วันนี้อาหารค่ำที่ครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่ใช้ต้อนรับเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานมีหลากหลายกว่าปกติมาก เจียงเหล่าหวู่สั่งให้ภรรยาเชือดแม่ไก่แก่ที่ไม่ออกไข่เป็นเวลานานในบ้านมาทำมื้ออาหารเลี้ยงแขก นางมีมันฝรั่งต้มมากมายจัดคู่กับเห็ดที่เก็บมาจากภูเขาซึ่งผ่านการตากแห้งเรียบร้อยแล้ว และยังมีน้ำต้มกระดูกไก่หม้อใหญ่ส่งกลิ่นหอมฉุยทั่วครัว
บนโต๊ะ นอกจากข้าวสวยร้อน ๆ ยังมีขนมเปี๊ยะข้าวฟ่างสองสามถาดและผักดองสองสามจานอีกด้วย
สำหรับครอบครัวชาวนา มื้อนี้เรียกได้ว่ามีอาหารหลากหลายมาก
ทว่าตอนที่รับประทานกันไปได้ครึ่งหนึ่ง เจียงเหล่าหวู่เอ่ยขึ้นต่อหน้าทุกคนว่า “ดูอาหารบนโต๊ะสิ ทั้งข้าวทั้งเนื้อ ถ้าหากว่าเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน ข้าไม่กล้านึกถึงมันด้วยซ้ำ”
ก็ใช่น่ะสิ เมื่อครึ่งปีก่อนสมาชิกในครอบครัวเขาเยอะแต่ที่ดินทำสวนมีน้อย อีกทั้งสภาพอากาศแปรปรวนทำให้การเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ดีติดต่อกันหลายปี ข้าวต้มในบ้านก็จางจนเกือบสามารถมองเห็นเงาของใบหน้าที่ชะโงกดูถ้วยได้อยู่แล้ว พวกเด็ก ๆ เองก็อดมื้อกินมื้อลำบากมาก
ตอนนี้ดีขึ้นมาหน่อย มีที่ดินห้าไร่ที่เจียงป่าวชิงให้เช่า ค่าเช่าก็ยังถูกแสนถูก นี่ทำให้ครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่หายใจคล่องขึ้นมาก ราวกับเป็นการต่อชีวิตให้กับทั้งครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่อย่างไรอย่างนั้น
เจียงจืออายุน้อยแต่ปากของเขาไวมาก เขาพูดขึ้น “ข้ารู้… ข้ารู้… เพราะพี่ป่าวชิงให้บ้านเราเช่าที่ดินของนางไงเราเลยมีของกินเยอะ”
เจียงเหล่าหวู่ลูบศีรษะหลานชายคนเล็กอย่างชื่นชมแล้วพูดขึ้น “ใช่ เพราะป่าวชิงกับหยุนชานช่วยครอบครัวของเราไว้ไงล่ะ”
เจียงป่าวชิงรีบพูดขึ้นทันที “ท่านปู่ห้าพูดจาให้คำชมข้าเกินไปแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในวันนี้เป็นผลมาจากการทำงานหนักของท่านอากับพวกพี่ ๆ ทั้งหลายมากกว่า ข้าแค่ยื่นข้อเสนอให้นิดหน่อยก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
เจียงเหล่าหวู่เห็นเจียงป่าวชิงถ่อมตัวก็รู้สึกพึงพอใจต่อเจียงป่าวชิงมากยิ่งขึ้น เขาถามเจียงป่าวชิงโดยใช้จังหวะตอนที่เขายังอารมณ์ดี “ป่าวชิง เราไม่ถือว่าเป็นคนนอก เพราะฉะนั้นเราจะไม่พูดอ้อมค้อม วันนี้ท่านปู่ห้าอยากถามเจ้า นี่เจ้าก็อายุสิบสี่ปีแล้ว ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ ข้าคิดว่าสมควรแนะนำคนให้เจ้าแล้ว”
เจียงป่าวชิงกลัวว่าเจียงเหล่าหวู่จะพูดตรงเกินไป ถ้านางปฏิเสธมันจะทำให้ทั้งสองครอบครัวตกอยู่ในบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจจึงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ดูท่านปู่ห้าพูดสิเจ้าคะ ข้าเพิ่งอายุสิบสี่เอง ยังเล็กอยู่เลย ข้ายังอยากอยู่ที่บ้านอีกสักสองสามปีเจ้าค่ะ แต่พี่สามอายุมากแล้ว ข้าเห็นด้วยนะเจ้าคะถ้าหากว่าจะแนะนำคนให้เขา ท่านปู่ห้าดูสิ อาหญิงใหญ่กับอาหญิงสองเป็นคนดีมาก ท่านห้ามลำเอียงนะ ถึงตอนนั้นท่านก็ต้องหาภรรยาที่ดีเหมือนอาหญิงใหญ่กับอาหญิงสองให้กับพี่สามด้วยเช่นกัน และพอถึงตอนนั้น ข้าจะมาดื่มเหล้างานแต่งงานแน่นอนเลยเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ทั้งชี้ให้เห็นว่าตัวเองอายุยังน้อยจึงยังไม่อยากแต่งงาน ถือโอกาสเอ่ยชมอาสะใภ้ทั้งสองไปในตัว และแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเจียงเฟย คำพูดนางเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบที่สุด
เจียงเหล่าหวู่ตกตะลึงเลยทีเดียว
ภรรยาของเจียงเหล่าหวู่แสดงความดีใจออกมาให้เห็นได้จากบนหางคิ้ว อยู่ ๆ นางก็รู้สึกถูกชะตากับเจียงป่าวชิงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ดูยังไงเจียงป่าวชิงก็เป็นเด็กผู้หญิงที่ฉลาดและน่ารักคนหนึ่ง นางอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
“ไอ้ยา! ดูปากของป่าวชิงสิ พูดจาได้น่าฟังมาก ถึงตอนที่พี่สามของเจ้าแต่งงาน แน่นอนว่าขาดไม่ได้ที่จะเรียกให้เจ้ามาสนุกด้วยกัน”
ทั้งครอบครัวหัวเราะและหยอกล้อเจียงเฟยอย่างมีความสุข
เจียงเฟยอดไม่ได้ที่จะแอบยกนิ้วโป้งให้เจียงป่าวชิง
นางพูดจาได้อย่างคล่องแคล่วและตรงไปตรงมามาก
คนที่กลุ้มใจเห็นทีจะมีแค่เจียงเหล่าหวู่คนเดียว เขาถลึงตาใส่ภรรยาที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ตอนนี้ภรรยาของเขาสมหวังแล้ว นางจึงไม่สนใจสายตาของเจียงเหล่าหวู่ แต่กลับยิ้มตอบเขา ทำให้เจียงเหล่าหวู่โมโหมาก
แต่ไม่นานนัก เจียงเหล่าหวู่ก็คิดได้ เห็นทีว่าเด็กสองคนนี้คงไม่มีวาสนาให้เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ อย่างที่เขาว่ากันว่า แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน เฮ้อ… ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ ในอนาคตยังมีโอกาสให้ครอบครัวของเขาตอบแทนเจียงป่าวชิงอีกตั้งมากมาย
ตอนที่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานออกมาจากในบ้านของเจียงเหล่าหวู่ ดวงจันทร์ขึ้นถึงบนยอดต้นหลิวแล้ว
เจียงเหล่าหวู่ไม่วางใจ เขาสั่งให้ลูกตนโตพาสองพี่น้องเจียงไปส่งที่บ้าน จนกระทั่งส่งถึงหน้าประตูบ้าน เขาถึงจะกลับไป
เจียงหยุนชานมองดูน้องสาวที่ยากจะปิดบังความงามของนางภายใต้แสงจันทร์ เขาพลันครุ่นคิดในใจว่าน้องสาวของเขายิ่งโตยิ่งสวย และคิดว่าต่อไปจะต้องมีเหล่าชายมากหน้าหลายตามาสู่ขอนางที่บ้านอย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้ว! เขาจะต้องสอบให้ได้ผลงานกับชื่อเสียงดี ๆ เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่มีอำนาจมากพอจะสามารถหนุนหลังน้องสาวได้
……
วันต่อมา เจียงป่าวชิงเดินถือตะกร้าผักไปซื้อผักในหมู่บ้าน นางบังเอิญเห็นเจียงเหมยฮัวที่สีหน้าดูดีกว่าก่อนหน้านี้มากมาซื้อของอยู่แถวนั้น
เจียงเหมยฮัวในวันนี้สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ มีปิ่นปักผมรูปดอกเหมยปักไว้อยู่ระหว่างมวยผมสวย
เจียงเหมยฮัวเห็นเจียงป่าวชิงก็ตาเป็นประกายทันที แม้สีหน้าของนางจะยังคงไร้ความรู้สึกเล็กน้อย แต่ก็มีราศีมาหน่อยแล้ว
เจียงป่าวชิงพยักหน้าให้เจียงเหมยฮัวนิ่ง ๆ
เจียงเหมยฮัวไม่เข้าใจว่าทำไมเจียงป่าวชิงถึงปฏิบัติกับนางอย่างเย็นชาแบบนี้ แววความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง และนางก็ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
ครู่ต่อมาเจียงเหมยฮัวนึกถึงที่โจซื่อไปหานางเมื่อวาน พี่สะใภ้ของนางแสดงท่าทางอ่อนโยนที่หาได้ยากกับนาง
“เหมยฮัว อันที่จริงคนที่บ้านอยากช่วยเจ้าเกี่ยวกับเรื่องระหว่างเจ้ากับเมิ่งเถี่ยมาโดยตลอด เพียงแต่พวกเราไม่มีกำลังพอ เพราะถึงยังไง ลูกสาวที่แต่งงานออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออกจากบ้านไปแล้ว เจ้าเองก็รู้หนิ” โจซื่อแสดงท่าทีเตือนนางด้วยความหวังดี “แต่เจ้าเองก็ต้องเข้าใจความลำบากใจของคนในบ้านด้วยเช่นกันนะ”
เจียงเหมยฮัวลังเล แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไร
โจซื่อยิ้มพลางจับมือเจียงเหมยฮัวและพูดพล่ามถึงสิ่งดี ๆ มากมาย ใจความสำคัญคือที่บ้านเลี้ยงนางให้โตมาขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นางต้องนึกถึงครอบครัวอยู่เสมออะไรทำนองนั้น
เจียงเหมยฮัวรู้สึกเวียนศีรษะเพราะคำพูดของโจซื่อ ทว่าโจซื่อไม่สนใจอาการของฝ่ายตรงข้าม นางพูดขึ้นเพื่อให้เจียงเหมยฮัวรู้ถึงวัตถุประสงค์ในการมาครั้งนี้
“เจียงป่าวชิงช่วยเจ้าเกี่ยวกับเรื่องเมิ่งเถี่ยในครั้งนี้ คนที่บ้านจึงตั้งใจจะใช้สิ่งนี้เพื่อบรรเทาความตึงเครียดระหว่างเรากับเจียงป่าวชิง แต่เจ้าก็รู้ว่าที่บ้านขัดแย้งกับเจียงป่าวชิงมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ข้ากับแม่ก็ไปที่บ้านนางตั้งสองครั้งสองคราแล้ว แต่กลับถูกนางไล่กลับออกมา เราเลยคิดกันว่าจะเอาแบบนี้ ครั้งนี้เจ้าช่วยออกหน้าเชิญเจียงป่าวชิงไปกินอาหารที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ที่เปิดโดยครอบครัวของเหล่าหั่วที่หมู่บ้านใกล้เคียงหน่อยสิ ถึงตอนนั้นข้ากับแม่จะออกหน้าอีกครั้ง เหมือนที่คนโบราณกล่าวว่า ความแค้นเคืองพึงละมิพึงผูก ยังไงล่ะ”
เจียงเหมยฮัวรู้ถึงความแค้นระหว่างครอบครัวตัวเองกับเจียงป่าวชิงดี ทันทีที่นางได้ยินดังนั้นก็คิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี เจียงป่าวชิงอุตส่าห์ช่วยนางไว้ นางควรช่วยให้เจียงป่าวชิงดีกับที่บ้านอีกครั้ง ถ้าทำสำเร็จนี่ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนเจียงป่าวชิง
……
คิดมาถึงตรงนี้ เจียงเหมยฮัวก็มองข้ามท่าทางเย็นชาของเจียงป่าวชิงแล้วพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ป่าวชิง ข้ากำลังจะไปหาเจ้าอยู่พอดีเลย”
เจียงป่าวชิงมองเจียงเหมยฮัวก่อนจะถาม “ป้าเหมยฮัวมีธุระอะไรหรือเจ้าคะ ?”
เจียงเหมยฮัวถูมือไปมาแล้วพูดขึ้นช้า ๆ “คือ… ระ… เรื่องสามีข้าก่อนหน้านี้ต้องขอบใจเจ้ามาก ข้าแค่อยาก เอ่อ… แค่อยากเลี้ยงข้าวเจ้า จะได้ถือว่าเป็นการขอบคุณความช่วยเหลือของเจ้าด้วยยังไงล่ะ”
แน่นอนว่าเจียงป่าวชิงปฏิเสธ นางชะงักไปเล็กน้อย สุดท้ายก็เตือนเจียงเหมยฮัว “ไม่ต้องหรอก ข้าเองก็ไม่ได้ออกแรงอะไรมาก อ้อ ป้าเหมยต้องระวังเกี่ยวกับการออกลายอีกครั้งของเมิ่งเถี่ยด้วยเช่นกันนะเจ้าคะ”
เจียงเหมยฮัวยิ้มแห้ง ๆ “คงไม่หรอก ช่วงนี้สามีข้าดีกับข้ามาก เจ้าดูสิ เขายังซื้อปิ่นปักผมให้ข้าอีกด้วย” พูดเสร็จ นางก็ลูบคลำปิ่นปักผมรูปดอกเหมยที่ปักอยู่ตรงมวยผมนั้น
เจียงป่าวชิงไม่รู้จะบอกเจียงเหมยฮัวอย่างไรถึงความแตกต่างระหว่างความรุนแรงในครอบครัวศูนย์ครั้งกับหนึ่งหมื่นครั้ง
ตอนนี้เมิ่งเถี่ยรู้ว่าร่างกายของตัวเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายมีปัญหา เขากำลังรู้สึกขาดความมั่นใจ แน่นอนว่าเขาต้องปลอบขวัญนางเป็นธรรมดา
ทว่าถ้าต่อไปเขาดื่มเหล้าและหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาระบายอารมณ์กับเจียงเหมยฮัวอีกล่ะ ? อีกอย่าง ซื้อปิ่นปักผมให้ก็สามารถเรียกได้ว่าทำดีด้วยแล้วหรือ ? ซื้อปิ่นปักผมให้ก็สามารถลบเลือนสิ่งเลวทรามที่เมิ่งเถี่ยเคยทำก่อนหน้านี้ได้แล้วอย่างนั้นรึ ?
แต่เมื่อเจียงป่าวชิงมองใบหน้ายิ้มแย้มที่พึงพอใจของเจียงเหมยฮัว นางก็ไม่รู้ว่าควรพูดคำพูดพวกนี้ออกไปอย่างไรดี
นางเลือกที่จะเงียบอย่างเดียว
แต่เจียงเหมยฮัวกลับคิดว่าเจียงป่าวชิงตอบตกลงจึงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นก็เอาตามนี้เลย พรุ่งนี้ช่วงเที่ยง ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมของครอบครัวเหล่าหั่วนะ อ้อ ข้ายังต้องไปเอางานเย็บปักถักร้อยมาทำ ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”
พูดเสร็จ เจียงเหมยฮัวก็จากไปอย่างรวดเร็ว