นึกมาถึงเรื่องนี้ ช่างชือจื่ออดไม่ได้ที่จะลำพองใจอีกครั้ง นางหัวเราะเสียงเบาแล้วพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ไม่ทราบว่าหมอหญิงเจียงเป็นคนจากที่ไหนรึ ?”
เจียงป่าวชิงมีสีหน้าราบเรียบ ริมฝีปากบางของนางเปิดออกเล็กน้อย “ที่นี่แหละ”
ช่างชือจื่อยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นในหัวใจ หมอหญิงคนนี้เป็นสาวบ้านนอกที่อยู่ห่างไกลความเจริญอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ด้วย
ตอนที่ช่างชือจื่อนั่งรถม้ามาที่นี่ นางตกใจมาตลอดทาง อันตัวนางใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมมั่งคั่งและอบอุ่นเป็นพิเศษมาตั้งแต่เล็ก แล้วจะเคยมีภาพสถานที่ยากจนข้นแค้นแบบนี้อยู่ในความคิดได้ที่ไหนกัน ?
ช่างชือจื่อปิดปากขำเบา ๆ
หลิงเฟิ่งได้ฟังที่เจียงป่าวชิงพูด นางก็มีความคิดเช่นเดียวกับคุณหนูของนาง และดูถูกเจียงป่าวชิงมากยิ่งขึ้นเช่นกัน นางพูดขึ้นยิ้ม ๆ “จะว่าไปแล้วหมอหญิงเจียงหน้าตาผิวพรรณก็ดี แต่ทำไมถึงมาทำอาชีพหมอหญิงได้ล่ะ ? แค่หน้าตาจิ้มลิ้มนี้ของหมอหญิงเจียง คิด ๆ ดูแล้วหมอหญิงเจียงสามารถแสวงหาอนาคตที่ดีได้เลยนะ”
คำพูดนี้พูดได้อย่างไม่เรียบร้อยเอามาก ๆ นี่ไม่ต่างจากการด่าอ้อม ๆ
แต่มันกลับเป็นคำพูดที่ตรงใจช่างชือจื่อมาก
ช่างชือจื่อมองหลิงเฟิ่งอย่างคลุมเครือ แต่ในสายตาของนางกลับเต็มไปด้วยความชื่นชม คำพูดบางคำ นางที่เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ไม่สะดวกพูดมันออกมาสักเท่าไหร่ แต่หลิงเฟิ่งเป็นสาวใช้ มันเหมาะมากแล้วที่หลิงเฟิ่งจะเป็นคนพูด
เจียงป่าวชิงเอียงหน้ามองหลิงเฟิ่ง
หลิงเฟิ่งรู้ว่าเจียงป่าวชิงเป็นแค่หญิงสาวชาวบ้านในหุบเขานี้เท่านั้น นางจึงมีความมั่นใจว่าพูดอะไรไปก็คงไม่เป็นไร “หมอหญิงเจียง เจ้ามองข้าทำไม ?”
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นนิ่ง ๆ “แม่นางหลิงเฟิ่งอย่าได้เดาชีวิตคนอื่นด้วยความคิดของตัวเองสิ บางคนมีความรู้ตื้น ๆ จึงคิดว่าใบหน้าคือทุกสิ่ง และคิดว่าการปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงเป็นการแสวงหาอนาคตที่ดี หากว่ายึดตามความคิดของแม่นางหลิงเฟิ่ง งั้นคุณหนูของเจ้าก็หน้าตาจิ้มลิ้มดีเช่นกัน ในยามปกตินางคงไม่ต้องเรียนรู้อะไร เพราะถึงยังไงใช้แค่หน้าตาก็สามารถแสวงหาอนาคตที่ดีได้อยู่แล้ว แม่นางหลิงเฟิ่งเองก็คิดแบบนี้เหมือนกันใช่หรือเปล่าล่ะ ?”
ช่างชือจื่อคิดไม่ถึงว่าเจียงป่าวชิงจะสามารถเชื่อมโยงเรื่องนี้มาที่นางได้โดยที่นางไม่ได้พูดอะไรสักคำ ตอนนี้สีหน้าของนางย่ำแย่มาก
เจียงป่าวชิงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ ครู่ต่อมานางตัดสินใจพูดเป็นครั้งสุดท้าย “และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนในโลกที่จะมีความรู้ตื้น ๆ ขาดความรู้ แต่นึกว่าตนถูกต้องเหมือนแม่นางหลิงเฟิ่ง”
คำพูดของเจียงป่าวชิงเหมือนกับการตบหน้าหลิงเฟิ่งสามครั้งอย่างไรอย่างนั้น
หลิงเฟิ่งตาแดงทันที นางรีบคุกเข่าลงตรงหน้าช่างชือจื่อ “คุณหนูเจ้าขา ข้าน้อยไม่ได้คิดเช่นนั้นนะเจ้าคะ โปรดคุณหนูช่วยมองให้ชัดเจนด้วยเจ้าค่ะ”
ช่างชือจือยังไม่ทันได้พูดอะไร เจียงป่าวชิงก็ชิงพูดขึ้นก่อน “เจ้าไม่ได้คิดแบบนั้น งั้นเจ้าถามข้าทำไมล่ะ ? ห๊ะ! ทำไม แม่นางหลิงเฟิ่ง ไม่ใช่ว่าเจ้าหมายความว่าถ้าคนเราหน้าตางดงามดีก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไร รอวันปีนขึ้นบนกิ่งไม้สูงและปรนนิบัติผู้อื่นด้วยความงามหรอกรึ ? ยังจะคิดแสวงหาอนาคตที่ดีอีกนะ โธ่! ได้ยินคำพูดนี้แล้วข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนจริง ๆ”
แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะมีความแหบแห้งเล็กน้อย แต่มันยังคงน่าฟังมาก นางพูดคำพูดนี้ออกมาอย่างนิ่ง ๆ เมื่อเทียบกับการคุกเข่าและทำทีใกล้จะร้องไห้ของหลิงเฟิ่งแล้ว มันต่างกันราวกับฟ้ากับดิน
สาวใช้คนนี้คงอยากแสดงความสามารถต่อหน้าคุณหนูของตน จึงย่ำยีนางอย่างไม่หยุดหย่อน
ตอนนี้เจียงป่าวชิงกำลังป่วย สภาพจิตใจก็แสนย่ำแย่ นางไม่อยากตามใจใคร เอาเข้าจริงนางเองก็ยอมรับว่าวันนี้พูดออกมาตามอำเภอใจมากไปหน่อย
สีหน้าของหลิงเฟิ่งกับช่างชือจื่อหม่นหมองอย่างที่สุด
คนที่ออกมาจากในบ้านสูงส่งร่ำรวยอย่างพวกนางถือดีเรื่องฐานะจึงคุ้นเคยกับการพูดแบบซ่อนปริศนาคำทายและตอบรับผู้คนโดยสงวนท่าทีไว้เสมอ แน่นอนว่าต่างจากเจียงป่าวชิงที่เปิดเผยคำพูดออกมาตรง ๆ ด้วยท่าทางสบาย ๆ นั่นเป็นการกระแทกคำพูดใส่หน้าคนอื่นโดยตรง
ซึ่งกระแทกได้เจ็บแสบมากด้วย
หลิงเฟิ่งตระหนักได้อย่างหนึ่งว่าหมอหญิงที่อยู่ในชนบทห่างไกลความเจริญคนนี้ต่างจากพวกเด็กสาวที่เคยใช้คำพูดดูถูกกับนางที่บ้านโดยสิ้นเชิง
ช่างชือจื่อฝืนยิ้ม นางพยายามเค้นเสียงพูดออกมา “สาวใช้ของข้าไม่รู้จักเลือกใช้คำพูด ทำให้หมอหญิงเจียงขำขันเสียแล้วสิ”
หากพูดตามหลัก ถ้าเป็นคนทั่วไปในตอนนี้คงยอมลงให้แล้ว แต่เจียงป่าวชิงกลับเงยหน้ามองช่างชือจื่อแล้วพยักหน้าตอบรับ “เหอะ! นางทำให้รู้สึกขำขันจริง ๆ นั่นแหละ นี่คุณหนูช่าง เจ้าควรควบคุมสาวใช้ของเจ้าให้ดี ๆ หน่อย มิเช่นนั้นคนอื่นคงไม่ได้หัวเราะเยาะที่สาวใช้ของเจ้าไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่พวกเขาจะหัวเราะเยาะเจ้าที่ควบคุมคนใช้ไม่ได้ต่างหากล่ะ คนที่จะขายหน้าคือใคร เจ้าลองคิดดูดี ๆ ก็แล้วกัน”
ช่างชือจื่อตกตะลึงทันที ร่างของนางในตอนนี้เริ่มสั่นเทา
ไอ้คนชั้นต่ำคนนี้อยู่ในสถานะอะไร เหตุใดจึงกล้าสั่งสอนนางอย่างผู้เหนือกว่า ?
“เจ้า! นี่เจ้ากล้าไร้มารยาทกับคุณหนูของข้าอย่างนั้นรึ ?!” หลิงเฟิ่งแทบกระโดดโหยงขึ้นจากพื้น
เจียงป่าวชิงพิงหมอนแล้วหลับตาลง ณ ตอนนี้นางไม่อยากสนใจสองคนนี้แล้ว “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าทั้งสองกลับไปเถอะ”
และแล้ว หนึ่งคุณหนูหนึ่งคนใช้ ถูกเจียงป่าวชิงทำให้โมโหจนหน้าเขียวตัวสั่น
ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่ช่างชือจื่อถูกคนอื่นทำให้อับอายขายขี้หน้าอย่างหนักเช่นนี้ ที่ผ่านมา ใครเห็นนางเป็นต้องเรียกนางด้วยความเคารพว่า ‘คุณหนู’ กันทั้งนั้น มีแค่หมอหญิงต่ำช้าคนนี้ที่กล้าพูดคำพูดดูถูกสารพัดกับนาง
ช่างชือจื่อรู้สึกแค่ว่าตัวเองถูกทำให้อับอายขายหน้า นางทั้งเป็นทุกข์ทั้งโมโหจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ผ่านไปพักใหญ่กว่าที่นางจะตั้งสติควบคุมอารมณ์ได้ และนางก็คายคำพูดในใจออกมาจนหมดสิ้น “นี่หมอหญิงเจียง เจ้าปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ หรือว่าเจ้าไม่กลัวพี่ชายกงกล่าวโทษเจ้า ? ที่เจ้าไม่เกรงกลัวใด ๆ นี่คือเจ้าพึ่งรูปสมบัติ และอยากเดิมพันว่าใครสำคัญกว่ากันในใจของพี่ชายกงใช่ไหมล่ะ ?!”
เจียงป่าวชิงชะงักไปเล็กน้อย แต่มุมปากของนางกลับยกเป็นรอยยิ้มที่ดูเย็นเยียบ
นางไม่เกรงกลัวใด ๆ จริง ๆ ก็ในเมื่อพูดกับกงจี้อย่างชัดเจนไปแล้ว แล้วนางจะกลัวอะไรอีกล่ะ
รอยยิ้มเยียบเย็นของเจียงป่าวชิงกำลังเยาะเย้ยความโง่เขลาของช่างชือจื่อ แต่ช่างชือจื่อเข้าใจผิดว่าเป็นการประท้วง
“เหอะ ๆ ข้าจะบอกอะไรให้เจ้ารู้ เจ้าเลิกคิดประจบและแอบอิงพี่ชายกงซะ!” สีหน้าของช่างชือจื่อดำคร่ำครึ นางลุกขึ้นชี้หน้าเจียงป่าวชิงอย่างไม่สนใจมารยาทใด ๆ อีกแล้ว “พี่ชายกงเกิดมาในตระกูลสูงส่ง แล้วเจ้าล่ะเป็นตัวอะไร ทำไมกล้าคิดวางแผนปีนขึ้นกิ่งไม้สูง คิดตีสนิทกับเขา ?!”
เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “หึ ๆ ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้สูง คิดตีสนิทกับพี่ชายเจ้าไม่ได้ แล้วเจ้าจะวิ่งแจ้นมาเอะอะโวยวายที่นี่ทำไม ? คุณหนูช่างไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้มีเจตนาจะรบกวนความชอบพอกันของพวกเจ้าหรอก เจ้ากลับไปเถอะ และก็ไม่ต้องวิ่งแจ้นมาลองเชิงอะไรแล้วแหละ”
ในใจของช่างชือจื่อเต็มไปด้วยไฟโกรธ แต่ตอนที่นางได้ยินคำว่า ‘ชอบพอกัน’ ไฟโกรธในใจก็ค่อย ๆ มอดดับลงไปไม่น้อยเลย นางมองเจียงป่าวชิงด้วยความสงสัย
ไม่ใช่สิ… ถ้าหากว่าไอ้คนชั้นต่ำคนนี้ทำเหมือนที่มันพูดจริง ๆ ที่ว่าไม่ได้มีเจตนารบกวนนางกับพี่ชายกง แล้วทำไมหลังจากที่นางเป็นไข้หวัด ไอ้คนชั้นต่ำนี่ถึงต้องโกหกว่าตัวเองก็เป็นไข้หวัดเช่นกัน และให้คนมาหลอกเอาพี่ชายกงไปจากนางล่ะ ?! และอีกอย่าง ทักษะการรักษาโรคของหมอชีก็ไม่แย่เลย กินยาไม่กี่มื้อนางก็ดีขึ้นมากแล้ว ถึงขนาดสามารถถือโอกาสออกมาเดินเล่นในวันที่อากาศดีได้ด้วย แต่พอดูเจียงป่าวชิง ถ้าหากว่าเป็นไข้หวัดจริง ๆ ทำไมนางถึงยังป่วยหนักเช่นนี้อยู่ ? ไม่ใช่ว่านางกำลังแสร้งทำเป็นป่วยเพื่อที่จะได้รับความสนใจจากพี่ชายกงหรอกนะ ?
ช่างชือจื่อจ้องเจียงป่าวชิงตาเขม็ง นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงเย็นชากลับดังเข้ามาจากด้านนอกประตูเสียก่อน “ความชอบพอกันอะไร ?”
ช่างชือจื่อหันกลับไปด้วยความดีใจ นางเห็นกงจี้ในชุดคลุมสีขาวเงิน ๆ แบบสีพระจันทร์ก้าวเข้าประตูมาด้วยสีหน้าเย็นชา
ช่างชือจื่อรีบแสดงท่าทางอ่อนแอออกมาให้เห็นทันที นางทำเป็นเดินโซซัดโซเซไปยืนข้าง ๆ กงจี้ ต้องการล้มลงไปซบอ้อมกอดของเขา “อ่า… พี่ชายกง…”
กงจี้หลีกไปด้านข้าง เขามองหลิงเฟิ่งแล้วพูดขึ้นเสียงเย็น “หลิงเฟิ่ง! คุณหนูของเจ้ายังไม่หายดี เจ้ากลับปรนนิบัตินางโดยการพาออกมาเช่นนี้รึ ?”