ซ่งชูอีหวดแส้ออกไปทันที
ทางนั้นร้องอุทาน
ซ่งชูอีพอจะคลำทิศทางของสาวใช้ได้ จึงหวดแส้ไปไม่ยั้ง
สาวใช้คนนั้นเป็นคนที่รู้วิชาป้องกันตัว นางคว้าแส้ด้วยมือเปล่าแล้วออกแรงดึงซ่งชูอีเข้าหาตัวเอง
เก้าฉื่อ!
คือความยาวของแส้นี้
ซ่งชูอีก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วล้มไปกองกับพื้นตามแรงดึง คว้าข้อเท้าของสาวใช้ผู้นั้นเอาไว้
สาวใช้ส่งเสียงอุทานเบาๆ ปล่อยแส้แล้วคลำหาดาบยาวออกมาจากเอวแทงไปยังทิศทางของซ่งชูอี
ซ่งชูอีกลิ้งตัวอยู่บนพื้น ลุกขึ้นมาอ้อมไปด้านหลังนาง การเคลื่อนไหวหลายอย่างทำให้นางเหงื่อซึมทั้งตัว ด้วยความคุ้นเคยที่นางมีต่อสถานที่แห่งนี้ทำให้นางมีความคิดที่ยืดหยุ่นมากกว่าพวกเขาท่ามกลางความมืดมิด
นางสามารถตัดสินใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือเหตุผลที่ทำให้นางสามารถต่อสู้กับพวกเขาได้จนถึงตอนนี้ บัดนี้นางมีอาการปวดตุบๆ ในช่องท้องส่วนล่าง หากนางสู้ตายเพื่อฆ่าสองคนนี้ เกรงว่าลูกของนางก็จะไม่รอดเช่นกัน
ในขณะที่นางกำลังคิดว่าจะเดินหน้าหรือจะถอยหลังนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสวบสาบ นางตกตะลึงแล้วหวดแส้ออกไปอย่างแรง
สาวใช้คิดที่จะโก่งคันธนู!
สถานการณ์ของซ่งชูอีในตอนนี้เป็นผู้ถูกกระทำเสียมากกว่า ตัดสินจากเสียงที่แหวกว่ายผ่านอากาศเมื่อครู่แล้ว สิ่งที่สาวใช้ถืออยู่ในมือคือหน้าไม้ ตอนที่ไฟยังสว่างอยู่ นางก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่านางมีหน้าไม้ด้วย แสดงว่าขนาดของมันต้องเล็กมาก น่าจะเป็นหน้าไม้เบาแบบพกพาที่กองทัพเกราะดำแห่งรัฐฉินใช้กันทั่วไปในการซุ่มโจมตี
การขึ้นหน้าไม้ประเภทนี้ในที่มืดเป็นเรื่องยากมาก
ซ่งชูอีตั้งใจจะหวดแส้อีกหลายรอบเพื่อให้สาวใช้หลบไม่ทัน จากนั้นก็ค่อยฉวยโอกาสหลบเข้าไปในประตูห้องสุสานที่ห่างออกไปด้านหลังเพียงห้าก้าว ในห้องนั้นมีเพียงกล่องและเครื่องดินเผาจำนวนหนึ่ง อย่างน้อยก็สามารถนำมาใช้เป็นโล่ป้องกันได้ ครั้นตัดสินใจได้ดังนี้ นางก็หวดแส้ไม่ยั้ง สาวใช้คนนั้นวาดดาบขึ้นป้องกัน แส้พันกระแทกรอบใบมีด
ซ่งชูอีออกแรงดึงแส้ ใครจะรู้ว่าแม้นางจะออกแรงมากเพียงนี้แส้ก็ยังไม่ขาด!
นี่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจริงๆ!
เพียงแต่ร่างกายของซ่งชูอีอ่อนแอ จึงเป็นฝ่ายถูกดึงไปแทน
เวลาไม่คอยท่า! เมื่อถูกบีบให้เสี่ยงอันตราย ซ่งชูอีก็ต้องพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่แยแส ยิ่งไปกว่านั้นแส้คือเครื่องช่วยชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางในสถานที่แห่งนี้ ไม่อาจทำหายไปได้โดยง่ายๆ ซ่งชูอีเอนตัวไปข้างหลังเพื่อดึงแส้ไม่ให้มันหย่อนพลางรวบแส้เดินไปข้างหน้า
เพียงไม่กี่ก้าวนางก็สัมผัสถึงปลายดาบแล้ว ขณะที่สาวใช้คนนั้นเพิ่งจะรู้ตัวซ่งชูอีก็ยกขาเตะเข้าท้องน้อยของนางอย่างจัง
หลังจากที่เตะแล้วนางก็ไม่ได้ดึงเท้ากลับทันที แต่อาศัยจังหวะนี้เตะเข้าร่างของนางอย่างจังและดึงเชือกแส้ที่มืออย่างแรง
ครั้งนี้ซ่งชูอีใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
สาวใช้คนนั้นส่งเสียงอู้อี้ แต่ให้ตายอย่างไรก็ไม่ปล่อยมือ
ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ซ่งชูอีรู้ดีว่านางไม่สามารถรักษาท่าทางนี้ไว้ได้นานนัก นางชักขากลับ ดึงแส้และวิ่งไปข้างหลังสาวใช้
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น สาวใช้ผู้นั้นยังไม่ทันได้ตอบสนอง เมื่อดาบจี้อยู่ที่คอนางก็ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ ส่วนซ่งชูอียกขาขึ้นดันหลังของนางเพื่อป้องกันไม่ให้นางหันกลับมา
ใบมีดอันแหลมคมฝังอยู่ในคอของสาวใช้
สาวใช้ถือดาบในมือข้างหนึ่งและหน้าไม้ในมืออีกข้างหนึ่ง ในความมืดเช่นนี้ดาบยังเป็นประโยชน์มากกว่า อย่างไรก็ตามต่อให้ซ่งชูอีหยิบหน้าไม้ขึ้นมาแต่เมื่อไม่มีลูกศรมันก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะทิ้งหน้าไม้ลง มืออีกข้างหนึ่งถือด้ามจับดาบไว้
เป็นเพราะความลังเลของนางนี้เอง เมื่อแส้นั้นถูกดึงอย่างแรง ใบมีดส่วนที่ไม่ได้ถูกพันด้วยแส้ก็เฉือนผ่านลำคอ เลือดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
สาวใช้ล้มลงกับพื้นเสียงดังโครม
ซ่งชูอีรีบเก็บแส้และดาบทันที
ท่ามกลางความมืดนี้สามารถได้ยินเสียงเลือดที่ไหลออกมาได้อย่างชัดเจน ผ่านไปสักพักนางจึงคลำหาหน้าไม้บนพื้น ลุกขึ้นวิ่งไปยังท้องพระโรงเล็ก
เดิมทีซ่งชูอีต้องการที่จะคลำหาลูกศรบนตัวสาวใช้ ทว่าก็กลัวว่านางจะยังไม่ตายอีกดังนั้นจึงยอมแพ้
ซ่งชูอีวิ่งเข้าไปในท้องพระโรงเล็กแล้วปิดประตูลง จุดตะเกียงบนรูปปั้นทหารทว่าคราวนี้มันกลับไม่ติด!
ทันใดนั้นนางก็ค้นพบหลักการของโคมไฟนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าเดิมทีมีไขมันปลาฉลามที่ติดไฟอยู่ในด้ามจับ เมื่อหมุน ไฟก็จะลุกขึ้นและเผาไหม้ไขมันปลาฉลามโดยรอบทั้งหมด! ก่อนหน้านี้นางไม่ได้คิดอะไรมากจึงดับไฟโดยไม่ได้คลายเกลียวเชื้อไฟ แน่นอนว่าครั้งนี้ย่อมไม่ติดไฟอยู่แล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็ไม่ได้เสียเวลาอีก คลำทางไปถึงม่านกลางท้องพระโรงตามความทรงจำ เดินไปตามม่านก็พบตะเกียงของนางกำนัลคนหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะขยับกลไลก็กลับได้ยินเสียงฝีเท้าขนาดใหญ่ดังมาจากในอุโมงค์
จะต้องเป็นเพราะเมื่อครู่นางรีบร้อนเข้ามาเกินไป จึงส่งเสียงดังและทำให้ตู้เหิงที่อยู่ข้างนอกได้ยินเข้า
ซ่งชูอีไม่มีเวลาคิดมาก นางวิ่งขึ้นไปบนบันไดของพระที่นั่งหลัก แวบเข้าไปในห้องด้านหลังรูปแกะสลักท่ามกลางความมืด
ประตูของท้องพระโรงเล็กถูกเปิดออก
ซ่งชูอีได้ยินเสียงฝีเท้า ก็สอดชายเสื้อสอดเข้าไประหว่างเพลาประตูเพื่อเปิดประตูแกะสลักไว้
แสงจากห้องโถงใหญ่ส่องสว่างภายในห้อง มือของซ่งชูอีเพิ่งจะสัมผัสกับประตูลับ ก็มีแสงสว่างขึ้นด้านหลัง จากนั้นเสียงเยือกเย็นของตู้เหิงก็ดังขึ้น “เจ้าช่างมีความสามารถเหลือเกิน!”
ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้แต่กลับสามารถทำให้ผู้ที่รู้วิชาการป้องกันตัวสองคนตายหนึ่งและบาดเจ็บอีกหนึ่ง
ซ่งชูอีทอดถอนใจ หันกลับไปก็เห็นชายและหญิงยืนอยู่ที่ประตูพร้อมกับคบเพลิง ผู้หญิงคนนั้นถือเกาทัณฑ์ไว้ในมือกำลังเล็งมาที่นาง
ซ่งชูอีนั่งยองกะทันหัน ยื่นมือออกไปเปิดประตูลับ
มีแสงสว่างขึ้นเบื้องหน้าฉับพลัน ซ่งชูอีได้ยินเสียงแหวกว่ายผ่านอากาศด้านหลังจึงรีบก้มตัวหลบ แต่ใบหน้ากลับเผชิญหน้ากับหมาป่าตัวใหญ่ที่กำลังดมกลิ่นอยู่
นางได้ยินเพียงเสียงครวญคราง มันพุ่งตัวเข้ามาเหมือนก้อนกลมๆ และมาถึงด้านหน้าของสาวใช้ในแทบจะทันที ตะครุบนางล้มไปกับพื้น เพียงอ้าปากกัดคำเดียวก็เกือบทำศีรษะของนางหลุดออกจากบ่า
ตู้เหิงรู้ว่าตนไม่รอดแน่ จึงเพียงหลับตาลง ยืนเฉยๆ ไม่ขยับเขยื้อน
ไป๋เริ่นกำลังจะหันไปกัดเขา ทว่าทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงดุ
ซ่งชูอีตื่นตระหนก พยุงตัวกับวงกบประตูพยายามลุกขึ้นมา มองเห็นเจ้าอี่โหลวกับเว่ยต้าจื่อยืนอยู่ด้านหลังตู้เหิงพร้อมถือดาบอยู่ในมือ
หมาป่าสีทองตัวหนึ่งเดินเหยียบร่างของสาวใช้ไปนั่งลงข้างๆ ไป๋เริ่น เงยหน้าจ้องตู้เหิงพร้อมกับส่งเสียงครางงิ๋งๆ น้ำลายไหลหยดติ๋งๆ
เจ้าอี่โหลวเจอซ่งชูอีแล้วจะไปสนใจตู้เหิงที่ไหนกัน เขาพุ่งเข้าไปกอดนาง
“ข้ามิได้ฝันไปใช่ไหม” ซ่งชูอีลูบคลำใบหน้าอบอุ่นของเขา ยิ้มแล้วหมดสติไป
เว่ยเต้าจื่อรับคบเพลิงมาจากมือของตู้เหิง ค้นร่างกายของเขาแล้วล้วงเข้าไปหยิบขวดยาพิษขวดหนึ่งออกมาจากหน้าอก ปลดดาบของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เขาฆ่าตัวตายหรือทำร้ายผู้อื่น จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาซ่งชูอีโดยไม่ได้มัดเขาไว้
หมาป่าสามารถตัดสินเป้าหมายได้แม้จะมีเพียงกลิ่นจางๆ ก็ตาม
เว่ยเต้าจื่อจับชีพจรของนาง หลังจากตรวจอยู่ครู่หนึ่งก็ยัดคบเพลิงใส่มือของเจ้าอี่โหลว หยิบยาขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เทยาออกมาเม็ดหนึ่งแล้วป้อนเข้าปากของซ่งชูอี จากนั้นก็ฝังเข็มโดยไม่พูดจา
เมื่อฝังเข็มเสร็จแล้ว เจ้าอี่โหลวก็ถามด้วยความร้อนรน “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“อาการไม่สู้ดี พวกเราออกไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ อากาศหนาวเช่นนี้ อยู่ที่นี่ต่อเพียงหนึ่งเค่อก็ไม่เป็นผลดีกับนาง” เว่ยเต้าจื่อเอ่ย
“ได้” เจ้าอี่โหลวอุ้มซ่งชูอีแล้วเดินออกไปข้างนอก
ออกไปจากประตูลับ
เจ้าอี่โหลวชะงักฝีเท้า มองไปยังผู้ชายในหน้ากากสีดำที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอย่างระวังตัว
ชายชุดดำหันตัวมา คิ้วของเขาดุจดาบคม ดวงตาเย็นยะเยือก เจ้าอี่โหลวจำเขาได้ตั้งแต่แวบแรก จึงลดความระวังตัวลง หลังจากพยักหน้าให้น้อยๆ แล้วก็อุ้มซ่งชูอีจากไปทันที
เว่ยเต้าจื่อออกมาเห็นคนในชุดดำที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อใดก็สะดุ้งโหยง ทว่าเมื่อมองอย่างละเอียดก็วางใจลงเช่นกัน
เว่ยเต้าจื่อเคยเห็นอิ๋งซื่อเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เขามีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ลึกลับ บุคลิกขององค์จวินผู้ทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาตเยี่ยงอิ๋งซื่อนี้ เกรงว่าจะมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า
พวกที่แอบบุกรุกสุสานบรรพบุรุษของผู้อื่นและถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ แม้ว่าเว่ยเต้าจื่อจะรู้จักก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก!
อิ๋งซื่อเหลือบเห็นหมาป่าสีขาวและสีทองกำลังเบียดตัวออกมาจากประตูพร้อมคาบคนที่เนื้อตัวสะบักสะบอมออกมาด้วยก็เอ่ยถาม “ผู้นี้เป็นคนร้ายรึ?”
เว่ยเต้าจื่อข่มความปรารถนาที่ต้องการจะแสดงความเคารพ เอ่ยว่า “ถูกต้อง”
อิ๋งซื่อมองสำรวจตู้เหิงอีกสองสามรอบ เมื่อมั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็เอ่ยว่า “อย่าให้เขาตาย”
“อืม ข้าจะส่งตัวไปให้จวนศาลตุลาการทันที” เว่ยเต้าจื่อเข้าใจความหมายของเขา
อิ๋งซื่อพยักหน้า เป็นสัญญาณบอกให้เขาไปได้แล้ว
เว่ยเต้าจื่อนำหมาป่าทั้งสองไปยังทางออก ขณะที่กำลังจะหมุนตัวไปก็หันมามองอีกรอบ เห็นอิ๋งซื่อเดินไปที่ใต้บันไดแล้วคุกเข่าลงหน้าท้องพระโรง
แสงไฟของตะเกียงอมตะส่องระยิบระยับอยู่ในท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ แผ่นหลังของเขาเล็กมากอย่างเห็นได้ชัดทว่าก็ยิ่งใหญ่มากเช่นกัน
ภายในจวนกั๋วเว่ย
หลังจากซ่งชูอีกลับมาแล้วก็นอนหลับไปสามวันเต็ม
หลังจากที่เว่ยเต้าจื่อส่งตู้เหิงให้กับศาลตุลาการเขาก็ไม่สนใจแล้ว ใช้วิธีเผายาสูบเพื่อรมยาให้ซ่งชูอีทุกวัน เจ้าอี่โหลวเฝ้าซ่งชูอีที่หนังหุ้มติดกระดูก ไม่มีกะใจจะไปจัดการตู้เหิงในเวลานี้ สำหรับเขาแล้วหากไม่สามารถช่วยซ่งชูอีกลับมาได้ ต่อให้ตู้เหิงสลายกลายเป็นเถ้าถ่านก็เทียบไม่เท่าหนึ่งในหมื่นความเกลียดชังเลย
“ช่วยชีวิตของซ่งหวยจินมาได้ก็จริง ทว่าที่น่าเป็นห่วงคือเด็กในท้องของนาง” เว่ยเต้าจื่อเอ่ย
เจ้าอี่โหลวชะงัก “นางตั้งครรภ์?”
“ย่างเข้าเดือนที่สี่แล้ว” เว่ยเต้าจื่อปลอบประโลม “วางใจเถิด ดูจากเวลาแล้ว เป็นไปได้เก้าส่วนว่าเด็กคนนี้เป็นลูกเจ้า”
เจ้าอี่โหลวไม่สนใจคำพูดของเขา ถามต่อ “น่าเป็นห่วงหมายความว่าอย่างไร?”
เว่ยเต้าจื่อทอดถอนใจเอ่ย “การที่นางสามารถรักษาลูกมาได้ถึงตอนนี้ไม่ง่ายเลย แต่รักษาก็ส่วนรักษา บัดนี้สภาพครรภ์ไม่เสถียรอย่างยิ่ง สัญญาณชีพของทารกก็อ่อนมาก…”
เจ้าอี่โหลวเม้มริมฝีปากแน่น กำหมัดโดยไม่รู้ตัว
“อยู่ในสถานที่หนาวเหน็บเช่นนั้นสามเดือนกว่า บวกกับเดิมทีร่างกายของหวยจินก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว เด็กคนนี้…เป็นไปได้ว่า…” เว่ยเต้าจื่อมองนางอย่างกังวล “เป็นไปได้ว่าอาจจะตายอยู่ในครรภ์”
ดวงตาของเจ้าอี่โหลวแดงระเรื่อ สำลักอยู่ในลำคอ “ด้วยทักษะการแพทย์ของท่านก็ช่วยไม่ได้รึ?”
เว่ยเตาจื่อเอื้อมมือตบๆ ไหล่ของเขา “สามารถช่วยชีวิตได้สามส่วน ทว่าเจ้าต้องรู้ไว้ ต่อให้ช่วยได้ก็เป็นเด็กที่เกิดมาพร้อมความไม่สมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นเหลืออีกห้าเดือนก็จะคลอดแล้ว ด้วยสภาพร่างกายของหวยจิน ถึงตอนนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถให้กำเนิดออกมาได้”
“เช่นนั้นความหมายของท่านคือ?” เจ้าอี่โหลวกัดฟัน เนื่องจากกัดแรงมากเกินไป เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากจึงปูดนูนออกมา
เว่ยเต้าจื่อเห็นเขาเช่นนี้ก็ทนดูไม่ได้ ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสองชีวิต จึงได้แต่กล่าวว่า “เอาเด็กออกเร็วหน่อยเถิด”
เจ้าอี่โหลวเบือนหน้าหนี
เว่ยเต้าจื่อเห็นว่าโหลวอี่โหลวไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นสีหน้าเป็นทุกข์ของเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกและออกไปอย่างเงียบๆ ให้เขาได้อยู่เงียบๆ คนเดียว
“อี่โหลว” ซ่งชูอีเรียกเสียงเบา
เจ้าอี่โหลวตัวแข็งทื่อ เงยหน้าขึ้นมองซ่งชูอี “เจ้า…เจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อใด?”
“สักพักแล้ว” ซ่งชูอีเอ่ย
“เจ้าก็ได้ยินหมดแล้ว?” เจ้าอี่โหลวนั่งลงที่ขอบเตียง กุมมือของนาง ข่มน้ำตากลับเข้าไปข้างใน “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ทำให้เจ้าได้รับความทรมานนานเพียงนี้”
ซ่งชูอีไม่ได้ส่งเสียง ไม่ใช่เพราะนางโทษเจ้าอี่โหลว ทว่านางปวดใจ…ปวดใจกับเลือดเนื้อเชื้อไขในท้องของนาง
ทั้งคู่เงียบงัน กลิ่นยาภายในห้องทำให้หายใจไม่ออก
หลังจากความเงียบงันครู่หนึ่ง เจ้าอี่โหลวก็เอ่ยเสียงเบา “เอาเด็กออกเถิด”
ซ่งชูอีหลับตาลง “ให้ข้าได้นอนสักพักเถิด ข้าเหนื่อยมาก