มั่วชิงเฉินโผเข้าไป กอดมั่วต้าเหนียนเอาไว้แน่น “ท่านปู่!”
มั่วต้าเหนียนชูกระดูกขึ้นสองมือ หัวเราะแหะๆ
แววตาของมั่วชิงเฉินสะท้อนแววเจ็บปวดคราหนึ่ง เหลือบมองเถียนหยวนที่ลุกขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปข้างนอก ร่างนางพลันพลิ้วไหวลอยไปอยู่เบื้องหน้าของเขา แล้วต่อยไปที่จมูกของเขาหมัดหนึ่ง
หมัดนี้แฝงไว้ด้วยพลังบริสุทธิ์เต็มเปี่ยม เถียนหยวนร้องคร่ำครวญออกมาเสียงหนึ่ง โลหิตไหลออกมาจากจมูกตกลงสู่พื้น
จนถึงยามนั้น เขาถึงได้เห็นใบหน้าของมั่วชิงเฉินอย่างชัดเจน แววตาฉายแววตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว “เป็นเจ้า!”
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขากับท่านปู่ มั่วชิงเฉินก็โกรธเกรี้ยวจนยื่นเท้าไปเหยียบลงบนใบหน้าของเขา เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ไม่ผิด เป็นข้าเอง!”
เมื่อเห็นศัตรูที่สังหารตนเอง เถียนหยวนในยามนั้นก็ลืมความห่างชั้นของพลังยุทธ์ของทั้งสอง ร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “นางเด็กบ้า ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าแล้ว ข้าจะ…”
เสียงหยุดพลันชะงักไป
มั่วชิงเฉินออกแรงที่ขา เอ่ยอย่างเย็นชา “นางเด็กเป็นคำที่เจ้าเรียกข้าได้หรือ ดูแล้วข้าเมตตาเกินไป”
ในแดนมนุษย์ แม้ว่าเถียนหยวนจะมีที่พักพิงยิ่งใหญ่ แต่คุณสมบัติกลับไม่เท่าไหร่ คิดไม่ถึงว่ามาถึงแดนผี จะกลับกลายเป็นยอดอัจฉริยะผีบำเพ็ญเพียร ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็มีพลังยุทธ์ระดับแม่ทัพผี
จากพลังยุทธ์ที่สูงขึ้น แม้ว่าเถียนหยวนจะกระทำการกดหัวผู้คนดังเก่า แต่สติปัญญากลับเติบโตขึ้นมากแล้ว เมื่อได้ยินมั่วชิงเฉินกล่าวเช่นนี้ ก็ได้สติกลับคืนมา ระงับความโกรธเกรี้ยวเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “โปรด…ยั้งมือด้วย…”
การสังหารคนเป็นเพียงแค่การทำให้ศีรษะสัมผัสพื้นก็เท่านั้น มั่วชิงเฉินไม่เคยใช้ฐานะของพลังยุทธ์ลบหลู่ผู้อื่น แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เจ้าบ้านี่ทำกับท่านปู่มาร้อยกว่าปี สติสัมปชัญญะใดๆ ก็ถูกโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว นางย่ำเท้าอย่างแรงอีกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าผิดแล้ว ข้าใช้เท้า!”
การเคลื่อนไหวนี้ไม่ธรรมดา ขุนพลผีผู้ใต้บังคับบัญชาของเถียนหยวนพลันกรูกันเข้ามา เห็นสถานการณ์นี้ก็รู้สึกตกตะลึง ผู้ใดล้วนไม่กล้าเข้ามา
มั่วชิงเฉินกวาดตามองผีทั้งหมดแวบหนึ่ง หยิบกระดูกบนโต๊ะขึ้นมาแล้วโยนออกไป
มั่วต้าเหนียนแววตาเปล่งประกาย วิ่งไปทางกระดูกพร้อมหัวเราะคิกคักอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินรู้สึกเจ็บปวด คว้าข้อมือของมั่วต้าเหนียนเอาไว้ แล้วถีบหน้าเถียนหยวน “ไป ไปเก็บมาให้ข้า จำไว้ ต้องใช้ปาก”
เถียนหยวนถูกมั่วชิงเฉินถีบจนตาลาย หน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง “เจ้า เจ้าอย่าทำเกินไปนัก เจ้ารู้ไหมว่าอาจารย์ของข้าคือผู้ใด…”
เอ่ยยังไม่ทันจบ ก็ถูกถีบอีกครั้ง มั่วชิงเฉินเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา “กากเดนอย่างเจ้า ทำอย่างไรก็ไม่เกินไป ตอนเป็นคนยังไม่โต เป็นผีแล้วก็ยังไม่โต หากผู้อื่นพึ่งพาได้ เจ้าจะมาที่นี่หรือ”
เถียนหยวนถึงได้ตกตะลึงระคนหวาดกลัว “เจ้ากล้าสังหารข้าหรือ”
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลง “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาคิดว่าข้าไม่กล้า”
นางแผ่พลังกดดันของอาจารย์ผีออกมาอย่างไม่ปกปิดเลยสักนิด เถียนหยวนพลันตกตะลึง อดไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์ของข้าเป็นใคร…”
มั่วชิงเฉินถีบใบหน้าของเถียนหยวน พลางหัวเราะเบิกบาน “ไม่ต้องเตือนข้าหรอก รอส่งเจ้าไปแล้ว ข้าค่อยไปถามเขาเอง”
มองเห็นในมือของมั่วชิงเฉินมีใบมีดลำแสงสายหนึ่งปรากฏขึ้น ความกล้าหาญของเถียนหยวนพลันมลายหายไป “อย่า อย่าฆ่าข้า!”
มั่วชิงเฉินสะบัดมือ “เช่นนั้นยังไม่รีบไปอีก”
เถียนหยวนลุกขึ้นมาอย่างจนตรอก จ้องเขม็งไปยังกระดูกบนพื้นอยู่นานไม่เคลื่อนไหว ท่ามกลางสายตาของเหล่าผีน้อย
มั่วชิงเฉินมองอย่างเย็นชา ขบคิดในใจว่าสังหารเจ้า เจ้าจะได้เปรียบเกินไปกระมัง เห็นเถียนหยวนลังเลไม่เคลื่อนไหว ก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง
ร่างของเถียนหยวนสั่นเทา สะกดความอับอายใช้ปากคาบกระดูกกลับมาส่ง
มั่วชิงเฉินยื่นมือไปคว้าเถียนหยวน
“เจ้า เจ้าเคยบอกว่าจะไม่ฆ่าข้า…”
มั่วชิงเฉินเองก็ไม่ตอบกลับ ใช้มือหนึ่งคว้าเถียนหยวน มือหนึ่งคว้ามั่วต้าเหนียนแล้วบินออกไปด้านนอก
คลื่นพลังวิญญาณพลันส่งเข้ามา เสียงหนึ่งดังขึ้น “แม่นางจะพาลูกศิษย์ข้าไปที่ใด”
ชั่วพริบตา ตรงหน้าก็มีบุรุษหน้าเขียวปรากฏขึ้น
มั่วชิงเฉินหรี่ตาลง โลกกลมเสียจริงๆ อาจารย์ของเถียนหยวน ก็คืออาจารย์ชิงหยวนผู้เกือบจะบีบให้ตนอับจนหนทางก่อนหน้านี้ไม่นาน
หากไม่ใช่เพราะอยู่ๆ น้ำเต้าก็สำแดงอานุภาพออกมาช่วยชีวิตตนไว้ ยามนี้เกรงว่านางคงกลายเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว
เมื่อมาอยู่ในระดับขั้นอาจารย์ผี ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดในแดนมนุษย์ หากไม่แค้นฝังลึกก็คงไม่สู้สุดชีวิตง่ายๆ
มั่วชิงเฉินกลับมีจิตสังหารปรากฏขึ้นในพริบตา
ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของเขาและเถียนหยวน แค่ที่เขาพบความพิเศษของน้ำเต้า เห็นตนเองพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับอาจารย์ผีภายในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งสองก็กลายเป็นคู่อริที่จะไม่มีวันยอมผ่อนปรนกันแล้ว
หากมีความเมตตา เกรงว่านางคงไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบในแดนผี
เมื่อมั่วชิงเฉินตัดสินใจแล้วก็ไม่ลังเลอีก สะบัดแขนเสื้อ ใช้พลังบริสุทธิ์วาดวงกลมบนพื้นดิน ผลักท่านปู่และเถียนหยวนที่ถูกผนึกด้วยพลังวิญาณเข้าไป
จากนั้นพลันยกมือ ธนูเขียวซ่อนเร้นปรากฏขึ้น ง้างสายธนู ศรไม้ท้อพุ่งออกไป
อาจารย์ชิงหยวนคิดไม่ถึงว่ามั่วชิงเฉินจะลงมืออย่างไม่ลังเลเลยสักนิด มือยกดาบใหญ่ขึ้นรวบรวมพลังวิญญาณแล้วต้านทานศรไม้ท้อเอาไว้
คิดไม่ถึงว่าศรไม้ท้อเข้ามาประชิดแล้วจะกลายเป็นกิ่งก้านดอกท้อนับพันหมื่นกิ่งโรยมารอบด้าน ชั่วพริบตาก็ออกดอก
อาจารย์ชิงหยวนซึ่งกำลังอยู่ในท่ายกดาบพร้อมจู่โจมพลันพิจารณารอบด้าน พบว่าตนอยู่ในป่าดอกท้อ
กลิ่นหอมของดอกท้อโชยมา พลังวิญญาณภายในร่างปั่นป่วน
สมควรตาย ไม้ท้อเป็นสิ่งที่ควบคุมผีได้โดยธรรมชาติ สตรีผู้นี้มีประวัติความเป็นอย่างไรกันแน่ เป็นผีบำเพ็ญเพียรแท้ๆ เหตุใดถึงใช้ศาสตราผีชนิดนี้ได้
ไม่ถูก ในค่ายกลดอกท้อ ไม่มีปราณมรณะใดๆ กลับเต็มไปด้วยพลังชีวิต…
อาจารย์ชิงหยวนมองด้วยความตกตะลึง มั่วชิงเฉินที่สวมชุดสีเขียวปรากฏขึ้นกลางอากาศ ถือกิ่งท้อแทงมาทางเขา
เห็นชัดว่าเรียบง่ายไร้ลูกเล่น ดูแล้วไม่ได้เป็นกระบวนท่าที่พลิกแพลงได้ แต่อาจารย์ชิงหยวนกลับพบด้วยความประหลาดใจว่าทางหลบหลีกทั้งหมดของเขาถูกปิดตายแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจขยับตัวได้ ถูกกักอยู่ที่เดิม!
ภายใต้ความจนปัญญา จึงทำได้เพียงกัดฟัน ดาบใหญ่สับลงมาที่กิ่งดอกท้ออันบอบบาง
กิ่งต้นท้อปะทะกับดาบใหญ่ แสงวิญญาณวาบประกายวิบวับ แสงวิญญาณนี้ไม่ได้เป็นสีเทาดำเหมือนที่พบเห็นได้บ่อยในแดนผี แต่มันเกือบจะไร้สี
แสงวิญญาณไร้สีจมหายเข้าไปในดาบใหญ่ พลังวิญญาณที่ผนึกอยู่ในดาบค่อยๆ ถูกกลืนกิน
อาจารย์ชิงหยวนหน้าเปลี่ยนสี “แม่นาง โปรดหยุดก่อน ข้าน้อยคือผู้ใต้บังคับบัญชาของราชันฉินก่วง..”
กิ่งต้นท้อไม่ได้หยุดแทง มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “หยุดพูด ข้าไม่อยากฟัง”
นางต้องการชีวิตของเขา ไม่รู้ดีกว่ารู้
ชั่วพริบตานั้นอาจารย์ชิงหยวนก็เข้าใจเจตนาของมั่วชิงเฉิน จึงหน้าเปลี่ยนสี ไม่ได้มีความคิดใดอีก ใช้แรงทั้งหมดเข้าต่อสู้
ในสายตาของเหล่าผีน้อย มองเห็นเบื้องหน้ามีป่าต้นท้อเพิ่มขึ้นมา ด้านในมีแสงเลือนรางโคจรอยู่ ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่เห็นสถานการณ์ที่แท้จริง
เถียนหยวนที่ถูกผนึกพลังวิญญาณอยู่พลันตะโกนออกมา “รีบปล่อยข้าออกไป!”
ขุนพลผีสองสามคนวิ่งออกมา เมื่อเข้าใกล้รูปวาดวงลมจากพลังบริสุทธิ์ของมั่วชิงเฉิน ก็เหมือนกับถูกเปลวเพลิงแผดเผาอย่างไรอย่างนั้น เจ็บปวดจนถอยร่นไป
เถียนหยวนมองไปในใจกลางป่าต้นท้อที่แปลกประหลาดแล้วยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ พลางร้อนคำรามว่า “เร็วสิ พวกเจ้ามันตัวไร้ประโยชน์!”
ผีทุกตนพลันมองสบตากัน ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามา
หยวนเถียนร้องตะโกนออกมา ในตอนที่แรงจะสบถด่าแทบจะหมดลงแล้ว ฉับพลันนั้นก็เห็นป่าดอกท้อสลายหายไป พลันเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้
มั่วชิงเฉินสวมชุดคลุมสีเขียวเดินออกมา ดูแล้วสง่างามมาก กลับไม่เห็นเงาของอาจารย์ชิงหยวน
“อา…อาจารย์เขา…”
มั่วชิงเฉินหัวเราะน้อยๆ ออกมา “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
ผีบำเพ็ญเพียรนั้นไม่เหมือนกับมนุษย์ คนตายอย่างน้อยก็ยังเหลือศพ แต่ผีบำเพ็ญเพียรเดิมทีก็เป็นพลังงาน ต่อให้ระดับขุนพลผีสามารถผนึกรูปกายได้ แต่แก่นแท้ดั้งเดิมกลับไม่เปลี่ยนแปลง หากตายแล้ว แน่นอนว่าย่อมกลายเป็นผุยผง
มั่วชิงเฉินเอ่ยกับเถียนหยวนด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มน้อยๆ นั้นดูชั่วร้ายมาก เห็นนางยิ่งเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งตกตะลึงระคนหวาดกลัว คาดไม่ถึงว่าจะตาเหลือกขึ้น แล้วเป็นลมหมดสติไป
มั่วชิงเฉินกวาดตามองเหล่าผีน้อยแวบหนึ่ง
เหล่าผีน้อยตกใจจนล่าถอยไป กุมหัวร้องโอดครวญว่า “ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย…”
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก โบกมือแล้วเอ่ยว่า “วางใจ ข้าไม่สนใจผีน้อยอย่างพวกเจ้า รีบไปเสีย”
เหล่าผีน้อยแตกฮือออกไป
มั่วชิงเฉินเดินไปอย่างรวดเร็ว ประคองมั่วต้าเหนียนขึ้นมา “ท่านปู่”
มั่วต้าเหนียนเพียงฉีกยิ้มอย่างโง่เขลา
มั่วชิงเฉินเห็นแล้วรู้สึกเจ็บปวด ดันท่านปู่ให้นั่งลง หยิบหวีออกมาสางผมให้เขา
สางไปสักครู่ก็ลูบผมให้เรียบ แล้วขมวดเป็นมวยขึ้น แล้วเช็ดใบหน้าของเขาให้เกลี้ยงเกลา เปลี่ยนชุดให้ใหม่ แล้วถึงได้หยิบไข่มุกหยินออกมา
ลำแสงสว่างวาบ มั่วต้าเหนียนอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
ร่างทั้งร่างของเขาเกือบโปร่งใส เห็นมั่วต้าเหนียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก็กลายเป็นเหมือนกลุ่มควันสีเขียวกลุ่มหนึ่ง กระโจนเข้าไปในหว่างคิ้วของเขา
มั่วต้าเหนียนมีสติสัมปชัญญะขึ้นมา เนิ่นนาน ถึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
มั่วชิงเฉินตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด “ท่านปู่…”
มั่วต้าเหนียนกะพริบตาปริบๆ ผ่านไปชั่วครู่ก็ถึงได้ถอยออกไปด้วยสีหน้างุนงง มองแววตาของมั่วชิงเฉินอย่างไม่คุ้นเคย “เจ้าคือ…”
“ท่านปู่ ข้าคือชิงเฉินเจ้าค่ะ”
“ชิงเฉินหรือ” มั่วต้าเหนียนพลันตกตะลึง “แม่นางน้อยพูดซี้ซั้วอะไร หลานสาวของข้าเพิ่งจะแปดขวบ”
“ท่านปู่ ข้าคือนางหนูสิบหกชิงเฉินอย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้าโตแล้ว…” มั่วชิงเฉินรีบร้อนอธิบาย
ในที่สุดมั่วต้าเหนียนก็จำได้แล้ว ยื่นมือออกมาลูบศีรษะของมั่วชิงเฉิน “นางหนู เจ้าไปไหนมา ปู่ตามหาเจ้ามาโดยตลอด”
มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป กระโจนเข้าไปในอ้อมกอดของมั่วต้าเหนียนแล้วร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด “ท่านปู่ ขอโทษ ข้าขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของชิงเฉิน ตอนนั้นข้าไม่ควรออกไปคนเดียว…”
“นางหนูอย่าร้อง อย่าร้อง” มั่วต้าเหนียนตบหลังของมั่วชิงเฉินเบาๆ ฉับพลันนั้นก็นึกอะไรได้ ชั่วครู่ก็คว้าแขนของมั่วชิงเฉิน “นางหนู เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!”
มั่วชิงเฉินกอดแขนมั่วต้าเหนียน “ท่านปู่ พวกเราได้อยู่ด้วยกันแล้ว ไม่ดีหรือ”
แม้ว่ามั่วต้าเหนียนจะเลอะเลือนไปร้อยกว่าปี หลังจากที่ดวงวิญญาณซึ่งค้างอยู่ในโลกมนุษย์กลับมาแล้ว สติปัญญาก็กลับมาด้วย ความทรงจำเมื่อร้อยปีที่ผ่านมาก็กลับคืนมา มองเห็นรอยยิ้มเบิกบานของมั่วชิงเฉิน น้ำตาก็เอ่อล้น “เด็กโง่ หากปู่เดาไม่ผิด เจ้าอยู่ในระดับสร้างรากฐานแล้วกระมัง น่าจะมีอายุขัยสามร้อยปี”
เมื่ออยู่ต่อหน้ามั่วต้าเหนียน มั่วชิงเฉินก็เป็นเหมือนกับแม่นางน้อยผู้ใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง เอ่ยอย่างลำพองใจว่า “ท่านปู่เดาผิดแล้ว”
“คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ในระดับก่อแก่นปราณแล้ว” มั่วต้าเหนียนตกใจ
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ ยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยว่า “เป็นระดับก่อกำเนิด ท่านปู่ หลานสาวของท่านเป็นเจินจวินระดับก่อกำเนิดผู้หนึ่ง”
มั่วต้าเหนียนตะลึงงันทันที เนิ่นนาน น้ำตาพลันหยดเผาะ “นางหนู เจ้าเป็นเจินจวินระดับก่อกำเนิดแล้วคาดไม่ถึงว่าจะตายอยู่ในแดนผี จะทำให้ปู่โกรธจนตายเลยหรือไร”
เมื่อเห็นท่านปู่ยังคงมีนิสัยซุกซนเหมือนเก่า มั่วชิงเฉินหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก ปลอบใจเขาว่า “ท่านปู่ อย่าโกรธไปเลย ท่านดูหลานในยามนี้ เป็นอาจารย์ผีแล้วมิใช่หรือ”
ปู่หลานสองคนจากกันร้อยกว่าปีก็ได้มาพบกันที่แดนผี ย่อมมีเรื่องให้พูดคุยไม่รู้จบ
มั่วชิงเฉินเล่าเรื่องที่ผ่านมาในช่วงหลายปีนี้ให้ฟัง หลังจากเอ่ยจบก็กะพริบตาปริบๆ “ท่านปู่ หลานยังพาอีกผู้หนึ่งมาด้วย”
“ผู้ใดกัน” มั่วต้าเหนียนได้ฟังประสบการณ์อันมากมายของหลานสาว ก็ถอดถอนใจอย่างต่อเนื่อง
มั่วชิงเฉินดีดไข่มุกหยินอีกเม็ดหนึ่งออกมา หญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นสองเท้าเปลือยเปล่าปรากฏขึ้นตรงหน้า
“โฉวเอ๋อร์!” มั่วต้าเหนียนพลันลุกขึ้นยืน