จิ้งเหยียนเจินจวินที่สวมชุดนักพรตสีขาวขอบทองดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีโลหิต จอนผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย แค่ดูก็รู้แล้วว่าเร่งเดินทางมาถึงที่นี่ทั้งคืนโดยไม่ได้หยุดพัก
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ขณะที่ลูกศิษย์ทั้งหมดของพรรคเหยากวงกำลังซุบซิบนินทากัน เขาก็ทำเพียงประสานมือเข้าด้วยกันที่ด้านหลัง ปล่อยให้ชุดสีขาวขอบทองพลิ้วไหวไปตามแรงลม ดูเหมือนว่าจะเหาะเหินได้ตลอดเวลา ไม่ลดราศีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเลยสักนิด
สายตาของศิษย์ผู้รักษาการณ์หน้าประตูพรรคยอดเยี่ยมที่สุด มองปราดเดียวก็รู้ฐานะของผู้มาเยือน จึงรีบร้อนเอ่ยอย่างรักษามารยาทว่า “คารวะจิ้งเหยียนเจินจวิน ไม่ทราบเจินจวินมาที่นี่…”
จิ้งเหยียนเจินจวินมองลูกศิษย์ที่รักษาการณ์หน้าประตูพรรคแวบหนึ่ง
ลูกศิษย์ที่รักษาการณ์หน้าประตูพรรครู้สึกสั่นสะท้าน ดูเหมือนว่าตกอยู่ในค่ายกลสังหารอย่างไรอย่างนั้น
ขบคิดในใจว่าแย่แล้ว เจ้าสำนักลั่วสยาผู้นี้มาที่นี่ด้วยความโกรธเกรี้ยว หากพลั้งมือสังหารตน จะไปหาเหตุผลกับผู้ใดได้
ขณะที่ลูกศิษย์ที่รักษาการณ์หน้าประตูพรรคกำลังอกสั่นขวัญแขวนอยู่นั้น จิ้งเหยียนเจินจวินกลับเอ่ยปากอย่างราบเรียบ น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “เชิญหลิวซางเจินจวินมา บอกว่าจิ้งเหยียนเจินจวินมาเยี่ยมเยือน”
“ขอรับ!” ลูกศิษย์ที่รักษาการณ์หน้าประตูพรรคผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้ววิ่งไปรายงาน
ไม่นาน ก็มองเห็นหน้าประตูพรรคเปล่งแสงเจิดจ้าเสวียนหั่วเจินจวินถือพัดกกรีบร้อนเดินมา คนยังไม่ทันมาถึงก็ร้องตะโกนว่า “โอ้ สหายจิ้งเหยียน ช่างเป็นแขกผู้หาได้ยาก หาได้ยากจริงๆ”
ถึงอย่างไรเสียจิ้งเหยียนเจินจวินก็เป็นเจ้าสำนัก เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด แม้ว่าจะในใจจะทุกข์ทรมานจากการสูญเสียบุตรสาว ใบหน้ากลับไม่เผยร่องรอยออกมาแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยว่า “สหายเสวียนหั่ว ข้าอยากพบหลิวซางเจินจวิน มีเรื่องอยากสอบถาม”
“บังเอิญจริงๆ ศิษย์พี่ประมุขพรรคตนอยู่ สหายจิ้งเหยียนมีเรื่องอะไร ถามข้าก็เหมือนกัน” เสวียนหั่วเจินจวินฉีกยิ้มจนตาหยีขณะเอ่ย
มองรอยยิ้มของเสวียนหั่วเจินจวิน ชั่วขณะนั้นจิ้งเหยียนเจินจวินก็รู้สึกระคายนัยน์ตา น้ำเสียงเย็นชา “ยืนพูดคุยที่ประตูพรรค นี่คือหนทางที่สหายเสวียนฮั่นต้อนรับแขกหรือ”
เสวียนหั่วเจินจวินเหลือบตามองประตูพรรคอย่างส่งๆ แวบหนึ่งแล้วหัวเราะ “สหายจิ้งเหยียนมาเยี่ยมเยือนถึงพรรค ไม่เอาอะไรติดมือมาด้วยก็ช่างเถิด ยังจะทดสอบว่าประตูพรรคของเราแข็งแรงหรือไม่ เข้าใจดีว่านี่คือนิสัยของสหายจิ้งเหยียน หากไม่ทราบยังนึกว่าจะมาทุบเสียอีก ทำให้เหล่าเด็กน้อยตกใจเปล่าๆ แล้ว”
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหร่วนหลิงซิ่ว เสวียนหั่วเจินจวินเกลียดอย่างไรก็เกลียดอย่างนั้น เดิมทีก็ไม่ชอบจิ้งเหยียนเจินจวินอยู่แล้ว จะรับความโมโหของเขาได้อย่างไร
วาจานี้ ทั้งเป็นการเตือนจิ้งเหยียนเจินจวินอยู่ลับๆ ว่าไม่พระพฤติตนตามกฎเกณฑ์ ทั้งยังชี้ให้เห็นว่าการกระทำของเขาทำให้เหล่าลูกศิษย์ระดับต่ำมีเรื่องสนุกให้ดู
ชั่วขณะนั้นจิ้งเหยียนเจินจวินพลันโกรธจนเสียสติ
เขาจะลืมได้อย่างไร สองสามปีที่ผ่านมาเสวียนหั่วเจินจวินก็คือตัวร้ายกาจผู้มีชื่อเสียงที่สุดในโลกของผู้บำเพ็ญเพียร!
หากเจ้าจะพูดเหตุผลกับเขา เขาก็จะแสร้งทำเป็นเลอะเลือน หากเจ้าแสร้งทำเป็นเลอะเลือนกับเขา เขาก็จะโมโหเจ้า เจ้าโมโหเขา เขาก็ล้มเลิกการพูดคุยด้วยเหตุผลไป
จิ้งเหยียนเจินจวินไม่เพียงเป็นบิดาผู้สูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รักไป แต่ยิ่งต้องรับหน้าที่ภาระอันหนักอึ้งอย่างการเป็นเจ้าสำนักลั่วสยา
ไม่มีหลักฐานยืนยัน เขาก็ไม่มีทางเอ่ยเรื่องของหร่วนหลิงซิ่วต่อหน้าเหล่าลูกศิษย์ระดับต่ำมากมายเพียงนี้แน่
ยามนี้จึงระงับความโกรธเกรี้ยวเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “สหายเสวียนหั่วไม่อยากเชิญข้าเข้าไปจริงหรือ”
เสวียนหั่วเจินจวินเป็นผู้จัดการเรื่องราวได้อย่างไร้ยางอาย แต่ก็ไม่คุ้มที่จะยืนคุยกันที่ประตูกับเจ้าสำนักลั่วสยา ต้องเข้าใจว่าข่าวลือในโลกของผู้บำเพ็ญเพียรนั้นแพร่งพรายไปรวดเร็วมาก หากศิษย์พี่ประมุขพรรครู้ก็จะถูกดุด่าอีก จึงไม่พูดให้มากความ เชิญจิ้งเหยียนเจินจวินเข้าไปด้านใน
เมื่อเข้ามาในตำหนักใหญ่ เสวียนหั่วเจินจวินก็นั่งลง โบกพัดในมือแล้วเอ่ย “ยามนี้สหายจิ้งเหยียนพูดได้แล้วกระมัง”
จิ้งเหยียนเจินจวินมุมปากกระตุก เอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “บุตรสาวของข้าดับสูญแล้ว”
“หา” เสวียนหั่วเจินจวินพลันตกตะลึง ลืมโบกพัดในมือ “เช่นนั้น ที่แท้สหายจิ้งเหยียนก็มาบอกข่าวร้าย เรื่อง เรื่องนี้ส่งลูกศิษย์มาก็ได้มิใช่หรือ เจ้ามาด้วยตนเองเช่นนี้…”
จิ้งเหยียนเจินจวินทนไม่ไหวอีกต่อไป ตบโต๊ะเสียงดัง “สหายเสวียนหั่ว เจ้าน่าจะรู้ สถานที่ที่ซิ่วเอ๋อร์ดับสูญ ก็คือพรรคเหยากวงของเจ้า!”
เสวียนหั่วเจินจวินหรี่ตาทั้งสองข้างลง “สหายจิ้งเหยียน วาจานี้เอ่ยซี้ซั้วไม่ได้ ยามนี้บุตรสาวของเจ้าควรจะรอการแต่งงานอยู่ที่สำนักลั่วสยามิใช่หรือ เหตุใดถึงมาตายที่เหยากวงของข้าได้กัน”
มาตายที่เหยากวงหรือ
ความโศกเศร้าของจิ้งเหยียนเจินจวินพลันแล่นขึ้นมาจุกอก ความโกรธเกรี้ยวเพิ่มขึ้น ชูมือขึ้นโยนของสิ่งหนึ่งออกไป พุ่งไปยังศีรษะของเสวียนหั่วเจินจวิน
เสวียนหั่วเจินจวินชูพัดขึ้น รับของที่ลอยมาเอาไว้
“เจ้าดูให้ดี นี่คือโคมดวงจิตดั้งเดิมประจำกายของซิ่วเอ๋อร์ หลักฐานอยู่ตรงนี้ พรรคอันสูงส่งของเจ้ายังคิดจะผลักไสอีกหรือ”
เสวียนหั่วเจินจวินกะพริบตาปริบ ไม่ผิด เป็นโคมดวงจิตประจำกายที่มอดดับไปแล้วจริงๆ
ปฏิกิริยาตอบสนองแรก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นในที่สุดสตรีผู้นี้ก็เสียชีวิตลงเสียที
เหลือบมองสีหน้าโศกเศร้าของจิ้งเหยียนเจินจวิน ก็พยายามทำเป็นเสียใจ “สหายจิ้งเหยียนโปรดระงับความโศกเศร้าด้วย”
จิ้งเหยียนเจินจวินแค่นเสียงด้วยความเย็นชา “นี่ไม่จำเป็นต้องให้สหายเสวียนหั่วมาปลอบ เป็นตายถูกฟ้าลิขิตเอาไว้แล้ว ข้าแค่อยากหาฆาตกรที่สังหารซิ่วเอ๋อร์ ให้นางได้ตายตาหลับ และไม่ถือโทษที่พ่อลูกอย่างพวกเราต้องแยกจากกัน! ส่วนฆาตกรที่สังหารนาง จะต้องเป็นศิษย์ของเหยากวงอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“สหายจิ้งเหยียนด่วนตัดสินเกินไปหรือเปล่า”
จิ้งเหยียนเจินจวินหัวเราะเสียงเย็น “เช่นนั้น เสวียนหั่วเจินจวินเรียกรวมผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปมา ให้ข้าตรวจสอบได้หรือไม่เล่า”
“คำขอของสหายจิ้งเหยียน ข้าตัดสินใจไม่ได้” เสวียนหั่วเจินจวินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาบีบเค้นของจิ้งเหยียนเจินจวิน พลางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
จิ้งเหยียนเจินจวินร่างกายสั่นเทิ้ม จนเกือบจะกระอักโลหิตออกมา แล้วเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “สหายเสวียนหั่วเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เหตุใดถึงเอาแต่พูดจาไร้สาระ เมื่อครู่เจ้าบอกว่า มีเรื่องอะไรถามเจ้าก็เหมือนกันมิใช่หรือ”
เสวียนหั่วเจินจวินพยักหน้าอย่างซื่อตรง “ใช่แล้ว ดังนั้นมีเรื่องอะไร เจ้าก็ถามต่อได้เลย”
ในที่สุดจิ้งเหยียนเจินจวินก็ทนไม่ไหว สะบัดแขนเสื้อ ศรขนนกสีแดงดอกหนึ่งปักลงไปบนโต๊ะ ปลายธนูสั่นเทาน้อยๆ
เสวียนหั่วเจินจวินมีแววตาเคร่งขรึม “สหายจิ้งเหยียนมีเจตนาใด”
จิ้งเหยียนเจินจวินยิ้มอย่างโศกเศร้า “เสวียนหั่วเจินจวินน่าจะรู้จัก นี่คือประกาศิตขนนกแดง พรรคอันสูงส่งของเจ้าและลั่วสยามีความสัมพันธ์อันดีกัน วันนี้ข้าใช้ฐานะของบิดามาสืบหาสาเหตุการตายของบุตรสาว ขอแค่สืบหาฆาตกร วันข้างหน้าสองพรรคของเจ้าและข้ายังคงเหมือนเก่า”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก จ้องเขม็งไปยังเสวียนหั่วเจินจวินแล้วเอ่ยว่า “ช่วงนี้ชื่อเสียงของพรรคเจ้ากำลังเลื่องลือ เป็นถึงพรรคอันดับหนึ่งมากด้วยชื่อเสียง แค่ลมพัดใบไม้ไหวก็เป็นที่จับตามองของโลกผู้บำเพ็ญเพียร แม้ว่าข้าจะมาด้วยเรื่องส่วนตัว แต่หากแม้แต่หาฆาตกรแทนบุตรสาวก็ยังทำไม่ได้ สำนักลั่วสยาก็ไม่มีความจำเป็นต้องดำรงอยู่แล้ว”
ไม่เหมือนกับ ‘พบหน้าประตูสำนัก’ ยามเมื่อประกาศิตขนนกแดงปรากฏออกไป นั่นหมายความว่าทั้งสองพรรคเกิดการขัดแย้งกัน จะตามล่าอย่างไม่ลดละ!
เสวียนหั่วเจินจวินไม่สนใจอีก เรื่องใหญ่เช่นนี้ไม่อาจล้อเล่นได้ นิ่งเงียบไปชั่วครู่ก็เรียกสอบสวน “ไปเชิญเจินจวินทุกท่านมาที่ตำหนักใหญ่”
ด้านนอกมีเสียงตอบรับของลูกศิษย์
บรรยากาศในยามนั้นตึงเครียดอยู่บ้าง
ไม่นานนัก กู้หลี จื่อซีเจินจวิน เหิงตั๋วเจินจวินก็มาถึงตามลำดับ
จิ้งเหยียนเจินจวินมีสายตาเย็นชา “เหตุใดถึงไม่เห็นลั่วหยางเจินจวินและชิงเฉิงเจินจวิน”
หากกล่าวว่าผู้ที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบุตรสาวมากที่สุดในเหยากวง ก็คือสองคนนี้ และเป็นผู้ที่เขาสงสัยมากที่สุด
เดิมทีจื่อซีเจินจวินกำลังสั่งสอนอบรมบุตรสาวฝาแฝดของตนเองที่ยอดเขารั่วสุ่ย จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อได้ยินโทนเสียงของจิ้งเหยียนเจินจวิน ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกไม่พอใจ “ทำไม สหายจิ้งเหยียน ไม่ใช่ว่าเพราะบุตรสาวอันเป็นที่รักของท่านเที่ยวตะโกนหาชิงเฉิงเจินจวินไปทั่วจนดับสูญแล้วหรือ ท่านถึงได้วิ่งมาขอยืนยันที่นี่ได้ สำนักลั่วสยาของพวกเจ้าไม่สนว่าเบื้องสูงจะไม่เถรตรงเบื้องล่างจะคดโกงมิใช่หรือ แต่อย่ามาหลอกว่าพรรคเหยากวงของข้าไม่มีผู้ใด!”
เสวียนหั่วเจินจวินส่งสายตาให้
“ศิษย์พี่เสวียนหั่ว ดวงตาของเจ้าเป็นตะคริวหรือ” จื่อซีเจินจวินถ่ายทอดเสียงมา
ก่อนที่จิ้งเหยียนเจินจวินจะได้เอ่ยอะไร เสวียนหั่วเจินจวินรีบเล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว
ในตำหนักพลันตกอยู่ในความเงียบสงัดไปชั่วครู่
กู้หลีเหลือบตามองประกาศิตขนนกแดงแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยปากว่า “ไม่ทราบว่าสหายจิ้งเหยียนคิดจะตรวจสอบอย่างไร”
“ในตอนที่ข้าจุดโคมดวงจิตดั้งเดิมประจำกายของบุตรสาวนั้น เคยได้โลหิตจากหัวใจของนางมาหยดหนึ่ง แบ่งเอาไปผสมในไส้ตะเกียงครึ่งหนึ่ง และผสมอยู่ในหยกพกอีกครึ่งหนึ่ง ขอแค่ผู้ที่คร่าชีวิตของนางเข้าใกล้เพียงครึ่งจั้ง หยกพกก็จะหยดโลหิตสดๆ ออกมา” จิ้งเหยียนเจินจวินเอ่ย
“ศิษย์พี่เสวียนหั่ว มอบหมายให้ข้านำลูกศิษย์ระดับก่อแก่นปราณมาที่ตำหนักใหญ่เถิด” กู้หลีเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เรื่องนี้…” เสวียนหั่วเจินจวินรู้สึกลังเลเล็กน้อย
จิ้งเหยียนเจินจวินรักบุตรสาวมาก เดิมคิดว่าเมื่อสุคนธ์ล่าวิญญาณหนึ่งวันหมดประสิทธิภาพ ก็จะไร้หนทางหาข้อพิสูจน์ได้ คาดไม่ถึงว่าจะมีหยกพกอีกชิ้นหนึ่ง
เมื่อหาตัวลูกศิษย์ที่ทำพบ หรือว่าจะต้องส่งลูกศิษย์ผู้นั้นให้
กู้หลีมีสีหน้าเยือกเย็น “ผู้บริสุทธิ์ก็คือผู้บริสุทธิ์ สหายจิ้งเหยียนต้องการตามหาฆาตกรเนื่องจากเสียบุตรสาวอันเป็นที่รักไป พวกเราก็ควรจะร่วมมือ”
เอ่ยอย่างง่ายๆ ประโยคหนึ่ง กลับกลบความลังเลของเสวียนหั่วเจินจวินไปได้ กลายเป็นว่าเหยากวงช่วยเหลือด้วยความเห็นอกเห็นใจ
เสวียนหั่วเจินจวินรู้ว่าปกติแล้วศิษย์น้องเหอกวงผู้นี้ไม่พูดมาก หากเอ่ยปากกลับไม่เคยล่วงเกิน จึงพยักหน้า
อย่างรวดเร็ว ในตำหนักใหญ่ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ
“สหายจิ้งเหยียน เชิญเถิด” กู้หลีพยักหน้าให้จิ้งเหยียนเจินจวินน้อยๆ
จิ้งเหยียนเจินจวินมีสีหน้าเคร่งขรึม ในมือกำกระดองเต่าเดินผ่านข้างกายของศิษย์ทุกคนไปตามลำดับ สุดท้ายก็กลับมายังตำแหน่งเดิม
เสวียนหั่วเจินจวินผ่อนลมหายใจออกมาเงียบๆ โบกมือใหญ่ๆ “เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”
ลูกศิษย์ระดับก่อแก่นปราณทุกคนพลันมองสบตากัน ล้วนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เสวียนหั่วเจินจวินคิ้วเฉียงขึ้น “พวกลูกกระต่าย ทำไม รอให้ข้าเชิญพวกเจ้าดื่มชาหรือ”
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอายุหลายร้อยปีถูกตำหนิว่าเป็นลูกกระตาย ทุกคนก็มุมปากกระตุก เส้นเอ็นสีเขียวปูดโปนออกมา ชั่วพริบตาก็ถอยออกไปจนเกลี้ยง
“ประมุขโถงอู๋ เชิญเข้ามา” เสียงของกู้หลีไม่สูงนัก อ่อนโยนและราบเรียบ กลับแทรกเข้าไปในหูของผู้บำเพ็ญเพียรที่รออยู่ด้านนอกตำหนัก ราวกับดังก้องอยู่ข้างหู
ผู้ที่เข้ามาคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้มีท่าทีสง่างามคนหนึ่ง มือถือคัมภีร์ม้วนหนึ่งเอาไว้
กู้หลีดูแล้วอ่อนล้าอยู่บ้าง พลางอธิบายกับจิ้งเหยียนเจินจวินอย่างราบเรียบ “นี่คือประมุขโถงปฏิบัติงานของพรรคข้า คัมภีร์ในมือเขาได้บันทึกรายชื่อลูกศิษย์ระดับก่อแก่นปราณที่ไม่ได้อยู่ในตำหนักเอาไว้”
เอ่ยจบก็ไม่รอให้จิ้งเหยียนเจินจวินตอบกลับ ก็หันไปเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ “อ่านเถิด”
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ยืดตัวตรง ยืนอยู่กลางตำหนัก อ่านออกมาทีละคำๆ อย่างชัดเจน สุดท้ายก็ลดมือลง รอฟังคำสั่ง
กู้หลีมองจิ้งเหยียนเจินจวิน แล้วเอ่ยพร้อมกับกลั้วหัวเราะอย่างอ่อนโยน “สหายจิ้งเหยียน จำเป็นต้องให้ข้าส่งบันทึกฐานะของลูกศิษย์ในพรรคข้าหรือไม่”
“ไม่จำเป็น” จิ้งเหยียนเจินจวินปฏิเสธทันที เดิมที่เขาก็ไม่คิดว่าบุตรสาวจะมาตายในเงื้อมมือของลูกศิษย์เหล่านี้ เมื่อครู่เป็นแค่การยืนยันเท่านั้น
“เช่นนั้น ต้องการให้ข้าเรียกลูกศิษย์ระดับสร้างรากฐานหรือไม่” กู้หลีเอ่ยถามอย่างราบเรียบ
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นกระทำเรื่องนี้ มีคนนอกมาตรวจสอบลูกศิษย์ภายในพรรค คงจะทำให้รู้สึกเหยียดหยามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่กู้หลีก็ทำอย่างไม่รีบร้อนและไม่เชื่องช้า ราวกับว่าสงสารอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น
จิ้งเหยียนเจินจวินเอ่ยด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “ไม่ต้องแล้ว ข้าเพียงอยากพบลั่วหยางเจินจวินและชิงเฉิน”
Next