ฮวาหรงและจอมยุทธ์ทั้งสามล้อมรอบสิ่งมีชีวิตลึกลับไว้ทั้งสี่ทิศทาง ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบเลย
สิ่งมีชีวิตลึกลับทั้งแปลกประหลาดและทรงพลังยิ่งนัก มันมักจะหายตัวไปอย่างกะทันหันและปรากฏตัวขึ้นมาข้างหลังพวกเขาเพื่อลอบโจมตี ส่งผลให้คนเหล่านั้นป้องกันตัวเองได้ยาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากติดอยู่ในสภาวะชะงักงันนานหนึ่งก้านธูป ทั้งสี่ก็ตกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างชัดเจนและสองคนในนั้นก็ได้รับบาดเจ็บในระดับหนึ่งแล้ว
“ทุกคนอดทนรอไว้ ข้าส่งสัญญาณแจ้งเหตุไปแล้วและทุกคนจะมาที่นี่ในไม่ช้า ด้วยการร่วมมือกันของพวกเราทั้งหมด ข้าเชื่อว่าเราจะสังหารสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้ได้สำเร็จอย่างแน่นอน !”
“พรวดดด !”
ตัวแทนจากนิกายเมฆาล่องลอยกล่าวขึ้นมาก่อนถูกฝ่ามือของสิ่งมีชีวิตลึกลับฟาดเข้าอย่างจังจนกระเด็นล้มลงกระแทกพื้นและกระอักเลือดสีดำออกมา
“วันนั้นเจ้าทำร้ายข้าอย่างสาหัสและวันนี้ข้าจะต้องเอาคืนอย่างสาสม ! พวกเราสามสำนักและเก้านิกายที่รวมตัวกันมิใช่เป้าหมายที่เจ้าจะรังแกได้ง่าย ๆ !”
กระบี่เล่มยาวปรากฏในมือของฮวาหรงและกระบวนท่าที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายามากกว่าแปดในสิบส่วนก็ตรงเข้าโจมตีสิ่งมีชีวิตลึกลับอย่างรวดเร็ว เวลานี้แววตาของนางแสดงถึงจิตสังหารอย่างชัดเจน
ตูมมม !
เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาและหลุมลึกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในจุดที่สิ่งมีชีวิตลึกลับยืนอยู่ก่อนหน้านี้โดยที่ภูเขาทั้งลูกก็สั่นสะเทือนจนรู้สึกได้
น่าเสียดายที่สิ่งมีชีวิตลึกลับไม่ได้อยู่ในหลุมใหญ่ดังกล่าวและพลังมายาเกือบทั้งร่างของฮวาหรงไม่สามารถโจมตีถึงตัวมันได้
“ตลอดเวลานับพันปีที่ผ่านมา สามสำนักและเก้านิกายของดินแดนอ่อนแอจนถึงขั้นนี้แล้วรึ…”
น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นและร่างหนึ่งปรากฏกายด้านหลังฮวาหรง ทันใดนั้น กรงเล็บแหลมคมก็ปรากฏออกมาจากเสื้อคลุมสีดำและตะปบเข้าไปที่บริเวณหน้าอกของฮวาหรง
โครมม !
อย่างไรก็ตาม กรงเล็บนั้นก็ถูกป้องกันไว้โดยกระบี่เล่มยาวก่อนถูกปัดกระเด็นออกไป ด้านหลังของฮวาหรงในตอนนี้คือร่างของฉินอวี้โม่ที่ค่อย ๆ เผยตัวออกมาและเห็นได้ชัดว่านางช่วยขวางกั้นการโจมตีให้กับฮวาหรง
“แม่สาวน้อย เป็นเจ้านี่เอง !”
สิ่งมีชีวิตลึกลับจดจำฉินอวี้โม่ได้ทันทีและถอยหลังกลับไประยะหนึ่งขณะมองนางด้วยแววตาเจือความหวาดหวั่นเล็ก ๆ
เพลิงทรงพลังที่ห้อมล้อมร่างของฉินอวี้โม่ทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อยและหวาดหวั่นในใจ มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีเปลวเพลิงใดที่จะส่งผลกระทบต่อเขตแดนของมันได้
“ใช่ เป็นข้าเอง”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบเบา ๆ แววตาของนางแสดงถึงความรู้สึกที่ล้ำลึกบางอย่างขณะมองสิ่งมีชีวิตลึกลับด้วยความหวั่นใจ พลังของคู่ต่อสู้ตรงหน้าแปลกประหลาดจนเกินไปและทำให้นางอดกังวลไม่ได้ แม้แต่ร่างอวตารของจอมยุทธ์ปีศาจที่ประจันหน้ากันก่อนหน้านี้ก็ไม่สามารถทำให้นางรู้สึกเช่นนี้ได้เลย แท้จริงแล้วสิ่งมีชีวิตลึกลับนี้คือตัวอะไรกันแน่ ?
“มันคืออสูรร้ายบรรพกาลและเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ของจอมยุทธ์ปีศาจ…มังกรกระดูกดำ”
จู่ ๆ เสียงของซิวก็ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่และเป็นน้ำเสียงที่แสดงถึงความจริงจังอย่างที่แทบไม่เคยเกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้มันไม่มั่นใจนัก ทว่าตอนนี้เมื่อได้เห็นอย่างชัดเจน มันก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาก สิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีพลังประหลาดตรงหน้าคือมังกรกระดูกดำในตำนาน
มังกรกระดูกดำมิใช่อสูรสายเลือดมังกร ทว่าหลังจากมังกรดำที่ทรงพลังล้มตายไป มันได้ดูดซับพลังแห่งความตายจากรอบบริเวณนั้นและค่อย ๆ ก่อตัวเป็นร่างใหม่และจิตวิญญาณใหม่ กล่าวได้ว่ามันเป็นอสูรร้ายที่เกิดจากการกลายพันธุ์
มังกรกระดูกดำคือสิ่งมีชีวิตประเภทพิเศษและบารมีมังกรของซิวไม่สามารถส่งผลกระทบต่อมันได้มากนัก
แรกเริ่มเดิมที มังกรกระดูกดำถือเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ของจอมยุทธ์ปีศาจ ทว่าในสงครามกว่าพันปีก่อน มังกรกระดูกดำก็ตกอยู่ภายใต้วงล้อมของเผ่าพันธุ์มนุษย์และไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย ไม่คิดเลยว่ามันจะปรากฏตัวที่ภูเขาจันทราในตอนนี้
ก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจแผ่ออกมาจากสิ่งมีชีวิตลึกลับตรงหน้า ทว่านั่นก็เป็นเพราะพลังที่ทั้งสองฝึกฝนบ่มเพาะมาไม่แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่พลังของมังกรกระดูกดำบริสุทธิ์และแกร่งกล้ามากกว่า
“แม่สาวน้อย ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับเพลิงรอบตัวเจ้ามาก เรียกอสูรพันธสัญญาของเจ้าออกมาจะดีกว่า หากปล่อยให้ข้าได้กลืนกินมัน ข้าผู้นี้ก็อาจจะเมตตาปล่อยพวกเจ้าทั้งหมดไป”
ซิวสามารถระบุตัวตนที่แท้จริงของมังกรกระดูกดำได้และมังกรกระดูกดำเองก็รับรู้ถึงตัวตนของซิวได้เช่นกัน แม้จะยังไม่มั่นใจนัก ทว่ามันก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้แล้ว หากกลืนกินซิวได้สำเร็จ พลังความแข็งแกร่งของมังกรกระดูกดำจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อถึงตอนนั้น มันจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานในทั่วทั้งดินแดนมหาเทพ
“นายหญิง ตอนนี้ข้ายังเอาชนะมันไม่ได้ ท่านต้องทำให้มันสูญเสียพลังไปส่วนหนึ่งก่อนและข้าจะหาทางลอบโจมตีมันอย่างฉับพลัน มังกรกระดูกดำนี้เป็นตัวตนที่หยิ่งผยองมาก ทว่าเป็นเพราะสัญญาบางอย่างที่ทำให้มันตกกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ของจอมยุทธ์ปีศาจไป สาเหตุที่มันซ่อนตัวอยู่ในภูเขาจันทราเช่นนี้ก็คงจะเป็นเพราะว่ามันไม่ต้องการที่จะมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับขุมกำลังนั้นอีก เพราะฉะนั้นจึงมีโอกาสน้อยมากที่จอมยุทธ์ปีศาจจะใช้งานมันเพื่อต่อกรกับจอมยุทธ์ของดินแดน”
ซิวกล่าวเตือนฉินอวี้โม่เนื่องจากตระหนักดีว่าความแข็งแกร่งของตนในตอนนี้ยังไม่มากพอที่จะเอาชนะมังกรกระดูกดำได้อย่างซึ่ง ๆ หน้า
ถึงอย่างไรมังกรกระดูกดำก็เพียงคาดเดาออกมาและยังไม่มั่นใจนัก มันจึงสามารถเฝ้ารอโอกาสที่เหมาะสมอยู่ภายในมิติเชื่อมอสูรได้
เมื่อใดที่มังกรกระดูกดำสูญเสียพลังไปส่วนหนึ่งและเผยให้เห็นช่องโหว่ เมื่อถึงตอนนั้น ซิวก็จะปลดปล่อยการโจมตีอย่างฉับพลันออกไปเพื่อทำให้มันบาดเจ็บอย่างหนักซึ่งจะช่วยให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มีโอกาสชนะมากยิ่งขึ้น
“เงามืดนั่นก็คงจะเป็นลิ่วล้อของมังกรกระดูกดำและเป็นผีดิบประเภทหนึ่ง ความแข็งแกร่งของมันถือว่าไม่อ่อนแอนัก ทว่ามันก็ไม่ถือเป็นภัยคุกคามสำหรับท่าน เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องของมัน”
ซิวกล่าวเสริมเล็กน้อยเพื่อยืนยันว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับมังกรกระดูกดำนี้ได้โดยที่ไร้กังวล
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเริ่มลงมือปล่อยการโจมตีเข้าใส่มังกรกระดูกดำเป็นคนแรก ทว่านางก็ไม่มีความคิดที่จะบอกผู้ใดเกี่ยวกับตัวตนของซิว
“ทุก ๆ ท่าน เจ้านี่กลัวพลังธาตุไฟเป็นที่สุด หากผู้ใดมีพลังมายาที่เป็นคุณสมบัติธาตุไฟอยู่ละก็ จงใช้พลังนั้นเพื่อโจมตีมันอย่างสุดกำลัง”
มังกรกระดูกดำหวาดกลัวต่อพลังธาตุไฟพอสมควร ต่อให้เป็นเพียงเพลิงธรรมดาและมิใช่เพลิงแห่งชีวิตของซิว มันก็จะหวาดหวั่นไม่มากก็น้อย
ในบรรดาจอมยุทธ์คนอื่น ๆ แน่นอนว่ามีผู้ที่ฝึกฝนพลังธาตุไฟอยู่ด้วยและพวกเขาจะเป็นภัยคุกคามต่อมังกรกระดูกดำในระดับหนึ่ง
ในเวลานี้ หอกเล่มยาวที่ก่อตัวจากเพลิงทรงพลังของซิวก็ปรากฏขึ้นในมือของฉินอวี้โม่และจ้วงแทงตรงเข้าไปที่มังกรกระดูกดำอย่างรวดเร็ว
มังกรกระดูกดำเองก็ไม่กล้าประมาทเช่นกันและเกราะป้องกันที่เกิดจากโครงกระดูกปรากฏตรงหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อขวางกั้นการโจมตีของฉินอวี้โม่ไว้
ฮวาหรงและคนอื่น ๆ ก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนตั้งสติขึ้นมาได้และโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วเช่นกันโดยใช้กระบวนท่าที่มีคุณสมบัติเป็นธาตุไฟทั้งหมด
“แม่สาวน้อย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพลังธาตุไฟจะเป็นอันตรายต่อข้าผู้นี้ ? อสูรพันธสัญญาของเจ้าคือเจ้าอสูรที่น่ารำคาญนั่นจริง ๆ สินะ !”
มังกรกระดูกดำโบกมือเล็กน้อยและการโจมตีของทุกคนก็แหลกสลายไปทันทีโดยที่ไม่สามารถทำให้มันบาดเจ็บได้เลย
“ถ้าใช่แล้วอย่างไร หากมิใช่แล้วอย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่ก็กล่าวตอบอย่างเย็นชาและปลดปล่อยพลังออกไปอย่างเต็มพิกัด ในเวลานี้นางยังมีโอกาสที่จะปราบปรามมังกรกระดูกดำได้
ทุกคนไม่ลังเลอีกต่อไปและใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตนด้วยหวังว่าจะทำให้มังกรกระดูกดำบาดเจ็บได้
น่าเสียดายที่มังกรกระดูกดำแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้ การโจมตีของจอมยุทธ์เหล่านั้นไม่มีผลอะไรกับมันแม้แต่น้อยและไม่กระทบลงบนตัวของเป้าหมายด้วยซ้ำ มีเพียงฉินอวี้โม่เท่านั้นที่พอจะเป็นภัยคุกคามต่อมังกรกระดูกดำได้บ้าง เพราะเหตุนี้ มันจึงจดจ่ออยู่ที่ฉินอวี้โม่เกือบตลอดเวลาและพยายามโจมตีนางอย่างไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้ฉินอวี้โม่ตกอยู่ในสภาวะที่ตึงมือทีเดียว
“พวกท่านไม่ต้องห่วงข้า โจมตีต่อไปเถอะ หากพวกท่านทำร้ายมันได้สำเร็จ ข้าก็มีวิธีที่จะทำให้มันบาดเจ็บหนักได้”
เมื่อเห็นความกังวลในแววตาของหวังเยว่และเหลยเจิ้น ฉินอวี้โม่จึงกล่าวออกไปโดยที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว
ทั้งสองพยักศีรษะตอบรับและการโจมตีก็เริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้นขณะกระหน่ำโจมตีตรงเข้าใส่มังกรกระดูกดำอย่างไม่ยั้งมือ
“เจ้าพวกเดรัจฉานที่น่ารังเกียจ !”
น้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นและพลังแห่งความตายรุนแรงก็แผ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ส่งผลให้พลังมายาของทุกคนถูกยับยั้งไปในระดับหนึ่งและการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ช้าลงเป็นอย่างมาก