บทที่ 485 นางออกไปตามหาเจ้า
สีหน้าของอวี้เฟิงเปลี่ยนไปในทันที ก่อนรีบเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“เมื่อช่วงค่ำ นางเห็นว่าเจ้ายังไม่กลับมา ก็ดูร้อนใจ ก่อนจะรีบออกไปตามหาเจ้า” เฉียวเทียนช่างพูดอย่างสุขุม ดูเหมือนว่าคำอธิบายของชายหนุ่มจะทำให้สีหน้าของอวี้เฟิงนั้นเปลี่ยนไป
“บ้าเอ๊ย” อวี้เฟิงหมุนตัวก่อนจะวิ่งออกไป
ขณะเดียวกันนั้นเอง มีใครบางคนจุดพลุสัญญาณขึ้นมาจากตรงบริเวณด้านหลังของภูเขา
“อวี้เฟิง นางอยู่ด้านหลังภูเขา และน่าจะเดินลึกเข้าไปในภูเขาลูกนั้น” มันเป็นพลุสัญญาณของชิงเซวียน ดูเหมือนว่าทั้งคู่กำลังเจออันตราย
“ยายบื้อเอ๊ย” อวี้เฟิงขบฟันกรอด
ตอนนี้อวี้เฟิงรู้สึกเสียใจกับนิสัยของตัวเอง ตอนที่พวกเขาอยู่ในสำนักอวี้หลิน หากเขาอารมณ์ไม่ดี ก็มักจะออกไปล่าสัตว์ในป่าลึกเสมอ ครั้งนี้ เหมยรั่วหลินคงคิดว่าเขาน่าจะเดินลึกเข้าไปในภูเขาลูกนั้นเป็นแน่
‘ยายโง่ นางเป็นคนที่ไม่เก่งเรื่องเส้นทางในภูเขาลึก แต่ก็ยังจะเข้าไปในนั้นอีก’
“ตั้งสติก่อนเถอะ ดูเหมือนว่านางและชิงเซวียนจะตกอยู่ในอันตราย พวกเราต้องรีบเข้าไปแล้ว ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” เฉียวเทียนช่างเอ่ยขึ้น หากสองคนนั้นไม่ตกอยู่ในอันตราย ชิงเซวียนก็คงจะไม่จุดพลุสัญญาณขึ้นมาเช่นนี้แน่
ด้านหลังของภูเขาลูกนี้เต็มไปด้วยเสือ หมี หมาป่า และสัตว์ป่าดุร้ายมากมายหลายชนิด
“ข้าจะตามพวกเจ้าไปด้วย” หนานกงเยี่ยนยืนขึ้นและเดินไปอยู่ข้างๆ พวกเขา
“ไปกันเถอะ”
ชายทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังด้านหลังของภูเขา
ขณะนั้นเอง ชิงเซวียนและเหมยรั่วหลินที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขาลูกนี้ก็กำลังถูกฝูงหมาป่าสีเทา และเสือสองตัวล้อมเอาไว้
เหมยรั่วหลินมิได้หวาดกลัวเสือและหมาป่าแต่อย่างใด หากนางพกกระบี่อ่อนของตนออกมาด้วย ก็คงจะจัดการหมาป่าที่รายล้อมอยู่สิบกว่าตัวนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ทว่า ตอนที่ออกมานั้น นางมิได้หยิบอะไรมาด้วยเลย และหากนางจะสู้กับพวกมันมือเปล่า ก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
“แม่นางเหมย หาโอกาสที่จะหลบหนีเถอะ ข้าได้ยิงพลุสัญญาณไปแล้ว อีกไม่นาน นายท่านและคนอื่นๆ ก็จะตามหาพวกเราเจอแน่” ชิงเซวียนมองเหมยรั่วหลินและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หากเจ้ายังอยู่ เราก็ต้องอยู่ด้วยกัน” ใบหน้าอันงดงามของเหมยรั่วหลินดูเคร่งเครียดอย่างมาก
นางเป็นสาเหตุที่ทำให้ชิงเซวียนถูกฝูงหมาป่ารายล้อมอยู่เช่นนี้ นางจึงไม่มีทางหนีไปก่อนเด็ดขาด
เหล่าสัตว์ร้ายไม่ยอมให้ทั้งสองคนพูดคุยกันนานนัก ฝูงสัตว์ป่าเริ่มเข้าโจมตีในตอนที่พวกเขาเสียสมาธิ เสือทั้งสองตัววิ่งไปประกบด้านหน้าและด้านหลัง ก่อนจะส่ายหางราวกับว่ากำลังรอให้ฝูงหมาป่ารุมโจมตีเหมยรั่วหลินและชิงเซวียนก่อน แล้วพวกมันจึงค่อยร่วมโจมตี
เมื่อกลุ่มของเฉียวเทียนช่างเข้ามาในภูเขาลึก และได้ยินเสียงหอนของฝูงหมาป่า ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้ว “นั่นเป็นเสียงของฝูงหมาป่า ดูเหมือนว่าจะมีจำนวนมากทีเดียว”
“รีบเข้าเถอะ” ตอนนี้ อวี้เฟิงรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ทำไมเขาต้องหนีออกมาด้วย หรือต่อให้เขาหนีออกมา ก็น่าจะกลับไปให้เร็วกว่านี้ เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงจอมบื้อคนนั้นต้องออกตามหาเขา
ชายทั้งสามคนเร่งฝีเท้า และเมื่ออวี้เฟิงมาถึง เขาก็แผ่รังสีความน่ากลัวออกมาในทันใด
เหมยรั่วหลินมีบาดแผลตรงใบหน้า แขนของนางเลือดไหล นอกจากนี้ หมาป่าตัวหนึ่งยังกัดข้อมือของนางอีกด้วย
“ไอ้หมาเวรเอ๊ย” อวี้เฟิงขบฟันกรอด ก่อนจะกระโจนเข้าไปเตะหมาป่าที่อยู่ข้างคนรักของตนจนลอยกระเด็นไป จากนั้นก็กวัดแกว่งดาบในมือเพื่อสังหารหมาป่าเหล่านั้น
เฉียวเทียนช่างรีบวิ่งเข้าไปและเห็นว่าชิงเซวียนบาดเจ็บสาหัส เขาจึงมอบโอสถรักษาให้เขาไปหนึ่งเม็ด พร้อมกับส่งให้อวี้เฟิงอีกหนึ่งเม็ด
อวี้เฟิงป้อนโอสถเม็ดนั้นใส่ปากของเหมยรั่วหลิวด้วยอาการสั่นเทา เขารู้สึกไม่พอใจ เมื่อเห็นว่านางมีอาการไม่ดีนัก “ยายโง่”
ก่อนหน้านี้ เหมยรั่วหลินคิดว่าตนเองคงต้องตายแน่ๆ นางคิดถึงอวี้เฟิง โดยไม่รู้เลยว่าตนเองจะมีโอกาสได้เจอเขาอีกหรือไม่ แต่เพียงพริบตาต่อมา เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอย่างไม่คาดฝัน
“ช่างโง่งมจริงๆ ทำไมเจ้าต้องเข้ามาในภูเขาลึกตอนที่ฟ้ามืดเช่นนี้ด้วยเล่า ยายโง่” เขาเขกศีรษะของเหมยรั่วหลินขณะพูด
“ขอโทษ”
“ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าในภายหลังแต่ตอนนี้ช่วยอยู่กับข้าก่อน” อวี้เฟิงรู้สึกโกรธมาก คนที่เขารักและคอยดูแลกลับได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร
เหมยรั่วหลินทำปากเบะ เพราะตั้งแต่ที่รู้จักกับอวี้เฟิงมาหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นว่าเขาโมโหขนาดนี้
เวลาผ่านไปประมาณสองก้านธูป บริเวณแห่งนั้นก็เต็มไปด้วยศพของฝูงหมาป่า ส่วนเสืออีกสองตัวได้หลบหนีไปตั้งแต่สามคนนั้นมาถึงแล้ว
อวี้เฟิงเดินไปประคองเหมยรั่วหลินให้ลุกขึ้นมา แต่บังเอิญไปโดนบาดแผลของนางเข้า “เจ็บ”
บทที่ 486 คนเราควรจะต้องพอใจ
อวี้เฟิงมองเหมยรั่วหลินด้วยแววตาฉุนเฉียว “รู้ว่าเจ็บก็ดีแล้ว ถ้าไม่เจ็บ เจ้าก็จะไม่รู้ว่าอะไรคืออันตราย” แม้ว่าคำพูดจะฟังดูใจร้าย แต่เขาก็เลื่อนมือลงเพื่อเลี่ยงไม่ให้โดนบาดแผลของภรรยา
อีกด้านหนึ่ง เฉียวเทียนช่างก็กำลังแบกร่างของชิงเซวียนไว้ที่หลัง เนื่องจากเขาหมดสติไปหลังจากได้รับบาดเจ็บจากการปกป้องเหมยรั่วหลิน
หนานกงเยี่ยนมองคู่รักสองคน ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้ โดยเฉพาะกับอวี้เฟิง “อวี้เฟิง นางกลับมาอยู่เคียงข้างเจ้าก็ดีแล้ว จะมีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าการมีชีวิตอยู่ โดยที่มิได้พบเจอหน้ากันอีกหรือ”
เขาและหย่าเอ๋อร์พลัดพรากจากกันมากว่ายี่สิบปี และตอนนี้เขาก็มีหลานชายแล้ว แต่กลับยังหานางไม่พบ
อวี้เฟิงมองหนานกงเยี่ยนโดยมิได้พูดอะไร
“เจ้าหนุ่ม ข้าจะเล่าเรื่องราวของข้าให้ฟัง ข้ากับภรรยาพลัดพรากกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว พวกเราไม่เจอหน้ากันถึงสองทศวรรษเชียวนะ แต่พวกเจ้าทั้งสองคนรักกันและได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเหนือสิ่งอื่นใดแล้วมิใช่หรือ คนเราต้องรู้ว่าเมื่อใดที่เราควรจะรู้สึกพึงพอใจสิ”
อวี้เฟิงมองหนานกงเยี่ยนด้วยแววตาเคว้งคว้าง ก่อนจะก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมแขน และเห็นว่าสภาพร่างกายของนางนั้นย่ำแย่และดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
นั่นสิ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังอยู่ด้วยกัน ไม่เหมือนกับหนานกงเยี่ยนที่จำต้องแยกจากภรรยา เขาไม่ควรจะขออะไรไปมากกว่านี้จริงๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก ท่านลุง”
“ลองคิดดูให้ดีเถิด ไม่มีอุปสรรคใดที่เราฝ่าฟันมันไปไม่ได้หรอก พ่อหนุ่มคนนี้เป็นคนดีมากทีเดียว” เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำพูดสำหรับเหมยรั่วหลิน
หญิงสาวตัวเกร็งก่อนจะผงกศีรษะ “ข้าเข้าใจแล้ว”
ทันทีที่เหมยรั่วหลินรู้ว่าอวี้เฟิงหายตัวไป นางก็เข้าใจความรู้สึกของตนเอง และหลังจากที่ผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มา นางก็เข้าใจคำพูดของหนิงเมิ่งเหยาได้ทันที ‘การยอมรับตัวตนของเขาอย่างเต็มใจมันยากตรงไหนหรือ’
หลังจากที่รู้หัวใจตนเองแล้ว เหมยรั่วหลินจึงยิ้มขึ้น ทำให้อวี้เฟิงโล่งอกเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของนาง
หลังจากที่พวกเขากลับเข้ามาถึง คนที่บ้านต่างตกใจเมื่อเห็นว่าเหมยรั่วหลินและชิงเซวียนได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ตรวจอาการของชิงเซวียนก่อนเถอะ” อวี้เฟิงรีบพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าชิงซวงกำลังเดินมาทางเหมยรั่วหลิน
ภรรยาของเขามีเพียงบาดแผลฉีกขาดไม่กี่จุด หากชิงซวงจะมาตรวจนางภายหลังก็ไม่เป็นไร แต่ชิงเซวียนนั้นอยู่ในอาการที่สาหัสกว่ามาก แขนข้างหนึ่งของเขาหักตอนที่พยายามจะสกัดกั้นหมาป่าตัวหนึ่งจนกระดูกส่วนนั้นยื่นออกมา
ชิงซวงผงกศีรษะ ก่อนจะให้เฉียวเทียนช่างพาร่างของชิงเซวียนเข้ามาด้านในห้อง จากนั้นจึงพูดกับอวี้เฟิงว่า “นายน้อยอวี้เฟิง ข้าขอรบกวนให้ท่านช่วยล้างแผลให้แม่นางเหมยก่อนนะเจ้าคะ นี่คือโอสถเจ้าค่ะ”
“ได้”
อวี้เฟิงอุ้มภรรยาเข้ามาในห้องของพวกเขา ส่วนเฉียวเทียนช่างก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด ก่อนจะเข้าห้องไปหาหนิงเมิ่งเหยา
“เป็นอย่างไรบ้าง ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่” หนิงเมิ่งเหยามองหน้าสามีอย่างเป็นกังวล
ชายหนุ่มส่ายหน้า “หากเราไปถึงช้ากว่านี้เพียงเล็กน้อย ชิงเซวียนก็คงจะจากไปแล้ว เขามีบาดแผลเต็มตัวไปหมด ส่วนเหมยรั่วหลินเองก็บาดเจ็บ แต่โชคดีที่มีแค่บาดแผลเปิดไม่กี่จุดเท่านั้น”
แม้ว่าพวกเขาจะมีวรยุทธ์ด้านการต่อสู้ แต่สองกำปั้นก็คงจะต่อกรกับสี่เท้าของสัตว์ได้ยาก ไม่ต้องเอ่ยถึงจำนวนของหมาป่าที่มีมากถึงสิบกว่าตัวเลยด้วยซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว ทำไมเรื่องถึงร้ายแรงเช่นนั้น
“พวกเขาไปเจอกับฝูงหมาป่าสิบกว่าตัว และยังมีเสืออีกสองตัวด้วย แต่พวกเสือนั้นแค่รออยู่ข้างๆ มิได้ลงมือ” เฉียวเทียนช่างเล่าให้หญิงสาวฟัง
นางรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก “พี่เหมยเข้าไปในภูเขาลึกหรือ”
“ใช่ มีสถานที่ตั้งมากมาย แต่นางกลับไปที่นั่นยามค่ำคืนทำไมกัน” ชายหนุ่มลูบหน้าผากตนเอง ไม่ต้องพูดถึงเหมยรั่วหลินหรอก เพราะแม้แต่ชายหนุ่มอย่างเขาที่มีธนูและอาวุธอื่นๆ ยังไม่อยากจะเข้าไปในภูเขาลึกลูกนั้นเลย
โชคดีที่สัตว์ป่าเหล่านั้นจะออกล่าในภูเขาลึกเท่านั้น และพวกมันแทบจะไม่ออกมาข้างนอกเลย มิเช่นนั้นหมู่บ้านแห่งนี้คงจะโกลาหลเป็นแน่
หนิงเมิ่งเหยาบอกอย่างไม่มีทางเลือก “ในอดีต เวลาที่พี่เขยอารมณ์ไม่ดี เขามักจะเข้าไปในภูเขาหรือป่าลึกเพื่อล่าสัตว์ และหลังจากกลับมา เขาก็จะอารมณ์ดีขึ้น” ครั้งนี้ที่เหมยรั่วหลินเข้าไปในภูเขาลึก คงเพราะคิดว่าอวี้เฟิงไปที่นั่นเป็นแน่
เฉียวเทียนช่างก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเอ่ยขึ้น “ช่างเถอะ เจ้าหิวหรือไม่ ข้าจะไปเตรียมอาหารให้เจ้า”
“ข้ายังไม่หิว ก่อนหน้านี้ท่านยายฉินเพิ่งจะเอาอาหารมาให้เลยยังอิ่มอยู่ เจ้าไม่ต้องลำบากหรอก” หญิงสาวส่ายศีรษะ เพื่อยืนยันว่าตนเองยังไม่หิว “แล้วเจ้าหิวหรือไม่”
“เล็กน้อย”
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปกินเถอะ ท่านยายฉินจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเจ้าทุกคน”
ขณะที่เฉียวเทียนช่างกำลังจะไปกินข้าว ลูกชายของเขาก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเบะปากเล็กๆ ก่อนจะส่งเสียงร้องสะอื้น