ส่วนความแข็งแกร่งในระดับเดียวกัน แต่ละฝ่ายนั้นจะมีจุดแข็งของตัวเอง ผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกวิญญาณนั้นมีข้อดีและข้อด้อยของตัวเอง ส่วนผู้ฝึกตนควบคู่นั้น ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น ไม่สามารถเป็นไปได้
ในหมู่ของผู้ฝึกยุทธ์ ยังสามารถแบ่งออกได้เป็นห้าธาตุ คือ ธาตุไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม ส่วนวิชายุทธ์ก็แบ่งออกเป็นธาตุไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลมเช่นกัน
เมื่อหลู่เส่าโหย่วได้เข้าใจอย่างละเอียดแล้ว ก็ทำให้เขารู้ว่าทักษะวิญญาณหยินหยางที่ตัวเองฝึกฝนนั้นทำให้ตัวเขาสามารถเป็นผู้ฝึกยุทธ์สายครอบคลุมได้ หากถามว่าอะไรคือผู้ฝึกยุทธ์สายครอบคลุม คำตอบก็คือเขาสามารถฝึกฝนธาตุไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลมได้ทั้งห้าธาตุ
เมื่อได้รู้ทั้งหมดนี้แล้ว หลู่เส่าโหย่วก็ประหลาดใจไม่น้อย ความรู้เกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มากขึ้น ทำให้เขารู้ว่า ผู้ฝึกยุทธ์ปกตินั้น เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ธาตุเดียว หากสามารถฝึกได้สองธาตุ ก็เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ และหากสามารถฝึกได้สามธาตุ ก็มีแต่ยอดอัจฉริยะในอัจฉริยะอีกที
ในทวีปหลิงหวู่ ผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุนั้นหายากเหมือนขนฟินิกซ์ แต่ก็ยังพอหาได้อยู่บ้างสักคน แต่หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์สามธาตุนั้น เหมือนว่าจะไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน
แต่ตัวเขานั้นเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์สายครอบคลุม เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลู่เส่าโหย่วก็อยากจะหัวเราะขึ้นมา ลุงหนานเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ ทักษะวิญญาณหยินหยางช่างไร้เทียมทานอย่างแท้จริง เขาสามารถกลืนกินแก่นอสูรและแก่นวิญญาณหรือผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกวิญญาณโดยตรงเพื่อทะลวงระดับได้ และเขายังเป็นผู้ฝึกยุทธ์สายครอบคลุมอีก ทักษะวิญญาณหยินหยางนี้ ถึงแม้จะผลาญเงินไปมากหน่อย แต่เมื่อคำนวณข้อดีเปรียบกับข้อด้อยเหล่านั้น ก็สามารถมองข้ามข้อด้อยพวกนี้ไปได้เลย
และในช่วงเวลานี้ หลู่เส่าโหย่วก็ได้คิดหาวิธีจับสัตว์เล็กๆ จำพวกหนูมาให้งูน้อยบ่อยๆ เวลาที่เจ้างูน้อยหิวขึ้นมา มันจะปีนออกมาจากแขนเสื้อของเขา ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นเหมือนมีสายสัมพันธ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้อยู่
ในเวลาเดียวกัน หลู่เส่าโหย่วก็ไม่ลืมที่จะดูดซับแก่นวิญญาณทั้งสอง กลางดึกในวันที่แปด ขณะที่เขานั่งขัดสมาธิ ก็มีหมอกจางๆ ล้อมรอบตัวเขา และมีประกายแสงวาบผ่าน โดยไม่รู้ตัว รอบตัวของเขาก็มีสนามพลังปราณที่ไม่ถูกควบคุมล้อมรอบเอาไว้
ลุงหนานที่กำลังมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเอาแต่พยักหน้าไม่หยุด ความยินดีปรากฏขึ้นในดวงตา
“ฮู่ว….”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่หมอกรอบตัวของหลู่เส่าโหย่วก็ถูกดูดซับผ่านรูขุมขนไปทั้งหมดแล้ว พร้อมกันนั้นเขาก็พ่นอากาศที่ขุ่นมัวออกมา
“ลุงหนาน ข้าได้ดูดซับหมดแล้ว ทำไมข้ารู้สึกว่าข้าฝึกวิญญาณถึงระดับสาวกชั้นเก้าขั้นสูงสุดแล้ว แต่ระดับของผู้ฝึกยุทธ์กลับยังเป็นระดับสาวกชั้นหนึ่งอยู่ล่ะ?” หลู่เส่าโหย่วลืมตาขึ้นมาและถามลุงหนานในทันที
“เป็นเรื่องปกติ เพราะสิ่งที่เจ้าได้มานั้นเป็นแก่นวิญญาณ จึงทำได้เพียงเพิ่มพลังวิญญาณของเจ้าเท่านั้น ส่วนพลังลมปราณ การที่ทำให้เจ้าทะลวงระดับหนึ่งมาได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว” ลุงหนานกล่าว
“แล้วตอนนี้ข้าควรทำอย่างไร”
“นี่ก็เป็นข้อด้อยของทักษะวิญญาณหยินหยาง ตอนนี้เจ้าทำได้เพียงหาแก่นอสูรมากลืนกิน หากใช้แก่นวิญญาณมีแต่จะยิ่งยกระดับจิตวิญญาณของเจ้า ถ้าเจ้าอยากจะทะลวงระดับ เจ้าต้องรอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ถึงระดับสาวกชั้นเก้าขั้นสูงสุดเสียก่อน ข้าเคยบอกแล้วว่านอกเสียจากจะทะลวงระดับพร้อมกัน ในตอนที่ระดับฝึกยุทธ์ยังตามไม่ทันนั้น ถ้าเจ้ายังกลืนกินแก่นวิญญาณเพื่อเพิ่มพลังจิตวิญญาณอีก ก็มีโอกาสที่ชีพจรเจ้าจะพลิกกลับแล้วตัวระเบิดตาย” ลุงหนานเตือนเขาอย่างจริงจัง
หลู่เส่าโหย่วได้แต่ถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่าตัวเขามีแต่จะต้องเพิ่มระดับการฝึกยุทธ์แล้ว แก่นอสูรอย่างนั้นหรือ แก่นอสูรหนึ่งลูกนั้นแพงเกินไป ตัวเขาในตอนนี้ตีให้ตายก็ซื้อไม่ไหว
“พรุ่งนี้เจ้าไปซื้อวัตถุดิบที่อยู่ในนี้มา คืนพรุ่งนี้ข้าจะสอนเจ้ากลั่นหลอมเม็ดยา พร้อมทั้งช่วยเจ้าเพิ่มพลังปราณหน่อย” ลุงหนานกล่าวพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้เขา ในกระดาษใบนั้นมีวัตถุดิบถูกเขียนเอาไว้อยู่สิบกว่าอย่าง เหมือนว่ามันจะเป็นชื่อสมุนไพร
“ชื้อวัตถุดิบ” หลู่เส่าโหย่วตรวจดูรายการวัตถุดิบพร้อมกล่าวถามขึ้น “ลุงหนาน สิ่งนี้ต้องใช้เงินมากแค่ไหน”
“ของพวกนี้เป็นสินค้าราคาถูก กลั่นเม็ดยาได้ขวดเดียวเท่านั้น น่าจะใช้เงินประมาณยี่สิบเหรียญทอง” ลุงหนานกล่าว
“เงินยี่สิบเหรียญทอง” หลู่เส่าโหย่วสูดหายใจด้วยความหนาวเหน็บ เมื่อเขามาถึงทวีปหลิงหวู่แห่งนี้ เขาก็ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของเงินมานานแล้ว ยี่สิบเหรียญทองนั้นหมายถึงอะไร คนรับใช้ระดับต่ำในตระกูลหลู่นั้น หนึ่งปีได้เงินเพียงครึ่งเหรียญทองเท่านั้น ส่วนค่าแรงของคนรับใช้ระดับสูง ก็ได้เพียงแค่หนึ่งเหรียญทอง
ยี่สิบเหรียญทองก็เท่ากับค่าแรงของคนรับใช้สี่สิบคนในหนึ่งปี ในขณะเดียวกัน ยี่สิบเหรียญทองในบ้านของคนธรรมดานั้น สามารถทำให้คนธรรมดาหาเมียได้ถึงยี่สิบคน
“ลุงหนาน เงินยี่สิบเหรียญทอง ท่านน่าจะมี ท่านให้ข้ายืมก่อนได้หรือไม่” หลู่เส่าโหย่วกล่าวด้วยใบหน้าขมขื่น เงินมากถึงยี่สิบเหรียญทอง เขาให้ตอนนี้ไม่มีสักเหรียญ แค่ครึ่งเหรียญก็ยังไม่มี
“เจ้าคนไร้ประโยชน์ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะขโมยหรือจะแย่งมา หากคืนพรุ่งนี้เจ้าหาวัตถุดิบมาไม่ได้ ในอนาคต ข้าก็ขี้เกียจจะสอนเจ้าแล้ว” ลุงหนานถลึงตาใส่หลู่เส่าโหย่ว “วันนี้พอแค่นี้ก่อน เจ้ากลับไปได้แล้ว”
หลู่เส่าโหย่วที่มีท่าทางหดหู่ได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจกลับไป ไม่น่าแปลกใจที่คนเขาว่ากันว่าเงินหนึ่งสลึงกลับสามารถล้มวีรบุรุษ* ตัวเขาในตอนนี้ต้องการเงินยี่สิบเหรียญทอง ต่อให้ไปแย่งหรือขโมยมาก็คงรวบรวมได้ไม่ครบ (*เป็นคนมีความสามารถแต่ไปต่อไม่ได้เพราะสะดุดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ)
หลังกลับมาถึงห้องได้ไม่นาน ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ช่วงนี้หลู่เส่าโหย่วไม่ได้นอนเลย แต่เนื่องจากเขาได้ดูดซับแก่นวิญญาณ จึงทำให้เขามีจิตใจปลอดโปร่งในทุกวัน
“ป้าสาม ท่านอยู่หรือไม่?” ที่ด้านนอกลานบ้านนั้น มีเสียงที่ไพเราะเสียงหนึ่งกล่าวถามขึ้น
“หวู๋ซวงหรือ ทำไมเจ้าถึงตื่นเช้าขนาดนี้ เข้ามาก่อน ข้างนอกอากาศหนาว” เสียงของลั่วหลานซือดังมาจากด้านในห้องรับแขก
“ไม่หนาวหรอก ข้าเป็นผู้ฝึกตนจึงไม่รู้สึกหนาว ป้าสาม นี่เป็นเสื้อคลุมที่ข้าซื้อมาให้ ฤดูหนาวอากาศเย็น ท่านรีบใส่เถอะ ลองดูว่าพอดีตัวหรือไม่” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“ต้องให้เจ้าเสียเงินแล้ว เสื้อนี่แพงมาก เจ้าเอาของมาให้ทุกครั้งเลย เด็กน้อย”
‘หลู่หวู๋ซวง นางทำทำไมกัน?’ หลู่เส่าโหย่วคิดในใจ
“เส่าโหย่วล่ะ ยังไม่ตื่นอย่างนั้นหรือ” หลู่หวู๋ซวงถามขึ้น
“พี่หวู๋ซวง อรุณสวัสดิ์” หลู่เส่าโหย่วกล่าวพร้อมผลักประตูออกมา เขาเห็นเพียงหลู่หวู๋ซวงที่สวมใส่ชุดสีแดง และปล่อยผมที่ดำราวกับหมึกไว้ข้างหลัง เหลือผมตรงขมับเล็กน้อย นางมีความสูงส่งและหรูหราที่มองไม่เห็น ทำให้คนที่มองอยากจะเข้าใกล้มากขึ้นอีก
“เส่าโหย่ว ข้าซื้อชุดคลุมยาวให้เจ้า เจ้าลองสวมดูว่าพอดีตัวหรือไม่” เมื่อเห็นหลู่เส่าโหย่ว หลู่หวู๋ซวงก็สังเกตตัวเขาอย่างตั้งใจมากกว่าปกติ
“ขอบคุณมาก พี่หวู๋ซวง” หลู่เส่าโหย่วรับเสื้อคลุมไป เสื้อคลุมยางสีฟ้า น่าจะทำมาจากขนสัตว์สักชนิด ดูนิ่มไม่น้อย แถมยังอุ่นดีด้วย ดูท่าว่าจะมีราคาแพงมาก
“ไม่ต้องขอบคุณ ข้าเป็นพี่เจ้า การดูแลเจ้าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” หลู่หวู๋ซวงยิ้มเบาๆ เผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ บนแก้มทั้งสอง
เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง หลู่เส่าโหย่วก็รู้สึกจิตใจสั่นไหว นางช่างสวยจริงๆ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง
“เอ่อ พอดีมาก” หลังจากที่หลู่เส่าโหย่วใส่เสื้อคลุม มันช่างพอดีกับตัวเขายิ่งนัก สวมแล้วรู้สึกสบาย ทำให้ตัวเขานึกขึ้นได้ว่า ในชาติที่แล้ว นอกจากคนที่บ้านเด็กกำพร้า ก็มีหลู่หวู๋ซวงที่ซื้อเสื้อผ้าให้เขาเป็นคนแรก แถมนางยังเป็นหญิงสาวอีกด้วย
“พอดีก็ดีแล้ว ข้าเอาอาหารเช้ามาด้วย มากินอาหารเช้าด้วยกันเถอะ” นางยกตระตร้าอาหารในมือขึ้น มีกลิ่นหอมลอยออกมา ด้านในต้องเป็นของอร่อยเป็นแน่
“หวู๋ซวง เมื่อครู่ป้ากินไปแล้ว วันนี้ที่ห้องซักผ้ามีเรื่องให้ทำมากมาย เจ้ากินกับเส่าโหย่วเถอะ ป้าไปทำงานก่อน” ลั่วหลานซือกล่าว
“ป้าสาม ท่านลำบากแล้ว ข้าจะหาทาง ให้ตาเฒ่า…” หลู่หวู๋ซวงกล่าวเสียงเบา ทำได้แต่เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความช่วยไม่ได้ออกมา “นั่นเป็นคำสั่งของนายหญิงใหญ่ของท่านลุงสาม ถึงแม้ข้าจะมีสถานะไม่ต่ำในตระกูล แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
“เด็กโง่ ข้าอยู่แบบนี้ก็สบายดี เดิมทีข้าก็เป็นแค่สาวใช้ ต้องใช้ชีวิตอย่างคนรับใช้อยู่แล้ว” ลั่วหลานซือกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ แล้วเดินออกไปจากลานบ้าน
หลู่เส่าโหย่วที่เห็นทุกอย่างรู้สึกถึงความไม่สบายใจที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ เขาพึมพำออกมาว่า “ท่านแม่ ท่านทนรับความขมขื่นอีกไม่นาน อีกไม่นาน ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านต้องทนทุกข์อีกต่อไป”
“เส่าโหย่ว พวกเรามากินข้าวเช้ากันเถอะ” หลู่หวู๋ซวงกล่าวเสียงเบา พร้อมกับเปิดตระกร้าอาหารแล้วนำขนมและอาหารออกมาวางบนโต๊ะ