าไปในถ้ำ หานเจวี๋ยเห็นว่าบนผนังถ้ำมีกลไกอยู่อันหนึ่ง ทันทีที่บิดมัน ประตูหินก็ปรากฏขึ้นตรงปากถ้ำ และปิดปากถ้ำเอาไว้ ทางเดินในถ้ำพลันสว่างขึ้นตามมา
เขาเดินไปจนสุดทางเดิน ตรงนั้นเป็นห้องขนาดราวๆ ร้อยตารางเมตร มีเตียง โต๊ะเก้าอี้ ทั้งยังมีตู้ไม้ ได้รับการปฏิบัติไม่เลวเลย
หานเจวี๋ยเดินไปนั่งบนเตียง และนำถุงเก็บของของสำนักฝ่ายในออกมา
ถุงเก็บของของสำนักฝ่ายในมีพื้นที่มากกว่าสำนักฝ่ายนอกสิบเท่า ด้านในสามารถใส่สิ่งของได้ร้อยลูกบาศก์เมตร
เขาได้รับชุดคลุมของยอดเขาหยกวิเวก กระบี่บินหนึ่งเล่ม เคล็ดวิชาขี่กระบี่ ป้ายคำสั่งยอดเขาหยกวิเวก หินวิญญาณชั้นกลางหนึ่งร้อยก้อน และโอสถรวมปราณหนึ่งขวดมา
หานเจวี๋ยรู้จากฉางเยวี่ยเอ๋อร์ว่าหินวิญญาณชั้นสูงหนึ่งก้อนเท่ากับหินวิญญาณชั้นกลางหนึ่งร้อยก้อน หินวิญญาณชั้นกลางหนึ่งก้อนเท่ากับหินวิญญาณชั้นต่ำหนึ่งร้อยก้อน
หินวิญญาณสามารถนำมาฝึกฝนและใช้เป็นเงินตราได้
เขารีบเรียกหินวิญญาณชั้นสูงหนึ่งพันก้อนที่เก็บไว้บนจอแสดงคุณสมบัติออกมา จากนั้นใส่ลงไปในถุงเก็บของ
หินวิญญาณจำนวนนี้เพียงพอจะทำให้หานเจวี๋ยกลายเป็นคนร่ำรวยมากบารมีแล้ว
สมกับเป็นดวงชะตาทายาทจักรพรรดิเซียน เปิดเกมก็ได้หินวิญญาณชั้นสูงมาหนึ่งพันก้อนแล้ว
หานเจวี๋ยเลื่อนหน้าจอแสดงคุณสมบัติ ตรวจสอบค่าความสัมพันธ์
[ฉางเยวี่ยเอ๋อร์: ระดับสร้างฐานขั้นสอง ศิษย์พี่ของท่าน ปฏิบัติกับท่านเหมือนน้องชาย ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]
[เซียนซีเสวียน: ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นสาม อาจารย์ของท่าน ชื่นชมอุปนิสัยของท่านมาก ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]
ปฏิบัติด้วยเหมือนน้องชาย?
หานเจวี๋ยพูดอะไรไม่ออก
ว่าแล้วเชียว ระดับความประทับใจไม่ได้หมายความว่าชอบ ต่อไปอย่าได้คิดมากไปเองอีก
แต่ว่าเขาตกใจกับตบะของเซียนซีเสวียนมาก
ไม่คิดว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิด
ผู้อาวุโสใหญ่สำนักฝ่ายนอกก็เพิ่งมีตบะแค่ระดับสร้างฐาน
ระดับหลอมปราณ สร้างฐาน รวมแก่นปราณ ปราณก่อกำเนิด คือระดับพลังที่เขารู้จักในตอนนี้
พูดอีกแบบก็คือ เซียนซีเสวียนเป็นผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาได้สัมผัสในขณะนี้
ไม่เลว ไม่เลว!
หานเจวี๋ยคิดอย่างชื่นมื่นดีใจ
เมื่อเขาเก็บของเสร็จเรียบร้อย ก็เริ่มเปิดอ่านเคล็ดวิชาขี่กระบี่
จะต้องเข้าใจวิชาขี่กระบี่ให้ได้ มิเช่นนั้นเวลาลงเขาจะต้องกอดเอวบางๆ ของศิษย์พี่อีก
พรสวรรค์มรรคกระบี่ระดับสุดยอด ทำให้เขาเข้าใจวิชาขี่กระบี่ได้ภายในครึ่งชั่วยาม
เขาหยดโลหิตลงบนกระบี่บินเพื่อตีตราเป็นนาย วิธีนี้มีบันทึกอยู่ในวิชาวัฏจักรหกวิถี
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็เดินออกจากถ้ำเทวา เหยียบขึ้นบนกระบี่บิน และเริ่มบินวนรอบยอดเขาหยกวิเวก เพื่อฝึกให้คุ้นชินกับวิชาขี่กระบี่
ภายในตำหนักหยกวิเวก
เซียนซีเสวียนพลันลืมตาขึ้นมา ดวงตาของนางวาบแววประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้าเด็กนี่ฝึกฝนวิชาขี่กระบี่เป็นครั้งแรกจริงหรือ”
บทสนทนาระหว่างฉางเยวี่ยเอ๋อร์กับหานเจวี๋ย นางเคยแอบฟังมาแล้ว
หรือว่าเขากำลังโกหก?
หากโกหกละก็ เหตุใดถึงต้องแสดงวิชาขี่กระบี่ของตนเองในตอนนี้
เซียนซีเสวียนคิดไม่ตก จึงตัดสินใจสังเกตดูอีกสักหน่อย
หลังจากหานเจวี๋ยบินไปหลายสิบรอบ ก็รีบกลับไปเริ่มฝึกฝนที่ถ้ำโดยเร็ว
เขาเริ่มฝึกฝนพลังวิญญาณอัคคี
[ท่านเป็นศิษย์สายในของสำนักหยกพิสุทธิ์ได้สำเร็จ ทั้งยังเริ่มฝึกฝนเป็นครั้งแรกหลังจากเข้าสำนักมา ท่านสามารถเลือกเส้นทางการพัฒนาได้ดังนี้]
[หนึ่ง สร้างชื่อเสียงบารมี นำพายอดเขาหยกวิเวกให้เป็นยอดเขาที่แข็งแกร่งที่สุด จะได้รับอาวุธเวทชั้นเลิศหนึ่งชิ้น แต่จะล่วงเกินเซียนซีเสวียน]
[สอง ฝึกฝนอย่างเงียบๆ ไร้ชื่อเสียงตัวตน จะได้รับการยอมรับจากเซียนซีเสวียน และได้รับเคล็ดวิชาท่าร่างหนึ่งวิชา]
หานเจวี๋ยเห็นเช่นนี้ เขาอดเผยสีหน้าขมขื่นไม่ได้
บ้าอะไรกันเนี่ย
นำพายอดเขาหยกวิเวกให้เป็นยอดเขาที่แข็งแกร่งที่สุด แต่กลับไปล่วงเกินเซียนซีเสวียน?
อาจารย์ท่านนี้ผิดปกติเป็นอย่างมาก
หรือจะเป็นสายลับของผู้บำเพ็ญสายมาร?
หานเจวี๋ยส่ายหน้าหัวเราะ ก่อนเลือกทางที่สองอย่างเงียบๆ
เขาไม่สนใจอาวุธเวทชั้นเลิศเด็ดขาด เพียงอยากฝึกฝนอย่างสบายใจเท่านั้น
……
ฝึกฝนคราวนี้ เวลาสามปีล่วงเลยไปในพริบตา
หานเจวี๋ยฝึกฝนรากวิญญาณอัคคีไปถึงระดับหลอมปราณขั้นเก้าสำเร็จ
ขาดก็เพียงแต่พลังวิญญาณอัสนีแล้ว
ทว่าเขาไม่สามารถจับพลังวิญญาณอัสนีบนยอดเขาหยกวิเวกได้
หานเจวี๋ยกลัดกลุ้มมาก จึงตัดสินใจไปพบอาจารย์ของตนเอง
เขารีบลุกขึ้นและออกไปจากถ้ำ
เขาสำแดงวิชาขี่กระบี่ บินไปทางประตูใหญ่ของตำหนักหยกวิเวกอย่างรวดเร็ว พอมาถึงก็คุกเข่าหน้าประตูใหญ่และเอ่ยปากว่า “อาจารย์ ศิษย์มีเรื่องอยากขอพบท่านขอรับ”
เสียงของเขาไม่ดังมาก เชื่อว่าเซียนซีเสวียนคงได้ยิน
ผ่านไปไม่นาน ประตูใหญ่ก็เปิดออก
หานเจวี๋ยเดินเข้าไปในตำหนักอย่างไม่รีบร้อน
เขาเดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าเซียนซีเสวียน กล่าวว่า “ศิษย์ฝึกฝนรากวิญญาณวายุกับรากวิญญาณอัคคีไปถึงระดับหลอมปราณขั้นเก้าแล้ว ขาดแค่รากวิญญาณอัสนีก็จะสร้างฐานได้ หวังว่าอาจารย์จะช่วยชี้แนะว่าที่ใดสามารถฝึกฝนพลังวิญญาณอัสนีได้บ้าง”
เซียนซีเสวียนลืมตาขึ้นมา ก่อนขมวดคิ้วพูด “เจ้าจะฝึกพลังวิญญาณสามสายหรือ”
‘ใช่เสียที่ไหน ข้าจะฝึกหกสายต่างหาก!’
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
หานเจวี๋ยตอบกลับอย่างนอบน้อม
เซียนซีเสวียนพูดเบาๆ ว่า “เส้นทางนี้ไม่ง่าย เคราะห์สวรรค์ที่เจ้าเผชิญก็จะรุนแรงกว่าคนอื่นๆ เจ้าฝึกพลังวิญญาณเพียงสายเดียวได้ รอจนสำเร็จระดับรวมแก่นปราณแล้วค่อยฝึกพลังวิญญาณอื่นก็ยังไม่สาย”
……………………………………….