บทที่ 44 งานประชุมแดนซียน ระดับเปลี่ยนวิญญาณสิบคน
“ช่างโชคร้ายเสียจริง เฮ้อ”
หานเจวี๋ยทอดถอนใจกล่าว เมื่อเซียนซีเสวียนยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดแล้ว นอกจากนี้เขาจะกล่าวอย่างไรได้อีก
เซียนซีเสวียนจ้องไปที่หานเจวี๋ย ถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่กวนกล่าวว่าเขาบังเอิญพบกับหวงจี๋เฮ่าที่ออกมาจากสำนักหยกพิสุทธิ์ ผืนป่ารอบๆ สำนักหยกพิสุทธิ์ถูกทำลายราบคาบ คาดว่าจะเป็นพลังปราณกระบี่บางชนิด หวงจี๋เฮ่าต้องการท้าประลองสำนักหยกพิสุทธิ์ของเรา แต่ถูกเจ้าโจมตีจนล่าถอยไปใช่หรือไม่”
หานเจวี๋ยพยักหน้าตอบ “ไม่ผิด”
เซียนซีเสวียนเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าหวงจี๋เฮ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็ยังพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของคนรุ่นหลังเช่นเจ้า”
หานเจวี๋ยเชิญเซียนซีเสวียนให้นั่งลงสนทนากัน
เซียนซีเสวียนนั่งลงบนม้านั่งด้านข้าง เอ่ยต่อว่า “ที่ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้ เพราะปรารถนาจะให้เจ้าช่วยปราบศิษย์พี่กวนให้ข้าหน่อย”
ปราบกวนโยวกัง?
หานเจวี๋ยมึนงง
“เจ้าสำนักอาจเก่งไม่เท่าศิษย์พี่กวน แต่สำหรับสำนักหยกพิสุทธิ์เขาก็ทุ่มสุดกำลัง เพื่อสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว เขายอมแม้กระทั่งเสียเวลาบำเพ็ญเพียร ยามนี้จะให้ขับไล่เขาออกจากตำแหน่งเจ้าสำนัก เขาคงรู้สึกเจ็บปวดเป็นแน่แท้ อีกทั้งศิษย์พี่ใหญ่ของข้าผู้นี้ทำไปเพื่อแก้แค้นเท่านั้น ไม่ได้คำนึงถึงสำนักอย่างแท้จริง รอให้อาการบาดเจ็บของเขาหายดี ข้าจะให้เขาท้าประลองกับเจ้า หากว่าสามารถเอาชนะเจ้าได้ก็จะให้ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก ว่าอย่างไร” เซียนซีเสวียนเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงและแววตาไร้การเปลี่ยนแปลงใดๆ
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างลังเล “จะว่าได้ก็ได้ แต่จะให้ดีการต่อสู้ครั้งนี้ควรดำเนินการอย่างเงียบๆ หากว่าแพร่งพรายไปทั่วสำนักหยกพิสุทธิ์ แน่นอนว่าย่อมแพร่กระจายไปทั่วแดนบำเพ็ญพรตด้วย ข้าไม่ต้องการเป็นที่จับตามอง มิเช่นนั้นจะนำไปสู่ปัญหาไม่รู้จบ คราวก่อนที่ช่วยสำนักหยกพิสุทธิ์จัดการกับลัทธิมารฟ้ามืดชื่อเสียงก็ดังกระฉ่อนแล้ว ที่หวงจี๋เฮ่ามาก็เพราะเหตุนี้”
“นั่นย่อมแน่นอน ข้าก็ต้องรักษาหน้าให้ศิษย์พี่กวนด้วยเช่นกัน”
หานเจวี๋ยพยักหน้า
เซียนซีเสวียนหันไปทางไก่คุกรัตติกาลที่อยู่ตรงมุมห้อง เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าถึงเลี้ยงไก่ ไก่ตัวนี้ดูไม่ธรรมดานัก”
ไก่คุกรัตติกาลเงยหน้าขึ้น แค่นเสียงกล่าว “ข้าเป็นหงส์ นายท่านบอกว่าไม่ช้าก็เร็วข้าจะกลายเป็นหงส์”
เซียนซีเสวียนหัวเราะออกมาน้อยๆ
แม้แต่ไก่ก็อยากกลายเป็นหงส์หรือ
“ข้าได้มันมาจากชาวนาของสำนักหยกพิสุทธิ์ ปกติการฝึกบำพ็ญค่อนข้างน่าเบื่อ มีมันเป็นเพื่อนก็ไม่เลวนัก” หานเจวี๋ยอธิบายยิ้มๆ
เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับที่มาของไก่คุกรัตติกาล
หากว่าเขาพูดไป ใครเล่าจะเชื่อ
ไก่กับหงส์นั้นแตกต่างกันมาก เสมือนงูกับมังกร
เซียนซีเสวียนหันกลับมามองหานเจวี๋ยอีกครั้ง กล่าวว่า “งานประชุมใหญ่แดนเซียนที่ร้อยปีจะมีหนึ่งครั้งใกล้เริ่มขึ้นแล้ว ข้ามีป้ายเชิญเข้าร่วมงานประชุมใหญ่แดนเซียน สามารถมอบให้กับเจ้าได้ งานประชุมใหญ่แดนเซียนเป็นงานใหญ่ที่หาได้ยาก ที่งานนั้นเจ้าจะได้ของวิเศษ โอสถ โอสถสวรรค์ หรือแม้แต่เคล็ดวิชาทุกอย่างที่เจ้าปรารถนา ขอเพียงเจ้ามีคุณสมบัติที่ทัดเทียม”
งานประชุมใหญ่แดนเซียน?
ฟังดูเจ๋งเป้งไปเลย คงจะครึกครื้นมากสินะ
หากว่าอยู่ในนิยายล่ะก็ คงเป็นงานใหญ่ที่ตัวเอกต้องแกล้งโง่ สร้างความเกลียดชังเพิ่มขึ้นง่ายๆ โดยไม่ตั้งใจ!
ไปไม่ได้!
หานเจวี๋ยปฏิเสธอ้อมๆ “ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่านอาจารย์ ข้าเพียงอยากตั้งใจฝึกฝน ด้วยคุณสมบัติของข้าแล้ว ยังไม่อยากออกไปเสี่ยงในตอนนี้”
เซียนซีเสวียนพยักหน้า
นางลุกขึ้นจากไป
หานเจวี๋ยลุกขึ้นตามไปส่ง
หลังจากเซียนซีเสวียนออกไปแล้ว หานเจวี๋ยก็กลับไปที่ตั่งไม้และเริ่มฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
‘งานประชุมใหญ่แดนเซียน…จิ๊ๆ รอข้าสำเร็จระดับมหายานก่อนเถอะ เมื่อนั้นข้าจะไปดูเสียหน่อย!’
หานเจวี๋ยขับเคลื่อนลมปราณพลางคิดในใจ
…
ณ สำนักกระบี่วิหคชาด
ในฐานะสำนักใหญ่สายหลักของราชวงศ์ต้าเยี่ยนแห่งแดนบำเพ็ญพรต ศิษย์สำนักกระบี่วิหคชาดมีเรือนหมื่น ส่วนใหญ่บำเพ็ญสายมรรคกระบี่ ผู้บำเพ็ญสายมรรคกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งราชวงศ์ต้าเยี่ยนล้วนมาจากสำนักกระบี่วิหคชาดทั้งสิ้น
ภายในตำหนักหลัก
หวงจี๋เฮ่านั่งอยู่บนเบาะ สีหน้าย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง
ที่นั่งลำดับแรกคือเจ้าสำนักกระบี่วิหคชาด นามว่าถังหาน
ถังหานที่ดูราวอายุสามสิบสี่สิบปี หน้าตานับว่าหล่อเหลาสง่างาม ดวงตาคมกริบภายใต้คิ้วคมคาย มีกระบี่ขนาบซ้ายและขวาข้างละหนึ่งเล่ม รัศมีองอาจแรงกล้ากระจายไปทั่วร่าง
“แม้แต่หนึ่งกระบี่ของเขาเจ้าก็รับไม่ไหวงั้นหรือ” ถังหานขมวดคิ้วเอ่ยถาม
หวงจี๋เฮ่ากัดฟันตอบ “ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่เป็นเช่นนั้นจริง พลังวิญญาณของเขามีอานุภาพร้ายกาจยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสกับพลังวิญญาณประเภทนี้ มันไม่ใช่รากวิญญาณพลังธาตุที่พบเห็นได้ทั่วไป และก็ไม่ใช่รากวิญญาณที่หายาก แต่ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี”
เมื่อนึกถึงภาพฉากที่เผชิญหน้ากับกระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจก่อนหน้านี้ เขาอดไม่ได้ที่จะหวาดผวาขึ้นมา
“นอกจากนี้…”
“นอกจากนี้อะไร”
“คนผู้นี้ยังมีหน้าตาหล่อเหลาเป็นที่สุด ในสำนักกระบี่วิหคชาดของเราไม่มีใครรูปงามเท่าเขาเลยสักคน”
“นี่สำคัญมากหรือ”
“เอาเถิด ก็ไม่สำคัญนักหรอก…”
หวงจี๋เฮ่ากล่าวพลางถอนหายใจ ไม่รู้เพราะสาเหตุใด น้ำเสียงของเขาถึงแฝงไปด้วยความเสียดาย
ถังหานขมวดคิ้ว
นึกไม่ถึงว่าสำนักหยกพิสุทธิ์จะมีคนเช่นนี้โผล่ออกมา!
ภายนอกหวงจี๋เฮ่าเป็นตัวแทนแสดงถึงพลังต่อสู้สูงสุดของสำนักกระบี่วิหคชาด!
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าหวงจี๋เฮ่า แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่ากันสักเท่าใด!
หวงจี๋เฮ่าพูดต่อ “ใช่แล้ว ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณมีการเคลื่อนไหวและยังคิดต่อกรกับสำนักหยกพิสุทธิ์อยู่ หากรักษาบาดแผลครั้งนี้หายดีแล้ว ข้าตั้งใจจะไปท้าประลองกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ”
ถังหานพยักหน้า เอ่ยว่า “แม้ว่าพันปีที่ผ่านมาลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจะดูเงียบๆ ไป แต่ก็อย่าได้ดูแคลน ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสสูงสุดสำนักหยกพิสุทธิ์มาหาข้า ปรารถนาให้สำนักสายหลักร่วมมือต่อสู้กับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ ข้าไม่ได้ตอบตกลง หากคนผู้นั้นไม่ตาย เป็นไปไม่ได้ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจะล่มสลาย”
“คนผู้นั้นคือใคร”
“เจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ เมื่อครั้งวัยเยาว์คนผู้นี้ก็ไม่ต่างจากเจ้า จิตใจฮึกเหิม เป็นเพราะเหตุบังเอิญ ถึงได้เข้าร่วมสายมาร และกลายเป็นเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ ข้าเคยได้ยินบรรพบุรุษกล่าวว่าในยุคสมัยของพวกเขา เจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแกร่งกล้าเป็นที่สุด ครั้งนี้เจ้าก็สบโอกาสลองทดสอบความแข็งแกร่งของเขาได้ แต่อย่าประมาทไป หากแพ้ขึ้นมา ให้รีบถอยโดยเร็ว”
“วางใจเถอะ แม้ข้าจะบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่ได้โง่”
“อืม”
……
นับตั้งแต่เซียนซีเสวียนจากไป เวลาเจ็ดปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา
ตบะของหานเจวี๋ยบรรลุถึงระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ด และเริ่มไต่สู่ขั้นที่แปดแล้ว!
นอกจากการฝึกบำเพ็ญ หานเจวี๋ยยังคงติดตามสถานการณ์ของคนอื่นจากค่าความสัมพันธ์และจดหมายแจ้งเตือนอยู่เสมอ
หลังจากหยางเทียนตงและโจวฝานถูกลัทธิอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ป้องพิรุณจับตัวไป ตบะกลับเลื่อนขั้น
หลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ถูกโจมตีจากลัทธิอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ป้องพิรุณ ดูเหมือนว่าจะยอมอ่อนข้อให้แล้ว
แต่ว่าฐานะของพวกเขาก็ไม่ได้กลายเป็นศิษย์ลัทธิอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ป้องพิรุณ หานเจวี๋ยเดาว่า พวกเขาเพียงแค่ตบตายอมศิโรราบให้
กลับเป็นหลี่ชิงจื่อที่มักจะถูกโจมตีจากลัทธิอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ป้องพิรุณอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส
เจ้าสำนักผู้นี้ช่างลำบากเสียจริง
ต้องวิ่งเต้นไปทั่วเพื่อบรรดาศิษย์ทั้งหลาย จนได้รับบาดเจ็บมาโดยตลอด เจ็บแล้วเจ็บอีกวนเวียนอยู่เช่นนี้
นอกจากนี้ กวนโยวกังก็ไม่เคยโผล่หน้ามาหาหานเจวี๋ยเลย
หานเจวี๋ยก็พอจะเข้าใจ
แม้แต่หวงจี๋เฮ่ายังเอาชนะไม่ได้ เจ้านี่จะกล้ามาท้าประลองกับเขาได้อย่างไร
สิ่งที่คุ้มค่าอย่างหนึ่งคือในระยะนี้ไก่คุกรัตติกาลเติบโตอย่างรวดเร็ว ความสามารถเทียบเท่าผู้บำเพ็ญระดับหลอมปราณขั้นแปด
ไม่ต้องกล่าวถึงไก่หนึ่งตัว หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเอง ผู้ที่สามารถทะลวงขั้นด้วยความเร็วเช่นนี้ก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
เมื่อสติปัญญายิ่งมากขึ้น ไก่คุกรัตติกาลก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นโลกภายนอกมากขึ้น
หานเจวี๋ยถึงกับต้องล้างสมองของมัน
ข้างนอกอันตรายมาก!
คนมากมายคิดอยากจะกินเจ้า!
เจ้าต้องแกร่งจนไร้ศัตรูถึงจะออกไปได้ มิเช่นนั้นำได้ตายอย่างไม่ต้องสงสัย นายท่านอย่างข้าก็ไม่กล้าออกไปเช่นกัน!
นานวันเข้าไก่คุกรัตติกาลก็ไม่กล้าคิดที่จะออกไปอีกแล้ว เพียงแค่อยากตั้งใจฝึกฝนเท่านั้น
วันนี้เอง
หลี่ชิงจื่อมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่อ่อนแรงของเขา สีหน้าของเขาก็ไม่สู้ดีนัก ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะได้รับบาดเจ็บหนักพอควร
หลี่ชิงจื่อกัดฟันเอ่ย “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว หุบเขาเฟิง (ต้นเมเปิล) ถูกลัทธิอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ป้องพิรุณทำลาย เป็นไปได้มากที่เป้าหมายต่อไปของลัทธิอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ป้องพิรุณจะเป็นสำนักหยกพิสุทธิ์ของเรา ก่อนที่เจ้าหุบเขาเฟิงจะสิ้นใจได้ส่งสารมาให้ข้า กล่าวว่าในลัทธิอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ป้องพิรุณมีระดับเปลี่ยนวิญญาณสิบคน มากพอที่จะกวาดล้างทั้งแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนได้!”
เมื่อหานเจวี๋ยได้ยินเช่นนั้นจึงถามขึ้น “เช่นนั้นยังไม่รีบหนีอีกหรือ”
หลี่ชิงจื่อตะลึงงัน
……………………………………………………..